วันพุธที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2560

บุญราศีลาวชาวไทย ยอแซฟ อุทัย พองพูม

บุญราศีลาวชาวไทย ยอแซฟ อุทัย พองพูม
1.        บทนำ
นับเป็นความชื่นชมยินดีอย่างใหญ่หลวงของพระศาสนจักรลาวที่มีบุญราศีใหม่ 17 องค์ ซึ่งได้รับการประกาศแต่งตั้งและเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่ ณ อาสนวิหารพระหฤทัยของพระเยซูเจ้า เวียงจันทน์ วันที่ 11 ธันวาคม ค.ศ. 2016 (พ.ศ. 2559) โดยมีพระคาร์ดินัลเกเวโด โอแลนโด แบลทรัม คณะธรรมทูตแห่งมารีย์นิรมล (OMI)  ชาวฟิลิปปินส์ ผู้แทนสมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส เป็นประธานในพิธีบูชาขอบพระคุณและอ่านจดหมายแต่งตั้ง ยอแซฟ เตียนและเพื่อนมรณสักขีอีก 16 องค์เป็น “บุญราศี” ณ มหาวิหารนักบุญเปโตร กรุงโรม ประเทศอิตาลี วันที่ 3 ธันวาคม ค.ศ. 2016 (พ.ศ. 2559)
พระศาสนจักรลาวกับพระศาสนจักรไทยมีความเกี่ยวข้องและเชื่อมโยงกันมายาวนาน โดยเฉพาะมิสซังลาวในอดีตซึ่งแยกออกมาจากมิสซังสยาม วันที่ 24 พฤษภาคม ค.ศ. 1899 (พ.ศ. 2442) “มิสซังลาว” หมายถึงภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยและประเทศลาว แต่ไม่รวมแขวงซำเหนือ แขวงไทนินตะวันออกและแขวงอัตตาปือทางภาคใต้ โดยสันตะสำนักได้แต่งตั้งคุณพ่อยัง มารีย์ กืออ๊าสเป็นพระสังฆราชปกครององค์แรก ก่อนแยกมิสซังเวียงจันทน์และหลวงพระบางจากมิสซังลาว ในสมัยพระสังฆราชอังเยโล มารีย์ แกวง วันที่ 18 มิถุนายน ค.ศ. 1938 (พ.ศ. 2481) มอบให้คณะธรรมทูตแห่งมารีย์นิรมลปกครองดูแล
แต่พื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศลาวยังอยู่ในความดูแลของมิสซังลาว โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่หนองแสง นครพนม ภายใต้การดูแลของคณะมิสซังต่างประเทศแห่งกรุงปารีส (MEP) อีกทั้ง คริสตชนในมิสซังลาวล้วนเป็นพี่น้องกัน ซึ่งบรรดาธรรมทูตรุ่นบุกเบิกภายใต้การนำของคุณพ่อกองสตังต์ ยัง บัปติสต์ โปรดมและคุณพ่อฟรังซัวร์ ซาเวียร์ เกโกได้ให้ความช่วยเหลือ ไถ่จากการเป็นทาส และก่อตั้งกลุ่มคริสตชนขึ้นตามหมู่บ้านต่างๆ ทั้งในภาคอีสานของประเทศไทยและประเทศลาว ก่อนที่สันตะสำนักจะแยกมิสซังลาวออกเป็น 2 มิสซังตามเขตประเทศ วันที่ 21 ธันวาคม ค.ศ. 1950 (พ.ศ. 2493) คือ “มิสซังท่าแขก” และ “มิสซังท่าแร่” ในสมัยพระสังฆราชเกลาดิอุส บาเยต์ 
