วันจันทร์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2556

ธูป 1 ดอก



ธูป 1 ดอก
ช่วงนี้มีเหตุให้ต้องไปร่วมงานศพ หรือเกี่ยวข้องกับการงานศพอยู่บ่อยครั้ง บางคนเป็นผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือ บางคนเป็นบิดาของเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกัน บางคนเป็นคู่กรณีที่มีส่วนทำให้เขาถึงแก่ความตายโดยตรง แม้จะเป็นเหตุสุดวิสัยมิใช่ความผิดโดยเจตนา แต่ก็เป็นอีกหนึ่งชีวิตที่เรียกคืนไม่ได้
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้เข้าใจว่า เส้นแบ่งระหว่างความเป็นกับความตายอยู่ไม่ไกลกันเลย ชีวิตเป็นเช่นนี้ ไม่จีรังยั่งยืน บางคนจึงบอกว่า “ชีวิตในโลกนี้สั้นเกินกว่าจะเห็นแก่ตัว” คนที่ตายจากไป ญาติพี่น้องผองเพื่อนที่อยู่ข้างหลังย่อมเศร้าโศกเสียใจ และคงต้องให้เวลาเยียวยาทุกสิ่ง
ได้ไปร่วมงานศพ และจุดธูป 1 ดอกหน้าศพ เพื่อแสดงความเคารพและอโหสิกรรม นึกสงสัยอยู่เหมือนกันว่า “ทำไมต้อง 1 ดอก” วันนี้ได้อ่านบทความ “ปริศนาธูป 1 ดอก” ของ นฤตย์ เสกธีระ ในมติชนออนไลน์ เลยได้คำตอบจึงนำมาแบ่งปันต่อ ธูป 1 ดอก หมายถึง ชีวิตของคน แต่ละคนมี 1 ชีวิตเท่ากัน ธูปที่ถูกเผา หมายถึง ช่วงเวลาที่ดำเนินชีวิตมาแล้ว ธูปที่เหลือ หมายถึง ช่วงเวลาที่เหลืออยู่
พระท่านยังสอนอีกว่า เมื่ออยู่หน้าศพก็ให้ระลึกไว้ 3 อย่าง
อย่างแรก เอวัง ภาวี หมายถึง ต่อไปเราก็ต้องเป็นแบบนี้
อย่างที่สอง เอวัง ธัมโม หมายถึง สิ่งนี้คือธรรมชาติ
และอย่างที่สามคือ เอวัง อะนาติโต หมายถึง ทุกชีวิตไม่สามารถหนีพ้น นี่คือสัจธรรม
การจัดงานศพจึงเป็นงานบำเพ็ญกุศล คือ สร้างเสริมปัญญาให้แก่ผู้มาร่วมงาน ทำให้รู้ว่าชีวิตมีเท่านี้ ช่วงชีวิตก็แค่นี้ และสุดท้ายของชีวิตก็เป็นแบบนี้ ดังนั้น ใครที่โกรธเกลียดกัน ใครที่มัวแต่คิดฆ่าฟันทำลายล้าง น่าจะลองทบทวนใหม่ ใครที่กำลังซึมเศร้า คิดสั้นหรือท้อแท้สิ้นหวัง ก็น่าจะทบทวนตัวเองอีกครั้ง
ให้นึกถึง ธูป 1 ดอก ที่หมายถึงชีวิต 1 ชีวิต นึกถึง ธูปที่เผาไหม้ อันหมายถึงเวลาที่ชีวิตใช้ไปทุกเมื่อเชื่อวัน ทบทวนแล้วน่าจะแลเห็นว่า ชีวิตนั้นแสนสั้นและการอยู่ร่วมกันของแต่ละคนยิ่งสั้น หากมัวแต่โกรธเกลียด ฆ่าฟัน ทำลายล้างกัน มีแต่จะทำให้จิตใจเศร้าหมอง เท่ากับกำลังทำให้ชีวิตเสียโอกาสที่จะได้ทำบุญสร้างกุศล
ในอีกแง่หนึ่ง ชีวิตคนเรามีทั้งสุขและทุกข์ อยู่ที่ว่าเราจะเลือกหยิบเลือกคว้าอะไร เราเกิดมาพร้อมกับจิตใจบริสุทธิ์ และมันสมองที่สามารถเรียนรู้ แยกแยะเรื่องดี-ร้ายในชีวิต จงเรียนรู้และสร้างประโยชน์สุขให้กับตนเองและผู้อื่น 
