วันเสาร์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

บทเรียนจากชาวสะมาเรียผู้ใจดี

 

บทเรียนจากชาวสะมาเรียผู้ใจดี

อาทิตย์

สัปดาห์ที่ 15 เทศกาลธรรมดา

ปี C

ฉธบ 30:10-14

คส 1:15-20

ลก10:25-37

บทนำ

บ๊อบ บัตเลอร์ ได้สูญเสียขาทั้งสองข้างเพราะเหยียบกับระเบิดในสงครามเวียดนามปี 1965 และเดินทางกลับบ้านเยี่ยงวีรบุรุษ หลังจากนั้นยี่สิบปีเขาได้พิสูจน์ความเป็นวีรบุรุษอีกครั้ง วันหนึ่งขณะกำลังทำงานในโรงรถของตนที่เมืองเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในรัฐอลิโซนา เขาได้ยินเสียงกรีดร้องจากบ้านที่อยู่ใกล้ ๆ เขารีบรุดไปยังบ้านหลังนั้นด้วยรถเข็นคู่ชีพ เมื่อไปถึงสระน้ำ เขาพบเด็กหญิงวัยสามขวบคนหนึ่งกำลังจมน้ำ เธอไม่มีแขนทั้งสองข้าง คงพลัดตกลงไป แม่ของเธอยืนกรีดร้องปิ่มว่าจะขาดใจ

บัตเลอร์กระโจนลงไปในสระนำเด็กหญิงนั้นขึ้นมา หน้าเธอซีด ชีพจรไม่เต้นและไม่มีลมหายใจแล้ว เขารีบทำการผายปอดช่วยชีวิต ขณะที่แม่เด็กโทรศัพท์ไปยังหน่วยฉุกเฉินแต่ไม่มีใครอยู่เลย เธอรู้สึกสิ้นหวัง ซบไหล่เขาและสะอื้นไห้ เขาบอกเธอว่า อย่ากังวลไปเลย ผมได้อุ้มเธอขึ้นมาจากน้ำ เป็นแขนให้เธอ ไม่เป็นไรแล้ว ตอนนี้ผมกำลังเป็นปอดให้เธอ เราต้องทำได้ ไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น เด็กหญิงสำลัก รู้สึกตัวและร้องไห้ แม่ของเด็กหญิงสวมกอดเขาด้วยความยินดี

แม่ของเด็กถามบัตเลอร์ว่าทราบได้อย่างไรว่า จะไม่เป็นไร เขาบอกเธอว่าความจริงเขาไม่รู้ แต่เมื่อขาทั้งสองข้างของเขาขาดเพราะแรงระเบิด ไม่มีใครอยู่บริเวณนั้นนอกจากเด็กหญิงชาวเวียดนามคนหนึ่ง เธอพยายามลากเขาเข้าไปในหมู่บ้านและกระซิบที่หูว่า ไม่เป็นไรแล้ว คุณยังไม่ตาย หนูจะเป็นขาให้คุณ คำพูดนี้ทำให้เขามีความหวังและพยายามทำเช่นเดียวกันกับเด็กหญิงคนนั้น มีบางครั้งในชีวิตที่ไม่สามารถยืนโดยลำพัง เราต้องการคนอย่างชาวสะมาเรียผู้ใจดี ต้องการใครสักคนเป็นแขน เป็นขาและเป็นเพื่อนกับเรา

1.  บทเรียนจากชาวสะมาเรียผู้ใจดี

นักกฎหมายได้ถามคำถามพื้นฐานทางศาสนาพระเยซูเจ้าว่า ข้าพเจ้าจะต้องทำสิ่งใดเพื่อจะได้ชีวิตนิรันดร (ลก 10:25) คำตอบของพระเยซูเจ้าได้นำความสนใจของนักกฎหมายไปที่พระคัมภีร์ รักพระเจ้าและแสดงออกในการรักเพื่อนมนุษย์ (เทียบ ลก 10:17) สำหรับนักกฎหมายคำว่า เพื่อนมนุษย์ หมายถึงนักกฎหมาย หรือชาวฟาริสีด้วยกัน มิใช่ชาวสะมาเรีย หรือคนต่างศาสนา เขาขอให้พระองค์ขยายความเพื่อนมนุษย์ และพระองค์ตรัสอุปมาเรื่อง ชาวสะมาเรียผู้ใจดี ให้เขาฟัง

