วันเสาร์ที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

เมื่อไม่ได้รับการยอมรับ


เมื่อไม่ได้รับการยอมรับ
อาทิตย์
สัปดาห์ที่ 14 เทศกาลธรรมดา
ปี B
อสค 2:2-5
2 คร 12:7-10
มก 6:1-6
บทนำ
 ปี  1960 ได้เกิดการเบียดเบียนศาสนาที่ประเทศซูดานในทวีปแอฟริกา ทำให้เด็กชายผิวดำคนหนึ่งชื่อ ปาไรด์ ทาบัน (Paride Taban) หนีภัยไปอยู่ประเทศอูกันดา ทาบันได้เข้าบ้านเณรและต่อมาได้บวชเป็นพระสงฆ์ที่อูกันดา เมื่อเหตุการณ์ที่ซูดานบ้านเกิดสงบลง คุณพ่อทาบันได้เดินทางกลับบ้านเกิด และได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาสที่หมู่บ้านพาโลตากา แต่ชาวพาโลตากาไม่ยอมรับ เนื่องจากพวกเขาไม่เคยมีพระสงฆ์ผิวดำมาก่อน
พวกเขาคุ้นเคยแต่พระสงฆ์ผิวขาวที่นำเสื้อผ้า ยารักษาโรค และสิ่งของมาให้ ขณะที่คุณพ่อทาบันเป็นชนเผ่ามาดี (Madi) ยากจนเหมือนพวกเขาและไม่มีอะไรมาให้ เหตุการณ์เลวร้ายขึ้นไปอีก เมื่อคุณพ่อทาบันอธิบายถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในพระศาสนจักรหลังสังคายนาวาติกันที่สอง ยิ่งทำให้พวกเขายากจะยอมรับ พูดกันว่า “ชายหนุ่มผิวดำคนนี้ หันพระแท่นมาหาเราและถวายมิสซาด้วยภาษาของเรา ไม่ใช่ภาษาลาตินที่เราเคยได้ยิน เขาไม่ใช่พระสงฆ์แท้”
เรื่องราวของคุณพ่อทาบัน เป็นตัวอย่างที่แสดงถึงการปฏิเสธและไม่ได้รับการยอมรับจากเพื่อนร่วมชาติ เช่นเดียวกับพระเยซูเจ้าที่ถูกชาวนาซาเร็ธปฏิเสธและไม่ยอมรับ เมื่อพระองค์เสด็จกลับนาซาเร็ธบ้านเกิดของพระองค์ พวกเขาพูดกันว่า “เขาเอาเรื่องทั้งหมดนี้มาจากไหน... คนนี้เป็นช่างไม้ ลูกนางมารีย์ เป็นพี่น้องของยากอบ... พี่สาวน้องสาวของเขาก็อยู่ที่นี่กับพวกเรามิใช่หรือ” (มก 6: 2-3) พวกเขาได้ปฏิเสธและไม่ยอมรับพระองค์
1.       เมื่อไม่ได้รับการยอมรับ
พระวรสารวันนี้กล่าวถึงเรื่องราวของพระเยซูเจ้า กับสถานการณ์ตึงเครียดในศาลาธรรมเมืองนาซาเร็ธ สถานที่ที่พระองค์เคยเจริญวัย ชาวนาซาเร็ธไม่ต้อนรับพระองค์และปฏิเสธที่จะฟังพระองค์ ทั้งนี้เพราะอคติและจิตใจคับแคบของพวกเขา ที่คิดว่าพระองค์เป็นแค่ลูกของช่างไม้ชื่อโยเซฟ และแม่ชื่อมารีย์หญิงชาวบ้านที่ไม่มีอะไร แล้วพระองค์ได้ปรีชาญาณนี้มาจากไหน พวกเขาอยากให้พระองค์แสดง (อัศจรรย์) ให้พวกเขาได้เห็นว่าพระองค์เป็นพระผู้ไถ่แท้จริง
พระเยซูเจ้ารู้ถึงความต้องการของชาวนาซาเร็ธจึงตรัสว่า ประกาศกย่อมไม่ถูกเหยียดหยาม นอกจากในถิ่นกำเนิด ท่ามกลางวงศ์ญาติและในบ้านของตน” (มก 6:4) นี่เป็นความจริงที่ทิ่มแทงใจดำของพวกเขา เราอาจตกในบาปเดียวกันกับชาวนาซาเร็ธคือ “บาปความใจแคบ” จิตใจที่ริษยาและคับแคบทำให้มองไม่เห็นด้านดีของผู้อื่นหรือสิ่งอื่น
พระเยซูเจ้าทรงตอบปัญหานี้ด้วยพระองค์เองเมื่อตรัสว่า “ศิษย์ย่อมไม่อยู่เหนืออาจารย์ และผู้รับใช้ย่อมไม่อยู่เหนือนาย” (มธ 10:24) นั่นหมายความว่าเมื่อประชาชนปฏิเสธพระองค์ เราไม่ควรแปลกใจหากเราถูกปฏิเสธบ้าง โดยเฉพาะเมื่อเรายืนหยัดในหลักศีลธรรมและความถูกต้องชอบธรรม อาทิ การต่อต้านการทำแท้ง การไม่เห็นด้วยกับความรุนแรง และความอยุติธรรมในสังคม