หากทุกครั้งที่เรียนรู้ เราล้ม เราพลาด อาจจะรู้สึกท้อบ้างในบางครั้ง แม้ไม่มีกำลังกายที่จะลุกขึ้นในทันที แต่ขอให้มีกำลังใจที่จะสู้ต่อไป ถ้าเรารู้จักเรียนรู้จะทำให้เราพบว่า การล้มหรือพลาดครั้งต่อไป จะไม่เจ็บเท่าเดิม
คุณพ่อขวัญ ถิ่นวัลย์
danielkhuan@hotmail.com
โรงเรียนเซนต์ยอแซฟกุฉินารายณ์
30 กันยายน 2013

วันเสาร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2556

บางอย่างที่ไม่อยากให้เกิด



บางอย่างที่ไม่อยากให้เกิด
มีบางอย่างในชีวิตที่ไม่อยากให้เกิด แต่มันก็เกิด อย่างอุบัติเหตุบนถนนสายหนองสูง-กุฉินารายณ์ เมื่อวันพุธที่ 25 กันยายน 2013 เวลา 21.37 น. จำเวลาได้ดีเพราะตอนถึงแยกหนองสูงเหลือบดูนาฬิกาบอกเวลา 21.35 น. (คิดในใจว่าสี่ทุ่มก็ถึงบ้านแล้ว แต่มาประสบอุบัติเหตุเสียก่อน) เหตุเกิด ณ บ้านหนองโอใหญ่ ห่างจากสามแยกหนองสูง 1 กิโลเมตร ก็ปรากฏรถมอเตอร์ไซด์วิ่งตัดหน้าข้ามถนนอย่างรวดเร็วแบบกระชั้นชิด ทำให้ชนเข้าอย่างจัง
สิ่งที่ทำได้เวลานั้นคือประคองรถเข้าข้างทาง เปิดสัญญาณไฟฉุกเฉิน ดับเครื่องและลงจากรถยนต์เพราะกลัวรถระเบิดหรือไฟไหม้ จากนั้นก็บอกชาวบ้านที่มามุงดูและเห็นเหตุการณ์ให้ช่วยหาคนเจ็บ เพราะเห็นแต่ซากมอร์เตอร์ไซด์ที่ไถลไปไกล จนกระทั่งเจอคนเจ็บนอนอยู่ใต้ท้องรถกะบะอีกคันหนึ่งที่จอดอยู่หน้าร้านค้าฝั่งตรงข้าม พอดีตำรวจที่เข้าเวรจาก สภอ.หนองสูงมาถึง ได้ประสานนำคนเจ็บส่งโรงพยาบาลหนองสูง และส่งต่อโรงพยาบาลมุกดาหาร
 สภาพรถยนต์ CRV และมอร์เตอร์ไซด์คู่กรณี
ไม่นานร้อยเวรจาก สภอ.หนองสูง ได้เดินทางมาถึงและได้เก็บหลักฐาน ณ ที่เกิดเหตุ ถ่ายภาพและบันทึกเหตุการณ์ ก่อนจะบรรทุกมอร์เตอร์ไซด์คันเกิดเหตุและประสานรถยกให้ยกรถยนต์คันที่ขับไปเก็บไว้ที่สถานี กว่าทุกอย่างจะเรียบร้อยก็ย่างเข้าวันใหม่ถึงได้เดินทางกลับโรงเรียน โดยรถยนต์ของคุณพ่อชัยวัฒน์ นำสุขและคุณพ่อศรชัย แสนสุริวงศ์ แม้จะง่วงและเหนื่อยมากแต่นอนไม่หลับทั้งคืน ภาพเหตุการณ์ยังติดตา ส่วนคุณพ่อชำนาญ บัวขันธ์ และคุณพ่อเฉลิมศิลป์ จันลา พร้อมคุณพ่อเด่น ช่วยสุข ยังตามไปพูดคุยและดูแลคนเจ็บที่โรงพยาบาลมุกดาหารแทน