ในจำนวนอุปมาของพระเยซูเจ้า เรื่องชาวสะมาเรียผู้ใจดีเป็นอุปมาที่งดงามและเกี่ยวข้องกับภาคปฏิบัติมากที่สุด ถือเป็นบทสรุปคำสอนในภาคปฏิบัติของพระเยซูเจ้าก็ว่าได้ และได้ให้คำตอบต่อปัญหาของนักกฎหมาย 2 ข้อด้วยกัน

1)        ใครเป็นเพื่อนมนุษย์ของข้าพเจ้า คำตอบของอุปมาคือ ใครก็ได้ที่ต้องการความช่วยเหลือ สำหรับชาวยิวถือเป็นสิ่งที่สะดุดอย่างมาก เพราะพวกเขาจะช่วยเฉพาะชาวยิวด้วยกันเท่านั้น เช่น ถ้าในวันสะบาโตเกิดกำแพงล้มทับคน เขาจะขุดรากพอให้ดูรู้ว่าคนเจ็บเป็นยิว หรือต่างชาติ ถ้าเป็นยิวจะได้รับการช่วยชีวิต แต่ถ้าเป็นคนต่างชาติจะถูกทิ้งให้ทนทุกข์ต่อไป

2)          ข้าพเจ้ามีหน้าที่ปฏิบัติต่อเพื่อนมนุษย์ที่เดือดร้อนอย่างไร คำตอบของอุปมาคือ จงแสดงความสงสารในรูปของการช่วยเหลือ คงไม่ต้องสงสัยว่าทั้งสมณะและชาวเลวีมีความสงสารคนบาดเจ็บเจียนตาย แต่เขาไม่ได้ทำอะไรที่แสดงความสงสารออกมาในการช่วยเหลือที่เป็นรูปธรรมเลย

2.  บทเรียนสำหรับเรา

อุปมาเรื่องชาวสะมาเรียผู้ใจดีได้ให้บทเรียนสำคัญสำหรับเราหลายประการ ในการนำไปปฏิบัติในชีวิตประจำวัน

ประการแรก เรามีหน้าที่ต้องช่วยเหลือผู้อื่น แม้ความผิดพลาดเกิดจากตัวเขาเอง เราเห็นชัดว่า คนบาดเจ็บเป็นคนประมาท เดินทางโดยลำพังในเส้นทางอันตราย เส้นทางจากเยรูซาเล็มสู่เยรีโคคือเส้นทางสู่บ้าน วัด โรงเรียนและที่ทำงาน ซึ่งเราพบคนถูกโจรปล้น ถูกกดขี่และต้องการความช่วยเหลือเสมอ บางที่อาจเป็นบ้านของเราเองที่มีคนกำลัง บาดเจ็บ เพราะคำพูดไม่สร้างสรรค์ ดุด่า เฉยเมย เย็นชา หรือการแสดงอารมณ์ความรู้สึกเกินขอบเขตของเรา เหนือสิ่งอื่นใด พระเจ้าทรงประสงค์ให้เราแสดงความรักต่อผู้อื่น

ประการที่สอง การช่วยเหลือคนเดือดร้อนเป็นหลักปฏิบัติสำคัญลำดับแรก เราเห็นสมณะมีใจจดจ่อกับการปฏิบัติหน้าที่ตามจารีตพิธีในพระวิหาร ถือปฏิบัติตามกฎเกณฑ์เรื่องการเป็นมลทินอย่างเคร่งครัด จนลืมความต้องการของเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน  เราได้รับการเรียกให้เป็นคนใจกว้าง ใจดีมีเมตตากรุณาต่อผู้กำลังเดือดร้อน รอยยิ้ม คำทักทาย คำพูดให้กำลังใจและคำขอบคุณที่จริงใจ สามารถก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในใจคนเหล่านี้ได้