 พิธีแต่งตั้งและเฉลิมฉลอง ณ อาสนวิหารพระหฤทัยของพระเยซูเจ้า เวียงจันทน์
วันอาทิตย์ที่ 11 ธันวาคม 2016
2.        บุญราศียอแซฟ อุทัย พองพูม
เป็นที่น่ายินดีว่าในบรรดาบุญราศีลาว 17 องค์นั้นมีคนไทยอยู่ด้วยหนึ่งคนคือ บุญราศียอแซฟ อุทัย พองพูม ซึ่งเป็นชาวคำเกิ้ม จากวัดนักบุญยอแซฟ คำเกิ้ม ตำบลอาจสามารถ อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม ในอัครสังฆมณฑลท่าแร่-หนองแสง ยอแซฟ อุทัย พองพูมเป็นครูคำสอนและเป็นผู้ช่วยคนสำคัญของคุณพ่อโนแอล เตอโน ในการสอนคำสอน เยี่ยมเยียนให้กำลังใจและให้ความช่วยเหลือคริสตชนตามหมู่บ้านต่างๆ ที่คุณพ่อมอบหมายให้ดูแล อีกทั้ง ได้ช่วยเตรียมครูคำสอน ก่อนพลีชีพเป็นมรณสักขีด้วยกันใกล้เมืองพะลานในการไปเยี่ยมเยียนคริสตชนสำรองเขตเซโปน แขวงสะหวันนะเขต และได้รับการแต่งตั้งเป็นบุญราศีในคราวเดียวกัน
วัดนักบุญยอแซฟ คำเกิ้ม ซึ่งอุทัย พองพูมได้รับศีลล้างบาปและศีลสมรส
2.1  กำเนิดและชีวิตวัยเด็ก
อุทัย พองพูม เกิดที่บ้านคำเกิ้ม หมู่บ้านคริสตชนเก่าแก่ที่ก่อตั้งโดยคุณพ่อซาเวียร์ เกโก ค.ศ. 1885 (พ.ศ. 2428) และเคยเป็นศูนย์กลางของการแพร่ธรรมในระยะเริ่มแรก ตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองนครพนมไปทางเหนือประมาณ 3 กิโลเมตร เราไม่ทราบแน่ชัดว่าอุทัย พองพูมเกิดเมื่อไหร่ เนื่องจากไม่พบหลักฐานเกี่ยวกับตัวท่าน หลักฐานเดียวที่พบมีเพียงเอกสารศีลสมรสที่อ้างถึงวันที่ท่านได้รับศีลล้างบาป วันสมโภชพระคริสตสมภพ 25 ธันวาคม ค.ศ. 1933 (พ.ศ. 2476)  ที่วัดนักบุญยอแซฟ คำเกิ้ม โดยเป็นบุตรของเปาโล เครือกับอันนา ผาน พองพูม
จากคำบอกเล่าของนางบัวผัน วงษ์ษา (ยายคำแสน) วัย 79 ปี น้องสาวคนเล็กของบุญราศีอุทัย พองพูมที่ยังมีชีวิตอยู่ ทำให้เราทราบว่าบุญราศีอุทัย พองพูม เป็นลูกคนที่ 10 ในจำนวนพี่น้อง 22 คน แต่ส่วนใหญ่เสียชีวิตตั้งแต่เป็นเด็ก เปาโล เครือ พองพูม ผู้บิดาเคยเป็นเณรที่บ้านเณรบางช้าง ตำบลบางยี่รงค์ อำเภอบางคนที จังหวัดสมุทรสงคราม (รุ่นใกล้กับพระสังฆราชมิแชล มงคล ประคองจิต เพราะคุ้นเคยและรู้จักกันเป็นอย่างดี) เมื่อกลับมาบ้านได้พบรักกับอันนา ผาน และได้แต่งงานกัน
