ย้อนรอยการเดินทาง 102 วัน
บทนำ
การเดินทางของ พ่อกองสตังต์ ยัง โปรดม และคุณพ่อฟรังซัวส์
ซาเวียร์ เกโก มายังภาคตะวันออกเฉียงเหนือหรือแผ่นดินอีสานถือเป็นการเดินทางครั้งประวัติศาสตร์
ที่ทำให้ข่าวดีแห่งพระวรสารได้รับการประกาศ เป็นที่มาของการก่อตั้งศูนย์กลางการแพร่ธรรมและกลุ่มคริสตชนขึ้นในแผ่นดินอีสานเป็นครั้งแรก
และเป็นปึกแผ่นมั่นคงมาถึงปัจจุบัน
การเดินทางครั้งประวัติศาสตร์นี้เริ่มต้นจากกรุงเทพฯ วันพุธที่
12 มกราคม 1881 ถึงอุบลราชธานีจุดหมายปลายทาง วันอาทิตย์ที่ 24 เมษายน 1881 รวมระยะเวลา 102 วัน คณะผู้เดินทางประกอบด้วย คุณพ่อโปรดม
คุณพ่อเกโก ครูเณรทองครูคำสอน และคนรับใช้อีกจำนวนหนึ่ง ถือเป็นกองคาราวานเล็กๆ ที่มีความเชื่อเป็นพลังผลักดัน
และการประกาศข่าวดีแห่งพระวรสารเป็นแรงบันดาลใจ
ระยะเวลาที่ยาวนาน 102
วัน เป็นตัวบ่งชี้ถึงความยากลำบากของการเดินทางที่ไม่อาจคาดหวังความสำเร็จได้
นับเป็นการผจญภัยอย่างแท้จริง
ขณะที่ปัจจุบันสามารถเดินทางจากกรุงเทพฯถึงอุบลราชธานีใช้เวลาเพียงหนึ่งชั่วโมงเท่านั้นโดยทางเครื่องบิน
และนี่คือความมุ่งหมายของบทความนี้เพื่อย้อนรอยเส้นทางสู่แผ่นดินอีสานของธรรมทูตผู้บุกเบิกทั้งสองและคณะ
เส้นทางที่ผ่าน
12 มกราคม ออกเดินทางจากกรุงเทพฯไปตามลำน้ำเจ้าพระยาโดยทางเรือจนถึงอยุธยา
และเดินทางต่อไปตามแม่น้ำป่าศักดิ์จนถึงหัวแก่งใช้เวลาเดินทาง 8 วัน
พักอยู่ที่หัวแก่งเพื่อเตรียมเดินทางผ่านดงพญาเย็น ด้วยการเช่าวัวหลายตัวขนสัมภาระเพราะใช้เกวียนไม่ได้
ได้ซื้อม้า 4 ตัวสำหรับพระสงฆ์และคนรับใช้
29 มกราคม ออกเดินทางจากหัวแก่งผ่านคลองท่าเกวียน
ที่คุณพ่อโปรดมได้ก่อตั้งและสร้างวัด ข้ามเทือกเขาดงพญาเย็นเส้นทางที่ยากลำบากและอันตรายที่สุด
โดยเฉพาะจากยุงซึ่งเป็นพาหะของโรคมาลาเรีย สมัยนั้นแทบไม่มีใครรอดจาก “ไข้ป่า”
อีกทั้ง ต้องระวังโจรผู้ร้ายและสัตว์ป่าที่ดุร้าย
คนและสัตว์ต้องนอนในวงล้อมของกองไฟ เพื่อป้องกันสัตว์ร้ายไม่ให้เข้าใกล้
10 กุมภาพันธ์ เดินทางถึงนครราชสีมา
ได้อาศัยพักที่บ้านของชาวจีนคนหนึ่งซึ่งให้การต้อนรับด้วยความใจดีเป็นเวลา 12 วัน คุณพ่อโปรดมได้ช่วยงานคนจีนผู้นี้ซึ่งได้ร่วมเดินทางไปด้วย
เพราะต้องการเป็นคริสตชนและถือโอกาสหาซื้อสินค้า คุณพ่อทั้งสองได้ซื้อเกวียนหลายเล่มเพราะมีเส้นทางเกวียนที่สามารถใช้เกวียนได้
4 มีนาคม เดินทางถึงเมืองชนบท
(จังหวัดขอนแก่น) การเดินทางจากนครราชสีมาถึงชนบทลำบากมากเพราะอากาศร้อน สภาพภูมิประเทศเป็นเหมือนทะเลทราย
ที่ชนบทคุณพ่อโปรดมต้องลำบากในการหาเช่าช้าง 4
เชือกเพื่อใช้ขนสัมภาระทั้งหมด ส่วนคุณพ่อเกโกล้มป่วยเพราะพิษไข้ตลอดทั้งวัน
สมาชิกในคณะส่วนหนึ่งเป็นไข้เช่นกัน
16 มีนาคม เดินทางถึงของแก่นและยังคงเดินทางต่อไปไม่ได้พักที่ขอนแก่น
เมื่อค่ำลงถึงหยุดพัก หากเจอหมู่บ้านคนถือว่าโชคดี ถ้าไม่มีหมู่บ้านต้องหาป่าโปร่งหรือตัดต้นไม้ให้โล่ง
คนและสัตว์อยู่ข้างในและก่อกองไฟโดยรอบ
25 มีนาคม เดินทางถึงกาฬสินธุ์
หยุดพักเพื่อเตรียมสัมภาระให้พร้อมสำหรับการเดินทางต่อ โดยเฉพาะเสบียงอาหาร
อย่างน้อยต้องเอาข้าวไปให้พอกินได้หนึ่งเดือน ไม่อาจหวังน้ำบ่อหน้าได้
