ความสุภาพในการอธิษฐานภาวนา
เสาร์ สัปดาห์ที่
3
เทศกาลมหาพรต
|
ฮซย 6:1-6
ลก 18:9-14
|
มีนักท่องเที่ยวกลุ่มหนึ่งเดินทางไปประเทศเยอรมันเพื่อชมห้องที่บีโทเฟน
(นักดนตรีเอกของโลกชาวเยอรมัน) เคยอยู่และทำงาน รวมถึงเปียโนตัวโปรดที่ใช้ประพันธ์เพลงมูนไลท์
โซนาต้า (Moonlight Sonata) เด็กสาวคนหนึ่งในหมู่นักท่องเที่ยวได้นั่งลงที่เปียโนและเล่นท่อนแรกของเพลงโซนาต้า
เมื่อเธอเล่นจบ มัคคุเทศก์ได้กล่าวว่า “คุณคงสนใจหากรู้ว่าท่านเพเดรอสกี้ (นักดนตรีเอกชาวโปแลนด์) ได้มาเยี่ยมที่นี่เมื่อสัปดาห์ก่อน”
เด็กสาวคนนั้นพูดว่า “ดิฉันพนันได้ว่าเขาต้องทำเหมือนดิฉัน
ด้วยการนั่งลงและเล่นเพลงโซนาต้าใช่ไหมค่ะ” แต่มัคคุเทศก์ตอบว่า “เปล่าเลยครับคุณผู้หญิง
เขาไม่ได้ทำอย่างนั้น แม้ว่าทุกคนขอร้องให้เขาเล่น แต่เขาบอกว่า ‘ไม่ได้ ผมไม่คู่ควรเลย’” เด็กสาวผู้มีความมั่นใจในตัวเองได้เล่นเพลงของบีโทเฟ่น
แต่นักดนตรีผู้ยิ่งใหญ่กลับมีความสุภาพถ่อมตนเกินกว่าจะเล่นเพลงที่เปียโนของบีโทเฟ่นได้
พระวรสารวันนี้ พระเยซูเจ้าทรงเล่าอุปมาเรื่องการอธิษฐานภาวนาของชาวฟาริสีและคนเก็บภาษีในพระวิหาร
เพื่อสอนความสุภาพถ่อมตนในการอธิษฐานภาวนา
พระองค์ทรงหยิบยกเรื่องราวชีวิตจริงของชาวยิวที่อธิษฐานภาวนาวันละ 4 เวลา ได้แก่ เวลาเก้าโมงเช้า เที่ยงวัน บ่ายสามโมง
และหกโมงเย็น วิธีอธิษฐานภาวนาของชาวฟาริสีและคนเก็บภาษีสะท้อนความสัมพันธ์ที่มีต่อพระเจ้าและต่อเพื่อนมนุษย์
ชาวฟาริสียืนขึ้นอธิษฐานภาวนากับตนเอง
เขามิได้สรรเสริญพระเจ้าแต่กำลังยกย่องตนเอง
แม้เขาขอบคุณพระเจ้าแต่พูดถึงแต่ความดีของตนที่ไม่ได้เป็นขโมย หรือล่วงประเวณี
เขารู้สึกพอใจกับสิ่งที่ตนเองทำเป็นพิเศษ เช่น การอดอาหารสัปดาห์ละสองวัน
และได้ถวายหนึ่งในสิบของรายได้ทั้งหมด
เขามีเจตนาเปรียบเทียบความดีของตนกับข้อเสียของคนอื่น เขาไม่ใช่คนที่น่ายกย่องอะไร
เขาเป็นคนหยิ่งยโส ภูมิใจในตนเองและดูหมิ่นคนอื่น
ส่วนคนเก็บภาษีเป็นคนบาปสาธารณะและเป็นที่เกลียดชังของชาวยิว (เพราะเก็บภาษีให้โรมันและเก็บส่วนเกินเป็นของตนเอง)
เขาตระหนักในความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า รู้ความจริงเกี่ยวกับตนเองและสำนึกผิด
ยืนอยู่ห่าง ๆ ไม่กล้าเงยหน้า ได้แต่ตีอกชกตัวและกล่าวว่า “ข้าแต่พระเจ้า
โปรดทรงพระกรุณาต่อข้าพเจ้าคนบาป ด้วยเถิด” (ลก 18:13) คำภาวนาของเขาเป็นคำภาวนาที่ดีที่สุดเพราะสำนึกในความบาปของตน
และตระหนักในความรักเมตตาของพระเจ้าที่ทรงให้อภัยคนบาป
ทำให้เขาเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า
อุปมาได้ให้บทเรียนแก่เราเรื่องการอธิษฐานภาวนาด้วยความสุภาพถ่อมตน
และการสำนึกผิดในบาปที่ตนเองทำ อีกทั้ง ตระหนักในความอ่อนแอของตนที่ได้ทำบาป
มีเพียงพระเจ้าเท่านั้นสามารถอภัยบาปเราได้ เราต้องหมั่นมาหาพระองค์บ่อย ๆ
ทางศีลอภัยบาป การให้อภัยของพระองค์ช่วยฟื้นฟูชีวิตเราให้กลับเป็นลูกของพระองค์
และเปิดหนทางสู่ชีวิตนิรันดรอีกครั้ง
เป็นที่น่าสังเกตว่า นักบุญผู้ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งใหญ่ เป็นคนสำนึกในความบาปของตนมากที่สุด
นักบุญเปาโลได้เขียนถึงตัวเองว่า “ข้าพเจ้าเป็นคนแรกในบรรดาคนบาปเหล่านี้”
(1 ทม 1:15) นักบุญฟรังซิส
อัสซีซีพูดถึงตัวเองว่า “ไม่มีใครอีกแล้วที่น่าเกลียด น่าชิงชัง
และน่าสังเวชเท่าตัวข้าพเจ้า” มีคำกล่าวว่า “ประตูสวรรค์นั้นเตี้ยมาก
ไม่มีใครเข้าไปได้ เว้นแต่คุกเข่าเข้าไปเท่านั้น” ดังนั้น ศิษย์พระคริสต์ต้องมีความสุภาพถ่อมตน
สำนึกว่าตนเป็นคนบาป ไม่กล่าวโทษ หรืออวดตัวว่าดีกว่าคนอื่น
ขวัญ ถิ่นวัลย์, เทศกาลมหาพรต 40 วันแห่งการฟื้นฟูชีวิตคริสตชน, (สกลนคร : สมศักดิ์การพิมพ์ กรุ๊ป, 2561), หน้า 85-86.
ที่มาภาพ : http://dustoffthebible.com/Blog-archive/2016/10/07/daily-bible-reading-devotional-luke-189-14-october-7-2016/
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น