เปาโล เครือ พองพูม ได้สร้างครอบครัวและใช้วิชาความรู้ที่เคยเรียนที่บ้านเณร ทำหน้าที่ครูคำสอนที่วัดคำเกิ้มและช่วยงานพระศาสนจักรอย่างเต็มกำลังความสามารถ  เนื่องจากบุตรธิดาทั้งหมดเสียชีวิต ดังนั้น เมื่อให้กำเนิดเด็กชายอุทัย พองพูม ครูเครือได้นำบุตรชายไปล้างบาปที่วัดกับคุณพ่อโนแอล เตอโน เจ้าอาวาสในขณะนั้นและมอบให้เป็นลูกโดยหวังว่าจะรอดชีวิต และคุณพ่อได้มอบให้ซิสเตอร์เวโรนิกาคณะรักกางเขนแห่งเชียงหวาง ประเทศลาวซึ่งประจำที่วัดคำเกิ้มเป็นคนเลี้ยง
2.2  กระแสเรียกและแผนการของพระเจ้า
ในห้วงเวลาที่เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 และกรณีพิพาทอินโดจีน วันที่ 28 พฤศจิกายน ค.ศ. 1940 (พ.ศ. 2483) บรรดาธรรมทูตชาวฝรั่งเศสถูกขับไล่ออกนอกประเทศทั้งหมด รวมถึงคุณพ่อโนแอล เตอโน เจ้าอาวาสวัดคำเกิ้มด้วย วัดวาอารามถูกปิดและเกิดการเบียดเบียนศาสนา วัดคำเกิ้มถูกลอบวางเพลิงเหลือแต่โครงสร้างก่ออิฐถือปูน เด็กชายอุทัย พองพูมขณะนั้นอายุได้ 7 ขวบ รับรู้ถึงบรรยากาศแห่งความยากลำบาก เคียงข้างบิดาที่คอยให้กำลังใจและเสริมสร้างความเชื่อชาวคำเกิ้ม
ในช่วงเวลาดังกล่าวซิสเตอร์เวโรนิกายังคงอยู่ที่คำเกิ้ม แต่ไม่สามารถสวมชุดนักบวชและอยู่เป็นหมู่คณะไม่ได้ ครอบครัวของเปาโล เครือ พองพูมได้ให้ที่พักและดูแลซิสเตอร์ที่บ้านของตน การมีนักบวชอยู่ในครอบครัวและคอยให้การอบรมบ่มบ่มเพาะ ทำให้เด็กชายอุทัย พองพูมเป็นคนฉลาด มีความเชื่อศรัทธาและความประพฤติเรียบร้อย ดังนั้น เมื่อสงครามและการเบียดเบียนศาสนาสิ้นสุดลง ค.ศ. 1945 (พ.ศ. 2488) เด็กชายอุทัย พองพูมในวัย 12 ปีได้ถูกส่งเข้าบ้านเณรเล็ก
นางบัวผัน วงษ์ษา น้องสาวยืนยันว่าพี่ชายถูกส่งตัวไปเข้าบ้านเณรบางนกแขวก ตำบลบางยี่รง อำเภอบางคนที จังหวัดสมุทรสงคราม โดยเรียนอยู่ที่นั่นเป็นเวลา 6 ปีจนจบชั้นมัธยมศึกษา แต่ข้อมูลช่วงนี้ไม่ชัดเจนนัก เนื่องจากไม่ปรากฏหลักฐานที่บ้านเณรบางนกแขก อีกทั้งสามเณรที่เคยเรียนที่บ้านเณรบางนกแขกในช่วงเวลาดังกล่าว (ค.ศ. 1945-1953) ยังมีชีวิตอยู่หลายคน อาทิ คุณพ่อสมบูรณ์ แสงประสิทธิ์, คุณพ่ออาทร พัฒนภิรมย์  และอาจารย์พิบูลย์ ยงค์กมล ไม่มีใครรู้จักชื่อ “อุทัย พองพูม” เลย
เอกสารศีลสมรสของอุทัย พองพูม ซึ่งเป็นหลักฐานเดียวที่มีอยู่
2.3  ชีวิตครอบครัว
หลังจากเรียนจบชั้นมัธยมศึกษา อุทัย พองพูมได้ออกจากบ้านเณรกลับมาใช้ชีวิตที่บ้านคำเกิ้มไม่ได้ศึกษาต่อ แต่ได้ช่วยงานครอบครัวดูแลน้องๆ 4 คนช่วยบิดามารดา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการช่วยงานพระศาสนจักรที่วัดคำเกิ้มอย่างแข็งขัน ด้วยการเป็นครูคำสอน ผู้นำภาวนา ร้องเพลงในวัด อ่านบทอ่านและสอนคำสอน ต่อมาอุทัย พองพูมในวัย 20 ปีได้พบรักและแต่งงานกับมารีอา คำตัน ทองคำ ซึ่งอายุมากกว่า 5 ปี
