เมตตาและยุติธรรม
อาทิตย์ สัปดาห์ที่ 25 เทศกาลธรรมดา ปี
A |
อสย
55:6-9 ฟป 1:20ค-24,27ก มธ 20:1-26 |
บทนำ
ฤดูเก็บผลองุ่นในปาเลสไตน์เริ่มปลายเดือนสิงหาคมถึงต้นกันยายนของทุกปี
เป็นห้วงเวลาที่เจ้าของสวนต้องการคนงานมากที่สุด เพราะต้องเร่งเก็บผลองุ่นให้เสร็จก่อนฤดูฝนช่วงกลางเดือนกันยายน
เวลาทำงานสำหรับชาวยิวเริ่มต้นตั้งแต่หกโมงเช้าถึงหกโมงเย็น นายจ้างอาจจ้างคนมาทำงานตอนหกโมงเช้า
เก้าโมงเช้า เที่ยงวัน บ่ายสามโมง และห้าโมงเย็น
เป็นไปได้ที่เจ้าของสวนใช้คนออกไปหาคนงานในตอนห้าโมงเย็น หากต้องเร่งเก็บผลองุ่นให้เสร็จ
อุปมาเรื่องคนงานในสวนองุ่น เป็นอุปมาที่มีชื่อเสียงที่สุดเรื่องหนึ่งของพระเยซูเจ้า
ซึ่งมีแต่เฉพาะในพระวรสารนักบุญมัทธิวเท่านั้น อุปมาได้สะท้อนภาพความเป็นจริงในระยะเริ่มแรกของพระศาสนจักร
ชาวยิวที่กลับใจเป็นคริสตชนมีความรู้สึกว่า คนต่างศาสนาที่กลับใจทีหลัง
อยู่ในฐานะเท่าเทียมกับพวกเขาซึ่งมาก่อนและคิดว่า ตนควรได้รับสิทธิพิเศษ
ความรู้สึกนี้ได้กลายเป็นปัญหาโต้แย้งในหมู่อัครสาวก และอุปมานี้ได้ให้คำตอบต่อปัญหานี้
ความอิจฉาริษยามักสร้างปัญหาให้กับปัจเจกบุคคลและหมู่คณะทุกยุคสมัย
อย่างที่เราได้ยินในอุปมาวันนี้ คนงานที่มาทำงานก่อนเกิดความรู้สึกไม่พอใจ “ทำไมเจ้าของสวนจ่ายค่าจ้างแก่คนงาน
ที่ทำงานมาตลอดทั้งวัน (12 ชั่วโมง) กับคนที่ทำงานเพียงชั่วโมงเดียวในจำนวนเท่ากัน
ดูไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย เพราะคนที่ทำงานมากกว่าสมควรได้รับค่าจ้างมากกว่า”
นี่เป็นวิธีคิดและการตัดสินแบบมนุษย์ในสังคมปัจจุบันที่เราคุ้นเคย
1.
เมตตาและยุติธรรม
อุปมาได้แสดงให้เห็นถึงความยุติธรรมและความใจดีมีเมตตาของเจ้าของสวนองุ่น
ที่ให้โอกาสคนว่างงานมาทำงานในสวนองุ่นโดยตกลงค่าจ้าง 1 เหรียญ ซึ่งเป็นค่าจ้างสำหรับเลี้ยงตนเองและครอบครัวในหนึ่งวัน
อีกทั้งยังรับอีกหลายกลุ่มมาทำงาน เมื่อถึงเวลาจ่ายค่าจ้างได้จ่ายให้คนละ 1
เหรียญเท่ากัน เป็นความยุติธรรมตามที่ได้ตกลง รวมถึงคนมาทีหลังทำงานเพียงชั่วโมงเดียว
เป็นความใจดีมีเมตตาต่อคนที่ต้องเลี้ยงตนเองและครอบครัวด้วยเงินจำนวนดังกล่าว
อุปมานี้ได้เปิดเผยให้ทราบถึงพระทัยเมตตาและพระยุติธรรมของพระเจ้า
ที่เปิดต่อทุกคนเท่าเสมอกัน พระเจ้าทรงเป็นเหมือนบิดาที่ใจดีมีเมตตา บิดาย่อมไม่รักบุตรคนโตมากกว่าคนเล็ก
แม้คนโตเกิดก่อนและอายุมากกว่า ความรักไม่สามารถคิดคำนวณเป็นตัวเลขมากน้อย
สมาชิกของครอบครัวย่อมเป็นที่รักของบิดาเท่ากัน เพราะต่างเป็นบุตรชายหญิงของบิดาเหมือนกัน
ดังนั้น ในครอบครัวของพระเจ้า ทุกคนเป็นที่รักของพระเจ้าเท่าเสมอกัน
คนงานที่ไม่พอใจและอิจฉาริษยาเพราะความเห็นแก่ตัวของพวกเขา
ที่ไม่เปิดใจต่อพระทัยเมตตาของพระเจ้า ซึ่งสะท้อนชีวิตของบรรดาธรรมาจารย์และชาวฟาริสีที่คิดว่า
พวกเขาต้องเป็นพวกแรกในพระอาณาจักรและดีกว่าคนอื่น
ทำให้พวกเขาแยกตัวออกไปจากคนอื่นและหมู่คณะ อีกทั้ง ยังตำหนิชาวยิวที่คิดว่า ตนเองเป็นชนชาติที่ได้รับเลือกสรรจากพระเจ้า
และควรได้รับสิทธิพิเศษ พวกเขารู้สึกไม่พอใจที่พระเจ้าให้สิทธิพิเศษแก่คนต่างชาติที่มาทีหลัง
2.