2.       บทเรียนสำหรับเรา
พระวาจาของพระเจ้าในวันนี้ได้ให้บทเรียนสำหรับเราหลายประการ ในการนำไปปฏิบัติในชีวิต
ประการแรก เราต้องกล้าเผชิญหน้ากับการไม่ยอมรับและมองโลกในแง่ดี การไม่ได้รับการยอมรับของพระเยซูเจ้าเป็นความจริงที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เราแต่ละคนมีประสบการณ์การถูกปฏิเสธ การทรยศหักหลัง การอย่าร้าง การไม่เชื่อฟัง การถูกทอดทิ้ง ฯลฯ ให้เรามองดูในอีกด้านหนึ่ง เราอาจไม่ได้เป็นตัวแทนที่ดีของพระเจ้าหรือมองไม่เห็นพระเจ้าในตัวบุคคลอื่น เพราะอคติและความใจแคบที่มองเพียงชาติกำเนิดหรือฐานะทางสังคม
ประการที่สอง เราต้องเผชิญหน้ากับการไม่ยอมรับด้วยท่าทีที่ถูกต้อง ด้วยการยอมรับตัวเราเองและผู้อื่น มิใช่ด้วยความโกรธฉุนเฉียวอย่างที่เราเคยกระทำ เราต้องเรียนรู้จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่าเรามิใช่คนดีพร้อมและไม่สามารถทำให้ทุกคนพึงพอใจได้ แต่เราต้องมีความอดทนในการทำสิ่งที่ถูกต้อง ในทุกวิกฤตมีโอกาสที่เราสามารถเรียนรู้ และเปลี่ยนให้เป็นสิ่งดีงามสำหรับชีวิตเราได้
ประการที่สาม เราต้องตระหนักถึงความดีของพระเจ้าท่ามกลางเรา พระเจ้าทรงต้องการให้เราเป็นพยานแห่งความดีกับบุคคลที่เรารักและใกล้ชิดเรา อาทิ สมาชิกในครอบครัว เพื่อนบ้านและผู้ร่วมงาน เราต้องกล้ายืนหยัดถึงความจริงและความถูกต้องของพระคริสตเจ้า ไม่เงียบเฉยต่อความอยุติธรรมและความไม่ถูกต้องของสังคม
บทสรุป
พี่น้องที่รัก พระเยซูเจ้าทรงสอนเราให้ปฏิบัติตนต่อผู้อื่นด้วยใจกว้าง ด้วยท่าทีของความเป็นพี่น้องให้สมกับการเป็นลูกของพระบิดาเจ้าองค์เดียวกัน  มองเห็นความดีของกันและกันโดยปราศจากอคติ โดยเฉพาะในสังคมที่มีการแบ่งสีเลือกข้าง ความรักของพระเจ้าไม่เคยแบ่งแยกหรือเลือกที่รักมักที่ชัง ไม่มียิวหรือกรีก ไม่มีทาสหรือไท แต่ทุกคนเป็นพี่น้องกัน
ศิษย์พระคริสต์ต้องมองเห็นคุณค่าและความดีของกันและกัน ตระหนักในความจริงที่ว่า ไม่มีใครดีพร้อมและไม่มีใครเลวแบบหาดีไม่ได้ ดังคติที่ว่า “ในชั่วมีดี ในดีมีชั่ว” หรือ “ชั่วเจ็ดที ดีเจ็ดหน” เราไม่ควรตัดสินใครด้วยอคติหรือมองผู้อื่นเพียงแค่ชาติกำเนิดหรือฐานะทางสังคม แต่ให้มองผู้อื่นในด้านบวก ดังคำสอนของท่านพุทธทาสที่ว่า
“เขามีส่วนเลวบ้างช่างหัวเขา            จงเลือกเอาส่วนดีเขามีอยู่
เป็นประโยชน์โลกบ้างอย่างน่าดู        ส่วนที่ชั่วอย่าไปรู้ของเขาเลย”
คุณพ่อขวัญ ถิ่นวัลย์
khuanthinwan@gmail.com
วัดแม่พระแจกจ่ายพระหรรษทาน ดอนม่วย, พรรรณานิคม
07 กรกฎาคม 2018
ที่มาภาพ: http://thechurchinmalta.org/en/posts/46818/the-gospel-of-the-day---4th-february#pid=1

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น