วันรุ่งขึ้น วันพฤหัสบดีที่ 26 กันยายน 2013 มีผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือและคนรู้จักหลายคนที่ทราบเรื่องได้โทรศัพท์มาสอบถามและให้กำลังใจ บางท่านได้เดินทางมาเยี่ยมด้วยตนเอง สิ่งที่ทำเช้าวันนี้คือเตรียมเอกสารเกี่ยวกับรถยนต์ Honda CRV ทะเบียน ฎฬ 6997 กรุงเทพมหานคร ที่เพิ่งรับโอนจากเจ้าของเดิมเป็นชื่อของตนเอง เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2556 ถือเป็นรถยนต์คันแรกในชีวิต แต่ก็มาประสบเหตุแบบไม่คาดฝัน นับว่ายังโชคดีที่ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร
 เคารพศพนายพิพัฒน์ ปัททุมที่บ้านหนองโอใหญ่ วันที่ 27 กันยายน 2013
จากนั้นได้เดินทางไปยัง สภอ.หนองสูงพร้อมกับคุณพ่อสุรพงศ์ นาแว่นและคุณพ่อชำนาญ บัวขันธ์ สมทบด้วยคุณพ่อเฉลิมศิลป์ จันลาที่เดินทางมาจากสองคอน เพื่อยื่นเอกสารเกี่ยวกับรถยนต์ แต่เนื่องจากร้อยเวรที่รับผิดชอบคดีไม่อยู่เลยทำอะไรไม่ได้ จึงได้เดินทางต่อไปยังโรงพยาบาลมุกดาหารเพื่อเยี่ยมคนเจ็บ ซึ่งอยู่ในวัยหนุ่มแน่น 29 ปี ยังไม่มีครอบครัว ณ ห้อง ICU พยาบาลที่ดูแลบอกให้ทราบว่าร่างกายคนเจ็บไม่ตอบสนองแล้วและคงจะมีชีวิตอยู่อีกไม่นาน ญาติพี่น้องอยากจะนำกลับบ้าน แต่ได้บอกให้รักษาเขาจนถึงที่สุด พร้อมทั้งได้ให้เงินช่วยเหลือค่ารักษาพยาบาลและค่าใช้จ่ายแก่ญาติในเบื้องต้น
วันต่อมาทราบข่าวว่าคนเจ็บเสียชีวิตแล้วจึงได้เดินทางไปเคารพศพ แม้จะมีหลายคนไม่เห็นด้วยและห้ามปราม แต่ได้ตัดสินใจไปและให้เงินช่วยเหลือค่าจัดงานศพและเป็นเจ้าภาพงานศพในวันรุ่งขึ้น ได้พูดคุยกับพ่อแม่และญาติพี่น้องของผู้ตาย ทุกคนเข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นว่าเป็นอุบัติเหตุ แต่ลึกๆ ในใจก็ยังคงทำใจไม่ได้ แน่นอนไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ต้องยอมรับความจริงและอยู่กับปัจจุบันให้ได้ นับเป็นกางเขนหนักที่ต้องแบกเวลานี้
 มอบเงินช่วยเหลือและพูดคุยกับพ่อ-แม่และญาติพี่น้อง
ขอบคุณหลายต่อหลายคนที่เป็นห่วงและให้ความช่วยเหลือ ทั้งให้คำแนะนำและประสานคนรู้จักให้ช่วยคลี่คลายปัญหาอันหนักอึ้งนี้ อีกทั้งภาวนาและเป็นกำลังใจให้เข้มแข็งและสู้ต่อไป ส่วนเหตุการณ์ข้างหน้าจะเป็นอย่างไรก็ได้แต่ฝากไว้กับพระเจ้าและคำเสนอวิงวอนของแม่พระ หวังว่าทุกอย่างจะคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น และที่สุด ทุกอย่างก็จะผ่านพ้นไป
ขอบคุณทุกคนอีกครั้งหนึ่ง ด้วยจริงใจ
คุณพ่อขวัญ ถิ่นวัลย์
โรงเรียนเซนต์ยอแซฟกุฉินารายณ์
28 กันยายน 2013

วันศุกร์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2556

คนรวย คนจน



คนรวย คนจน
วันอาทิตย์
สัปดาห์ที่ 26 เทศกาลธรรมดา
ปี C