บทเรียนสำหรับเรา
อุปมาเรื่องคนงานในสวนองุ่นได้ให้บทเรียนสำคัญสำหรับเราหลายประการ
ในการนำไปปฏิบัติในชีวิตประจำวัน
ประการแรก เราต้องเลียนแบบพระทัยเมตตาของพระเจ้า สิ่งที่พระเจ้าประทานแก่เราไม่ได้ขึ้นอยู่กับตัวเรา
แต่เป็นพระทัยเมตตาล้นเหลือของพระองค์ที่มีต่อทุกคน แม้คนบาปและคนต่างศาสนา พระหรรษทานของพระเจ้าจำเป็นสำหรับการเข้าในอาณาจักรของพระองค์
และประทานให้ทุกคนเท่าเสมอกัน มากกว่าที่เราสมควรได้รับด้วยซ้ำ ดังนั้น เราควรตอบสนองในลักษณะเดียวกัน
ด้วยการยื่นมือช่วยเหลือคนขัดสน ไม่ควรบ่นว่า หรืออิจฉาริษยากัน
ประการที่สอง เราต้องดำรงไว้ซึ่งความยุติธรรม พระเจ้าไม่ได้มองดูที่งาน หรือความดีที่เราทำ
แต่ทรงมองดูที่ความจำเป็นของเรา
เจ้าของสวนจ่ายค่าจ้างให้คนงานคนละหนึ่งเหรียญตามที่ตกลง นี่คือความยุติธรรม
เจ้าของสวนคิดถึงหัวอกของคนว่างงานและใช้เงินที่มีอยู่เพื่อช่วยเหลือทุกคน
เงินหนึ่งเหรียญคือค่าจ้างที่จำเป็นสำหรับเลี้ยงตัวเองและครอบครัวในหนึ่งวัน
หากได้น้อยกว่านี้ ย่อมทำให้ครอบครัวของเขาต้องหิวโหยในคืนนั้นและวันรุ่งขึ้นอย่างแน่นอน
ประการที่สาม เราต้องรักทุกคน
ความรักของพระเจ้าไม่แบ่งแยก
ไม่มีเงื่อนไข และไร้ขีดจำกัด ทรงรักทุกคนโดยเฉพาะคนขัดสนที่ขาดสิ่งจำเป็นสำหรับการดำรงชีวิต
ทรงพอพระทัยนำเขามาทำงานในอาณาจักรของพระองค์ “จงไปทำงานในสวนองุ่นของฉันเถิด
ฉันจะให้ค่าจ้างตามสมควร” (มธ 20:4) เพื่อให้เขาได้มีความสุขกับพระองค์
ดังนั้น ไม่ว่าเราจะเป็นคริสตชนช้า หรือเร็ว เราต่างเป็นที่รักของพระเจ้าที่ทรงรักและต้อนรับทุกคน
บทสรุป
พี่น้องที่รัก อุปมาได้แสดงถึงพระทัยเมตตาและพระยุติธรรมของพระเจ้า
ทรงเลือกผู้ที่พอพระทัยอย่างอิสระ ซึ่งเราไม่สามารถเข้าใจด้วยวิธีคิดแบบมนุษย์ ทรงเรียกทุกคนให้มาทำงานในอาณาจักรของพระองค์ด้วยความรัก
เพื่อให้ทุกคนได้พบความรอดนิรันดร เราควรทำงาน หรือทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย
เพื่อการรับใช้พระเจ้าและเพื่อนมนุษย์ด้วยความยินดี
คุณค่าแห่งการรับใช้ของเราวัดได้จากความรักและความใจกว้างที่เราแสดงออกต่อกัน
เราต้องเลียนแบบความใจดีมีเมตตาและความยุติธรรมของพระเจ้า ทั้งในคำพูดและการกระทำในชีวิตประจำวัน เป็นต้น ต่อผู้เดือดร้อนและต้องการความช่วยเหลือ
มีเพียงสิ่งนี้เท่านั้นที่ทำให้เราคู่ควรกับรางวัลที่ทรงสัญญา ศิษย์พระคริสต์ต้องไม่อิจฉาริษยา โลภ และเห็นแก่ตัว ที่นำไปสู่ความแตกแยกของสังคมและหมู่คณะ
แต่ทำงานที่รับมอบหมายด้วยความผิดชอบและทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด โดยมีความยุติธรรมและความเมตตาเป็นฐาน
คุณพ่อขวัญ ถิ่นวัลย์
ID LINE : dondaniele
วัดนักบุญยอแซฟ ดอนทอย-หนองสนุก, สกลนคร
23 กันยายน 2023
ภาพ : การเกี่ยวข้าวของชาวนาบัว, วานรนิวาส, สกลนคร; 2011-11-15
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น