1 เมษายน ออกเดินทางจากกาฬสินธุ์มุ่งหน้าไปทางกมลาไสยและพักที่เมืองนี้
ภรรยาของเจ้าเมืองได้นำที่นอนและหมอนมาให้ และได้ตัดสินใจซื้อวัวและเกวียนอีกครั้งเพื่อเดินทางสู่ร้อยเอ็ด
ได้หยุดพักแต่ไม่นานเพราะเห็นว่ามีความหวังน้อยในการเผยแพร่ศาสนา
11 เมษายน เดินทางถึงยโสธรวันจันทร์หลังอาทิตย์พระทรมาน
ขณะนั้นยโสธรเพิ่งถูกไฟไหม้ แต่ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่น ได้หยุดพักเพื่อฉลองสัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์และปัสกา
(17 เม.ย.) นับเป็นการสมโภชปัสกาครั้งแรกในแผ่นดินอีสาน
20 เมษายน เดินทางถึงอำนาจเจริญ
เมืองเล็กๆ ที่ค่อนข้างยากจน กรมการเมืองได้มาต้อนรับเข้าเมืองอย่างเอิกเกริก
และได้พบคริสตังชาวจีนคนหนึ่งชื่ออาเจ็กลอยแสน ผู้เคยรับศีลล้างบาปที่วัดกัลหว่าร์มาค้าขายที่นั่น
18 ปีแล้ว เขายังภาวนาบทภาวนาต่างๆ
ได้และได้รับศีลสมรสอย่างถูกต้องหลังจากนั้น อีกทั้งเป็นผู้ให้ความช่วยเหลือด้านการเงินในการก่อตั้งกลุ่มคริสตชนที่นาดูน
24 เมษายน เดินทางถึงอุบลราชธานี จุดหมายปลายทางที่พระคุณเจ้าหลุยส์
เวย์ กำหนดไว้ เมื่อถึงอุบลราชธานีมีเรื่องน่าตื่นเต้น
คุณพ่อเกโกเล่าว่าเมื่อเห็นคุณพ่อทั้งสอง ผู้หญิงทุกคนต่างวิ่งไปหลบในบ้าน
เนื่องมาจากนักสำรวจชาวฝรั่งเศสได้ก่อเรื่องเสื่อมเสียกับผู้หญิงของเมืองนี้เมื่อสิบสองปีมาแล้ว
นับเป็นการสิ้นสุดการเดินทางที่ยากลำบาก ไกลแสนไกล และยาวนานถึง 102 วัน
บทส่งท้าย
แผ่นดินอีสานสมัยนั้นยังไม่มีถนนหนทาง
ต้องเดินทางผ่านป่าดงที่ชื้นแฉะ ต้องใช้ขวาน พร้า จอบ เสียมซ่อมทางหรือตัดทางใหม่
ผู้ที่แข็งแรงใช้ม้าเป็นพาหนะ ส่วนคนป่วยขึ้นเกวียนที่บรรทุกสัมภาระจำเป็นสำหรับการเดินทาง
ใช้วัวลากเกวียนไปได้เฉลี่ยชั่วโมงละ 4 กิโลเมตร เดินทางได้ไม่เกิน 30 กิโลเมตรต่อวัน
และต้องหาคนขับเกวียนที่ชำนาญทาง รู้จักปลดและถอดเกวียนเมื่อต้องข้ามลำห้วย
เมื่อเกวียนหักต้องรู้วิธีซ่อมเกวียนและไม่ลืมเครื่องไม้เครื่องมือที่จำเป็น
เมื่อค่ำลงต้องหยุดพัก หากพอดีถึงหมู่บ้านถือว่าโชคดี
แต่ส่วนใหญ่หมู่บ้านสมัยนั้นอยู่ห่างไกลกัน ต้องหาป่าโปร่งหรือตัดต้นไม้ให้โล่งเตียน
จัดเรียงเกวียนเป็นวงกลม คนและสัตว์อยู่ข้างใน และก่อกองไฟไว้ตลอดทั้งคืน
เพื่อป้องกันสัตว์ร้ายจำพวกเสือหรือป้องกันโจรผู้ร้าย นับเป็นการผจญภัยดีๆ นี่เอง
ที่คุณพ่อทั้งสองซึ่งเป็นชาวต่างชาติยอมลำบาก อดทนเยี่ยงวีรบุรุษ และกล้าหาญเด็ดเดี่ยว
เพื่อนำข่าวดีแห่งพระวรสารมาประกาศในแผ่นดินอีสาน
โอกาสครบรอบ “100 ปีมรณกรรมของสองธรรมทูตผู้บุกเบิก”
และครบรอบ “350 ปีการสถาปนามิสซังสยาม” (4 มิ.ย. 2019)
นับเป็นพระพรที่พระเจ้าประทานแก่พระศาสนจักรในประเทศไทย
เป็นพิเศษพระศาสนจักรในภาคอีสานและประเทศลาว ควรที่บุคลากรทุกระดับจักสำนึกพระคุณ
ฟื้นฟูความเชื่อในชุมชนวัดของตนให้เข้มแข็ง และกล้าออกไปประกาศข่าวดีในพันธกิจ “ศิษย์พระคริสต์เจริญชีวิตประกาศข่าวดีใหม่”
คุณพ่อดาเนียล ขวัญ ถิ่นวัลย์
วัดแม่พระแจกจ่ายพระหรรษทาน ดอนม่วย, พรรณานิคม
8
เมษายน 2018
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น