ทั้งสองได้รับศีลสมรสที่วัดคำเกิ้ม วันที่ 17 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1953 (พ.ศ. 2496)  ตามทะเบียนศีลสมรสวัดคำเกิ้ม เลขที่ 20 โดยมีคุณพ่อเปาโล คำจวน ศรีวรกุล เป็นผู้ประกอบพิธี หลังจากนั้นภรรยาได้ตั้งครรภ์และให้กำเนิดบุตรสาว แต่ได้เกิดเหตุการณ์สะเทือนใจและเศร้าสลดเป็นอย่างยิ่ง เมื่อภรรยาสุดที่รักของท่านได้เสียชีวิตขณะให้กำเนิด และอีก 3 เดือนต่อมาบุตรสาวได้เสียชีวิตตามมารดา 
หลังจากนั้นประมาณ 1 ปี คุณพ่อโนแอล เตอโน อดีตเจ้าอาวาสซึ่งเป็นอุปสังฆราชมิสซังท่าแขกที่เพิ่งก่อตั้งวันที่ 21 ธันวาคม ค.ศ. 1950 (พ.ศ. 2493) ได้กลับไปเยี่ยมสัตบุรุษที่วัดคำเกิ้ม และกำลังต้องการบุคลากรมาช่วยงานแพร่ธรรมในพื้นที่อันกว้างใหญ่ของมิสซังใหม่ คุณพ่อได้ชักชวนครูอุทัย พองพูมไปเป็นครูคำสอนที่ประเทศลาว ซึ่งท่านยินดีที่ไปกับคุณพ่อ อีกทั้ง บิดามารดาผู้ชรายินดีมอบลูกชายให้กับพระศาสนจักร
คุณพ่อโนแอล เตอโนที่อุทัย พองพูมติดตามช่วยงานและพลีชีพเป็นมรณสักขีด้วยกัน
2.4  ชีวิตครูคำสอนและผู้แพร่ธรรม
ครูอุทัย พองพูมได้เป็นผู้ช่วยคนสำคัญของคุณพ่อโนแอล เตอโนในการสอนคำสอน เยี่ยมเยียนชาวบ้าน และให้ความช่วยเหลือคนที่เดือดร้อนและเจ็บป่วยตามหมู่บ้านต่างๆ โดยเฉพาะที่บ้านป่งกิ่ว เมืองหนองบก แขวงคำม่วน ซึ่งบ้านป่งกิ่ว บึงหัวนา และดงหมากบ้าเป็นหมู่บ้านของชนเผ่าโส้ ที่ได้รับแสงสว่างแห่งพระวรสารจากการแพร่ธรรมของคุณพ่อซาเวียร์ เกโก ค.ศ. 1887 (พ.ศ. 2430)
บ้านป่งกิ่วตั้งอยู่ห่างจากเมืองท่าแขกไปทางใต้ประมาณ 45 กิโลเมตร อยู่ลึกเข้าไปจากถนนใหญ่ 13 กิโลเมตร ยังคงปรากฏร่องรอยของการเป็นหมู่บ้านที่อยู่กลางป่าลึกตามบันทึกของคุณพ่อซาเวียร์ เกโก เห็นได้จากต้นยางขนาดใหญ่ในบริเวณสุสาน บ้านพักพระสงฆ์ซึ่งเคยเป็นที่พักของคุณพ่อโนแอล เตอโนกับครูอุทัย พองพูม ตามคำยืนยันของท้าวอรหันต์ วรจักร ครูคำสอนวัย 77 ปี (ซึ่งเคยได้รับการอบรมจากครูอุทัย) ยังคงอยู่ในสภาพดี แต่ปัจจุบันเป็นที่พักของซิสเตอร์คณะชาลิเต