อมส 6:1ก,4-7
1 ทธ 6:11-16
ลก 16:19-31
บทนำ
เมื่อไม่นานมานี้นิตยสารฟอร์บส์ ได้เปิดเผยรายชื่อ 50 อันดับมหาเศรษฐีประเทศไทย ที่มีมูลค่าความร่ำรวยรวมสูงถึงกว่า 2.6 ล้านล้านบาท คิดเป็น 1 ใน 4 หรือ 25 เปอร์เซ็นต์ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือจีดีพี นอกจากนี้ มหาเศรษฐีไทย 44 ราย จาก 50 ราย ยังมีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นจากปีก่อน จากตลาดหุ้นไทยที่เติบโตขึ้น 14 เปอร์เซ็นต์ เมื่อดูจากตัวเลขที่แสดงออกมาน่าสนใจว่าประเทศไทยมีมหาเศรษฐีมากจริงๆ ที่สำคัญจำนวนของทรัพย์สินยังมีมูลค่ามหาศาลอีกด้วย
เมื่อดูรายละเอียดที่นิตยสารชื่อดังระดับโลกฉบับนี้ระบุ พบว่า นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานเครือเจริญโภคภัณฑ์ หรือซีพี ครองอันดับ 1 ของมหาเศรษฐีไทย ด้วยมูลค่าทรัพย์สิน 3.93 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.12 แสนล้านบาท จากการรุกเข้าซื้อกิจการครั้งใหญ่ในปี 2556 ทั้งบริษัทซีพีออลล์ ที่เข้าซื้อสยามแม็คโคร และนายธนินท์เข้าซื้อหุ้นใหญ่ 15% ในบริษัทประกันภัยผิงอันของจีน ที่ถือว่าเป็นมูลค่าการซื้อบริษัทจีนที่มากที่สุดโดยบริษัทต่างชาติ
อันดับ 2 ตระกูลจิราธิวัฒน์ มูลค่าทรัพย์สิน 3.83 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.68 แสนล้านบาท ขณะที่นายเจริญ สิริวัฒนภักดี มั่งคั่งเป็นอันดับ 3 มูลค่าทรัพย์สิน 3.3 แสนล้านบาท หลังจากบริษัทไทยเบฟเวอเรจ เข้าซื้อกิจการกลุ่มบริษัทเอฟแอนด์เอ็น ในสิงคโปร์ อันดับ 4 ตระกูลอยู่วิทยา กลุ่มกระทิงแดง มูลค่าทรัพย์สิน 2.43 แสนล้านบาท อันดับ 5 กฤตย์ รัตนรักษ์ บริษัทกรุงเทพวิทยุโทรทัศน์ จำกัด ผู้บริหารช่อง 7 สี มูลค่าทรัพย์สิน 1.21 แสนล้านบาท
เมื่อดูจากความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นคือ เหล่าบรรดาเจ้าสัวในรายชื่อทั้งหมดที่ถูกจัดอันดับ ไม่มีชื่อนายแบงก์เหมือนเช่นในอดีต อีกทั้งมูลค่าความร่ำรวยของมหาเศรษฐีเหล่านั้น ก็นับถึง 1 ใน 4 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ สะท้อนให้เห็นความถ่างและช่องว่างระหว่างคนรวยคนจนที่เกิดขึ้นในสังคมไทยถูกขยายให้ห่างกันมากขึ้น อย่างที่เรียกว่า “รวยกระจุก จนกระจาย”