ประการที่สาม เราต้องช่วยเหลือคนเดือนร้อนแม้ต้องเสี่ยง ชาวเลวีไม่ยอมเสี่ยง เพราะเกรงว่า ตนเองจะติดร่างแหไปด้วย  เหตุผลที่ไม่กล้าเสี่ยงเพราะไม่อยากเดือดร้อน คิดคำนวณดูแล้วไม่คุ้ม ทำให้เสียงาน เสียเวลาและเสียเงิน  แต่พระเยซูเจ้าสอนเราว่า อย่าชั่งน้ำหนัก อย่าคำนวณ แต่จงยอมแพ้ต่อความรัก และถือทุกคนเป็นเพื่อนมนุษย์ของเรา เพราะทุกคนต่างเป็นฉายาของพระเจ้าและได้รับการไถ่ให้รอดด้วยพระโลหิตของพระเยซูเจ้าเหมือนกัน

ประการสุดท้าย เราต้องเป็นชาวสะมาเรีผู้ใจดี  ทำในสิ่งที่คนเคร่งศาสนา ชื่อเสียงดี มีเกียรติภูมิไม่ทำกัน เขาเป็นคนธรรมดาไม่มีชื่อ เป็นคนต่างถิ่นเดินทางตามลำพัง ไม่มีทรัพย์สินมาก แต่ ตาของเขาช่างสังเกต และหัวใจของเขาเต้นในจังหวะเดียวกันกับหัวใจของพระเจ้า เขาเป็นคนแปลกหน้า แต่ได้ช่วยเหลือคนบาดเจ็บและทำตัวเป็นผู้ดูแลดุจพี่น้อง เขาตีความบัญญัติประการที่ 5 อย่าฆ่าคนว่าหมายถึง ท่านต้องทำสิ่งที่ทำได้เพื่อให้ผู้อื่นมีชีวิตอยู่ต่อไป

บทสรุป      

พี่น้องที่รัก คริสตชนต้องดำเนินชีวิตแต่ละวันเป็นชาวสะมาเรียผู้ใจดี มีดวงตาและหูที่เปิดกว้าง โดยมีเข็มทิศแห่งความเมตตาเป็นเครื่องนำทาง ยอมให้หัวใจของเราเต้นในจังหวะเดียวกันกับหัวใจของพระเจ้า เพื่อตัดสินได้ว่ามีสิ่งไหนที่เราสามารถทำได้ในการช่วยคน เกือบสิ้นชีวิต ที่พบแต่ละวันให้มีชีวิตอยู่ต่อไป ทั้งนี้ เพื่อเห็นแก่ความรักที่เรามีต่อพระเจ้าและเพื่อนมนุษย์

ขอให้คำสั่งของพระเยซูเจ้าที่ว่า ท่านจงไปและทำเช่นเดียวกันเถิด (ลก 10:37) ลุกเร้าหัวใจเราให้ทำเช่นเดียวกัน การเป็นคริสตชนไม่เพียงรู้ถึงความรักของพระเจ้าและเพื่อนมนุษย์ แต่ต้องแสดงความรักออกมาในภาคปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม ศิษย์พระคริสต์ต้องใส่ใจต่อพี่น้องที่เดือดร้อนและต้องการความช่วยเหลือ ไม่เดินเลยผ่านไป หรือทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อน แต่ต้องกล้าเสี่ยงและลงมือช่วยเหลือโดยไม่ลังเล

คุณพ่อขวัญ  ถิ่นวัลย์

ID LINE : dondaniele

Lavang, Quangtri, Vietnam

12 กรกฎาคม 2025

ภาพ : คริสตชนเวียดนาม, ลาวาง, เวียดนาม; 2025-7-11

วันศุกร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

จงวางใจพระเจ้าและอย่ากลัว

 

จงวางใจพระเจ้าและอย่ากลัว

เสาร์

สัปดาห์ที่ 14 เทศกาลธรรมดา

ปฐก 49:29-33; 50:15-26

มธ 10:24-33

บทอ่านแรก หนังสือปฐมกาลเรื่องยาโคบสั่งสอนบรรดาบุตรครั้งสุดท้ายก่อนเสียชีวิต โดยสั่งให้ฝังศพไว้ในถ้ำที่เอโฟรนกับบรรพบุรุษ หลังความตายของยาโคปบรรดาพี่ชายเกิดความกลัวว่า โยเซฟจะแก้แค้น จึงส่งคนไปบอกโยเซฟว่า บิดาได้สั่งไว้ก่อนสิ้นใจ ขอร้องให้โยเซฟให้อภัยความผิดในอดีต และโยเซฟตอบว่า “อย่ากลัวเลย ฉันไม่ใช่พระเจ้า จะตัดสินลงโทษท่านได้อย่างไร” (ปฐก 50:19) โยเซฟเป็นภาพล่วงหน้าของพระเยซูเจ้า เราต้องเลียนแบบและมีท่าทีที่ถูกต้องเยี่ยงโยเซฟในการให้อภัย และมองเห็นพระพรของพระเจ้าในทุกกิจการ