จากหลักฐานบันทึกศีลล้างบาปของวัดนักบุญยอห์น บัปติสต์ ป่งกิ่ว แสดงให้เห็นว่าคุณพ่อโนแอล เตอโนทำหน้าที่ดูแลวัดแห่งนี้ในช่วง ค.ศ. 1949-1958 (พ.ศ. 2492-2501) มีบางช่วงที่ปรากฏลายมือชื่อของพระสงฆ์องค์อื่น ครูอุทัย พองพูมน่าจะได้อยู่กับคุณพ่อโนแอล เตอโนในช่วง ค.ศ. 1955-1958 (พ.ศ. 2498-2501)  เป็นเวลา 4 ปีตามคำบอกเล่าของน้องสาว (ยายคำแสน) ทุกปีครูอุทัย พองพูมได้กลับไปเยี่ยมครอบครัวที่คำเกิ้ม รวมถึงไปร่วมงานปลงศพอันนา ผาน พองพูม มารดาที่ถึงแก่กรรม
ประมาณเดือนเมษายน ค.ศ. 1958 (พ.ศ. 2501) คุณพ่อโนแอล เตอโนได้เดินทางกลับประเทศฝรั่งเศสเป็นเวลา 1 ปี ถือเป็นห้วงเวลาแห่งการทดลองของครูอุทัย พองพูม ความเป็นอยู่ที่อัตคัดทำให้ท่านตัดสินใจเดินทางกลับคำเกิ้มบ้านเกิด เป็นเวลาเดียวกันกับที่คุณพ่อมีคาแอล เกี้ยน เสมอพิทักษ์ไปถวายมิสซาที่วัดคำเกิ้ม ได้พบและประทับใจครูอุทัย พองพูมมาก เมื่อได้รับการแต่งตั้งและอภิเษกเป็นพระสังฆราชของมิสซังท่าแร่ วันที่ 1 กรกฎาคม ค.ศ. 1959 (พ.ศ. 2502) ได้ชักชวนครูอุทัย พองพูมไปอยู่ด้วยเพื่อเป็นกำลังสำคัญในทีมแพร่ธรรม (Ad gentes)
บ้านพักที่วัดนักบุญยอห์น บัปติสต์ ป่งกิ่วซึ่งอุทัย พองพูมเคยอยู่กับคุณพ่อโนแอล เตอโน
2.5  ชีวิตแห่งการเป็นพยานและมรณสักขี
ครูอุทัย พองพูมอยู่กับพระสังฆราชเกี้ยน เสมอพิทักษ์เพียงช่วงเวลาสั้นๆ เมื่อคุณพ่อโนแอล เตอโนกลับจากประเทศฝรั่งเศสและได้รับมอบหมายให้บุกเบิกเขตแพร่ธรรมใหม่ในแขวงสะหวันนะเขต ตั้งแต่เมืองเซโนจนถึงชายแดนประเทศเวียดนามระยะทางประมาณ 200 กิโลเมตร คุณพ่อได้ไปขอครูอุทัย พองพูมจากพระสังฆราชเกี้ยน เสมอพิทักษ์เพื่อการประกาศข่าวดี เมื่อพ่อลูกเจอหน้ากันต่างร้องไห้กอดกันกลม คุณพ่อโนแอล เตอโนได้พูดกับครูอุทัย พองพูมว่า “เราจะตายด้วยกันและไปสวรรค์ด้วยกัน” เหมือนจะรู้ล่วงหน้าว่าจะเป็นมรณสักขีด้วยกัน
ที่สุด ครูอุทัย พองพูมได้ติดตามคุณพ่อโนแอล เตอโนไปประเทศลาวอีกครั้ง และเป็นเพื่อนร่วมงานของคุณพ่อในงานการแพร่ธรรมทุกหนทุกแห่ง โดยเช่าห้องหนึ่งในตึกแถวไม้แบบร้านค้าจีนที่เมืองเชโปนเป็นฐานแพร่ธรรมตามหมู่บ้านต่างๆ  ซึ่งขณะนั้นยังไม่มีวัดและคริสตชนเลย  ต้องอาศัยอาบน้ำในลำห้วย แต่ไม่เคยย่อท้อต่อความยากลำบาก สามารถปรับตัวและเข้าได้กับทุกคน นานๆ จะมีคนรู้จักมาเยี่ยมสักครั้ง