คำอุปมาเรื่องเศรษฐีกับลาซารัส สะท้อนให้เห็นลักษณะที่แตกต่างกันราวฟ้ากับเหวของคนสองคน คนหนึ่งร่ำรวยเป็นเศรษฐี ส่วนอีกคนหนึ่งเป็นขอทานยากจนเข็ญใจ ชีวิตของคนทั้งสองแตกต่างกัน ไม่ใช่เพียงเรื่องฐานะความเป็นอยู่เท่านั้น แต่ยังแตกต่างกันระหว่างชีวิตหลังความตายอีกด้วย ความแตกต่างประการหลังนี้เห็นได้ถึงความเด็ดขาดและถาวร ซึ่งไม่สามารถแก้ไขได้ ส่งผลให้เศรษฐีต้องทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส
1.         คนรวย คนจน
ในพระวรสารวันนี้ได้นำเสนอเรื่องเศรษฐีกับลาซารัส พระเยซูเจ้าได้ฉายภาพชีวิตเศรษฐีที่อยู่อย่างคนโลภและฟุ่มเฟือย “แต่งกายหรูหราด้วยเสื้อผ้าเนื้อดีราคาแพง จัดงานเลี้ยงทุกวัน” เขาได้ละเลยบัญญัติเอกและสำคัญที่สุดคือ จงรักพระเจ้าสิ้นสุดจิตใจและรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเอง ชีวิตของเขาตั้งอยู่บนความสะดวกสบายด้านวัตถุและทำทุกอย่างเพื่อตนเอง โดยไม่เคยคิดถึงความลำบากเดือดร้อนของคนอื่น หัวใจของเขาว่างเปล่าเพราะเขาขาดความรัก ตาของเขาบอดมือเพราะมองไม่เห็นความต้องการของพี่น้อง
ในทางตรงข้าม ลาซารัส มีชีวิตอยู่อย่างยากจนน่าสังเวช มีแผลเต็มตัว ไม่มีแรงแม้แต่จะไล่สุนัขที่กำลังเลียแผล เขาถูกนำมาทิ้งไว้ที่ประตูบ้านเศรษฐีและรอสิ่งที่ตกจากโต๊ะอาหาร เขาไม่ต้องการสิ่งที่มีค่าใด นอกจากเศษอาหารเพื่อประทังชีวิตซึ่งเศรษฐีไม่ต้องการแล้ว เศรษฐีจึงเป็นตัวแทนของคนรวยที่เห็นแก่ตัว ขณะที่ลาซารัส เป็นตัวแทนของของคนจนหลายรูปแบบทุกยุคทุกสมัยที่เราไม่ถือว่าเป็นพี่น้อง อีกทั้งเป็นตัวแทนของเด็กที่ถูกทำลายชีวิตจากน้ำมือของผู้เป็นแม่ด้วยการทำแท้ง ซึ่งเป็นเสียงกรีดร้องที่ไม่มีใครได้ยิน
คำว่า “ลาซารัส” เป็นชื่อภาษากรีกแปลว่า “พระเจ้าทรงเป็นผู้ช่วย” เพื่อเน้นให้เห็นความจริงที่ว่า แม้คนชอบธรรมจะยากจนไม่มีใครช่วยเหลือ แต่พระเจ้าทรงเป็นผู้ช่วยเขาเสมอ เราจึงได้เห็นสถานการณ์ที่กลับกันหลังความตาย เศรษฐีกลายเป็นคนจนน่าสมเพชในเปลวไฟ (นรก) ที่ร้องขอความช่วยเหลือจากลาซารัส  ขณะที่ลาซารัสกลายเป็นคนร่ำรวยมีความสุข (สวรรค์) เพราะได้อยู่ในอ้อมอกของอับราฮัม
2.         บทเรียนสำหรับเรา
คำอุปมานี้ได้ให้บทเรียนสำคัญสำหรับเราคริสตชนหลายประการ ในการนำไปปฏิบัติในชีวิตประจำวัน
ประการแรก พระเจ้าทรงไว้ซึ่งความยุติธรรม เราจะได้รับในสิ่งที่ต้องการ แต่ก็ต้องชดเชยตามราคาของสิ่งนั้น เวลามีชีวิตอยู่ในโลกเราอาจได้ทุกสิ่งที่ปรารถนา แต่อาจต้องสูญเสียวิญญาณหรือความสุขนิรันดรกับพระเจ้าในบั้นปลาย สิ่งที่ทำให้เศรษฐีต้องทรมานในไฟ(นรก) ไม่ใช่สิ่งที่เขาทำลงไป แต่เป็นสิ่งที่เขาไม่ได้ทำต่างหาก ความรักที่เรามีต่อพระเจ้าจึงต้องแสดงออกต่อเพื่อนพี่น้องของเรา เพราะเป็นพระเจ้าเองที่ปรากฏพระองค์ให้เราเห็นในตัวคนยากจน