พระเยซูเจ้าทรงเปรียบเทียบอย่างเห็นภาพชัดเจน “ศิษย์ย่อมไม่อยู่เหนืออาจารย์”  เราต้องเชื่อฟัง ปฏิบัติตาม และเลียนแบบพระเยซูเจ้าผู้เป็นอาจารย์ พระองค์ทรงสั่งสอนบรรดาศิษย์ที่ส่งไปประกาศข่าวดี ทรงแนะนำพวกเขาให้ดำเนินชีวิตเรียบง่าย ทรงให้กำลังใจและย้ำกับพวกเขาถึงสามครั้งว่า “อย่ากลัว” ในพันธกิจแห่งการประกาศข่าวดี เพราะพระองค์ทรงปกป้องคุ้มครองด้วยความรัก และทรงเสริมกำลังด้วยความเมตตากรุณาภายใต้การนำของพระจิตเจ้า

พระเยซูเจ้าทรงสั่งสอนบรรดาศิษย์มิให้กลัวผู้ใด หรือสิ่งใด ด้วยเหตุผล 3 ประการ

1) ไม่มีใครขัดขวางความสำเร็จแห่งพันธกิจของพระองค์ เพราะความชั่วไม่อาจชนะความดีได้ ที่สุดแล้วการกระทำชั่วทั้งหลายย่อมถูกเปิดเผย “ไม่มีสิ่งใดที่ปิดบังไว้จะไม่ถูกเปิดเผย ไม่มีสิ่งใดที่ซ่อนเร้นจะไม่มีใครรู้” (มธ 10:26)

2) ผู้เบียดเบียนไม่มีอำนาจเหนือวิญญาณ มีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่ทรงอำนาจนิรันดร เราควรเคารพเชื่อฟังพระองค์ผู้ไม่ทรงประสงค์ให้ใครสักคนเสียไป และไม่ควรกลัวพระองค์เพราะทรงเป็นองค์ความรักที่ปกป้องดูแลเราเสมอ

3) เรามีคุณค่ามากกว่าสิ่งใด ความรักหาที่สุดมิได้ของพระเจ้าได้ให้คุณค่าเรามากกว่าสิ่งใด “อย่ากลัวเลย ท่านมีค่ามากกว่านกกระจอกจำนวนมาก” (มธ 10:31) พระเจ้าทรงเป็นที่ลี้ภัยและป้อมปราการที่พร้อมช่วยเราเสมอในห้วงเวลาที่มีปัญหา (สดด 27:1-2; 91:1-2)

คริสตชนต้องวางใจในพระเจ้าผู้เดียว ผู้ทรงเป็นที่ลี้ภัยและป้อมปราการสำหรับเราโดยไม่กลัวสิ่งใด โดยเฉพาะในห้วงเวลาที่เผชิญปัญหาและความยากลำบากในชีวิต เราต้องสามารถกล่าวได้อย่างนักบุญเปาโลว่า ข้าพเจ้ามีชีวิตอยู่ มิใช่ตัวข้าพเจ้าอีกต่อไป แต่พระคริสตเจ้าทรงดำรงอยู่ในตัวข้าพเจ้า (กท 2:20) ศิษย์พระคริสต์ต้องประกาศองค์พระเยซูเจ้า ทั้งด้วยคำพูดและการกระทำผ่านทางชีวิตของตนโดยไม่กลัวสิ่งใด เพราะชีวิตของเราอยู่ในพระหัตถ์และพระญาณเอื้ออาทรของพระเจ้า ผู้ทรงเอาพระทัยใส่ ปกป้องคุ้มครองและดูแลเรา

คุณพ่อขวัญ  ถิ่นวัลย์

ID LINE : dondaniele

Lavang, Quangtri, Vietnam

11 กรกฎาคม 2025

ภาพ : สักการสถานแม่พระลาวาง, เว้, เวียดนาม; 2025-7-11