จากรายงานของคณะมิสซังต่างประเทศแห่งกรุงปารีสได้บอกว่า เดือนเมษายน ค.ศ. 1961 (พ.ศ. 2504) ในขณะที่คุณพ่อโนแอล เตอโนและครูอุทัย พองพูมกำลังปฏิบัติหน้าที่เยี่ยมเยียนระหว่างสะหวันนะเขตกับเซโปน ทหารเวียดนามเหนือได้จับตัวท่านทั้งสองและมอบให้กับทหารลาว(คอมมิวนิสต์)ใกล้เมืองพะลาน ทหารลาวได้นำตัวไปและไม่มีใครได้เห็นท่านทั้งสองอีกเลย เวลานั้นคุณพ่ออายุ 57 ปี และครูอุทัย พองพูมอายุ 28 ปี สันนิษฐานว่าทั้งสองถูกยิงเสียชีวิต วันที่ 29 เมษายน ค.ศ. 1961 (พ.ศ. 2504) นับเป็นการเดินทางครั้งสุดท้ายที่ไม่มีวันกลับ
บางรายงานบอกว่าเมื่อเดินทางมาถึงเซโน คุณพ่อโนแอล เตอโนและครูอุทัย พองพูมได้พบหมอสอนศาสนาโปรเตสแตนท์ซึ่งรับผิดชอบโรงพยาบาลโรคเรื้อนที่เซโปน ได้แนะนำมิให้ไปเซโปนเนื่องจากมีอันตราย แต่ทั้งสองมิได้ละความตั้งใจยังคงเดินทางต่อไป ไม่มีข้อสงสัยว่าทั้งคุณพ่อโนแอล เตอโนและครูอุทัย พองพูมรู้ถึงอันตรายที่จะเกิดขึ้น แต่ได้ยอมเสี่ยงและสละชีวิตด้วยความเชื่อเพื่อการประกาศพระวรสาร ความเกลียดชังต่อความเชื่อคริสตศาสนาเป็นเหตุผลหนึ่งของความตายของทั้งสอง
3.        บทส่งท้าย
บุญราศียอแซฟ อุทัย พองพูม ได้ดำเนินชีวิตซื่อสัตย์ต่อความเชื่อคริสตชน รับใช้ประชากรของพระเจ้าอย่างกล้าหาญและสละชีวิตเป็นประจักษ์พยานถึงพระเยซูเจ้า เพื่อทำให้ทุกคนได้ตระหนักถึงความรักของพระเจ้าและข่าวดีแห่งสันติสุข ความยุติธรรม ความรักเมตตาและการให้อภัยที่พระเยซูเจ้าทรงสอน ท่านได้เลียนแบบพระอาจารย์เจ้าจนถึงที่สุดคือความตายบนไม้กางเขน และได้แสดงให้เห็นว่าความตายมิใช่สิ่งที่น่ากลัวและสูญเปล่า แต่ได้กลายเป็นเมล็ดพันธุ์ชั้นดีที่ทำให้พระศาสนจักรเติบโตและเกิดผล
แม้เราจะพบข้อมูลและหลักฐานเกี่ยวกับยอแซฟ อุทัย พองพูมน้อยมาก แต่บัดนี้เป็นที่ชัดแจ้งแล้วว่าท่านและเพื่อนมรณสักขีอีก 16 ท่านได้รับการแต่งตั้งจากสมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิสให้เป็น “บุญราศี” อันเป็นวีรกรรมที่ควรยกย่องและเป็นความชื่นชมยินดีของพระศาสนจักรทั้งมวล โดยเฉพาะต่อคริสตชนวัดนักบุญยอแซฟคำเกิ้มและคริสตชนในอัครสังฆมณฑลท่าแร่-หนองแสง ที่จะเลียนแบบวีรกรรมของท่านอย่างซื่อสัตย์และกล้าหาญ อีกทั้ง วอนขอพระพรจากพระเจ้าผ่านทางคำเสนอวิงวอนของท่าน ให้สามารถสานต่อมรดกทางความเชื่อนี้สืบไป
คุณพ่อขวัญ ถิ่นวัลย์
San Tomasso Ashram, วัดป่าพนาวัลย์
19 มีนาคม 2017 สมโภชนักบุญยอแซฟ
หมายเหตุ:
บทความนี้ปรับปรุงและแก้ไขจากบทความ "บุญราศีลาวชาวไทย อุทัย พองพูม" ที่เคยเขียนก่อนหน้านี้ http://dondaniele.blogspot.com/2016/12/blog-post.html


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น