ประการที่สอง เราต้องแบ่งปันสิ่งที่เรามีกับคนจน ทรัพย์สมบัติหรือความร่ำรวยที่เรามีถือเป็นพระพรของพระเจ้า ที่เราต้องสำนึกเสมอว่ามิใช่สมบัติส่วนตัวของเราเพียงคนเดียว เราจะต้องแบ่งปันให้ผู้ที่ไม่มี เพื่อให้เขาสามารถเจริญชีวิตสมศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ซึ่งเป็นบุตรของพระเจ้า เราจะทำเป็นทองไม่รู้ร้อนกับพี่น้องที่ขัดสนหรือเดือดร้อนเจียนตายไม่ได้เป็นอันขาด มิฉะนั้นชะตากรรมของเราในชีวิตหน้าก็จะเป็นเช่นเดียวกับเศรษฐีในพระวรสารวันนี้
ประการที่สาม เราต้องใส่ใจและช่วยเหลือคนที่กำลังเดือดร้อน บางคนอาจคิดว่าคำอุปมานี้ไม่เกี่ยวกับฉัน เพราะ “ฉันไม่ใช่คนรวย ไม่ได้มีเงินมากพอที่จะแบ่งหรือช่วยเหลือใคร” สิ่งที่พระเยซูเจ้าตรัสไม่ได้หมายถึงทรัพย์สินเท่านั้น เราสามารถแบ่งปันสิ่งที่เรามี พระพรและความสามารถต่างๆ กับคนที่ต้องการความช่วยเหลือ ดังนั้น เราจึงต้องมองดูว่า มีใครที่กำลังนั่งอยู่ที่ประตูบ้านของเรา” ที่ต้องการคำพูดให้กำลังใจ ต้องการความเป็นเพื่อน ต้องการความรักและความเข้าใจ หรือต้องการการให้อภัยจากเรา บางทีคนเหล่านี้อาจเป็นคนในบ้านของเราเอง
บทสรุป
พี่น้องที่รัก พระเยซูเจ้าสอนเราในคำอุปมาว่า เราต้องแบ่งปันและรับผิดชอบต่อคนที่ขัดสน เศรษฐีในคำอุปมาได้รับการลงโทษเพราะเขาปฏิเสธที่จะช่วยเหลือพี่น้องที่ต้องการความช่วยเหลือ เราจะต้องรับรู้ถึงความอยุติธรรมที่ผู้คนกำลังเผชิญอยู่ต่อหน้า เราไม่สามารถจะเป็นเพียงผู้ดูเฉยๆ แล้วปล่อยให้เรื่องราวความอยุติธรรมในสังคมผ่านเลยไป เราจะต้องทำบางสิ่งบางอย่าง นั่นคือ แบ่งปันสิ่งที่เรามีกับบุคคลเหล่านี้ เราไม่สามารถจะใช้ชีวิตอย่างสุขสบายได้ ขณะที่ยังมีคนอย่างลาซารัสนั่งคอยเราอยู่ที่ประตูบ้าน
ชีวิตของเศรษฐีเป็นชีวิตที่ไร้ค่า เขาใช้ความร่ำรวยที่เขามีเพื่อตนเองเท่านั้นและปฏิเสธผู้อื่น ตาของเขาบอดมืดต่อคนที่ต้องการความช่วยเหลือ เขาเจริญชีวิตในโลกนี้โดยปราศจากพระเจ้า เขาจึงสูญเสียพระองค์ไปตลอดกาล รวมถึงทุกสิ่งที่เขามี ขณะที่ลาซารัสคือแบบอย่างของคนที่เชื่อและไว้ใจในพระเจ้า ขอให้เรารู้จักแบ่งปันสิ่งที่เรามีกับผู้อื่น เพราะเงื่อนไขที่ขาดไม่ได้สำหรับการเข้าในอาณาจักรของพระเจ้าคือ ความเชื่อไว้ใจในพระเจ้า ความรักต่อเพื่อนพี่น้องและการใส่ใจต่อคนยากจนขัดสน
คุณพ่อขวัญ ถิ่นวัลย์
danielkhuan@hotmail.com
โรงเรียนเซนต์ยอแซฟกุฉินารายณ์
27 กันยายน 2013