พึงระวังความโลภทุกชนิด
อาทิตย์
สัปดาห์ที่ 18
เทศกาลธรรมดา
ปี C
|
ปญจ 1:2; 2:21-23
คส 3:1-5, 9-11
ลก 12:13-21
|
บทนำ
มีเรื่องเล่าว่าเจ้าของนามั่งคั่งคนหนึ่ง
ตั้งใจตอบแทนผู้เช่านาเป็นเวลานาน โดยเสนอมอบที่นาแปลงหนึ่งให้
เนื้อที่ตามจำนวนที่สามารถไถได้ตั้งแต่ 8 โมงเช้าถึง 6 โมงเย็น ผู้เช่านาดีใจมากที่จะได้มีที่นาเป็นของตัวเอง
เขาเตรียมตัวออกกำลังกายทุกวัน
บำรุงร่างกายด้วยอาหารเสริมสุขภาพและเครื่องดื่มชูกำลัง
เพื่อเตรียมร่างกายให้พร้อมสำหรับโอกาสดีที่มีผู้หยิบยื่นให้
ผู้เช่านาเฝ้ารอวันอย่างใจจดใจจ่อ
คืนก่อนถึงวันนัดหมายเขาตื่นเต้นจนนอนไม่หลับ เมื่อวันนัดหมายมาถึงเขาเริ่มไถอย่างรีบเร่งโดยไม่ยอมหยุดเลย
แม้ตอนเที่ยงวันยังไม่ยอมพักทานข้าวด้วยกลัวเสียเวลา ยิ่งดวงอาทิตย์คล้อยต่ำลงใกล้หกโมงเย็นยิ่งโหมหนักเพราะคิดว่า หลังจากนี้เขาจะได้เป็นเจ้าของที่นาหลายสิบไร่แบบฟรี ๆ
โดยไม่ต้องจ่ายอะไร นอกจากแรงกายที่เขาทุ่มเทไถมาตั้งแต่เช้า
แต่แล้วสิ่งที่ผู้เช่านาไม่คาดฝันได้เกิดขึ้น
ก่อนถึงเวลาหกโมงเย็น เขารู้สึกเสียวตรงหัวใจ เนื่องจากความเหน็ดเหนื่อยและสูญเสียน้ำในร่างกายในปริมาณมาก
ทำให้เขาหัวใจวายเฉียบพลัน ล้มลง และสิ้นใจตาย ไม่มีโอกาสเป็นเจ้าของที่นาผืนใหญ่ตามที่มุ่งหวัง
นอกจากที่ดินผืนเล็ก ๆ เพียงหนึ่งตารางวา เพื่อฝังร่างไร้วิญญาณเท่านั้น เรื่องนี้สะท้อนความจริงว่า เมื่อจบชีวิตลงเราไม่สามารถเอาอะไรไปได้เลย
1. พึงระวังความโลภทุกชนิด
พระวรสารวันนี้
เริ่มต้นจากสถานการณ์ที่มีชาวยิวคนหนึ่งมาขอร้องพระเยซูเจ้า ให้พูดกับพี่ชายเรื่องแบ่งมรดก
ซึ่งถือเป็นเรื่องธรรมดาที่ชาวยิวไปปรึกษาปัญหากับรับบีที่ตนนับถือ
การมาหาพระเยซูเจ้าแสดงให้เห็นว่า เขาถือพระองค์เป็นรับบีคนหนึ่ง ซึ่งตามบทบัญญัติของโมเสสระบุชัดว่า บุตรชายหัวปีจะได้มรดกสองในสามส่วนของบิดา
ส่วนอีกหนึ่งส่วนเป็นของน้องชาย หรือแบ่งกันระหว่างบุตรคนอื่นที่เหลือ (ฉธบ 21;15-17, กดว 27:1-11, 36:7-9)
ชายคนนั้นรู้กฎหมายดีแต่ไม่พอใจในส่วนแบ่งที่ได้รับ
เนื่องจากเขาเป็นคนโลภจึงมาหาพระเยซูเจ้า แต่ได้รับการปฏิเสธอย่างไม่ใยดีจากพระองค์
ทำไมเป็นเช่นนั้น ความจริงพระเยซูเจ้าต้องการช่วยเขาให้มองไปที่ต้นตอของปัญหา หากท่านรักกันและกันเหมือนพี่น้อง
และเข้าใจดีถึงคุณค่าของทรัพย์สมบัติในโลกนี้ ท่านคงไม่ทะเลาะกัน โดยทรงยกอุปมาเรื่อง
“เศรษฐีโง่” ขึ้นมา เพื่อชี้ให้เห็นทัศนคติที่พึงมีต่อ “ทรัพย์สมบัติและสิ่งของในโลกนี้”
เราเห็นชัดว่าในหัวของเศรษฐีมีแต่ “ตัวเอง” ไม่มีที่ว่างสำหรับ “คนอื่น” พระเยซูเจ้าทรงเตือนว่า “จงระวังและรักษาตัวไว้ให้พ้นจากความโลภทุกชนิด” (ลก 12:15) นักบุญเปาโลได้ขยายความว่า “การรักเงินทองเป็นรากเหง้าของความชั่วทั้งหมด
ความโลภเงินทองทำให้บางคนหลงไปจากความเชื่อ” (1 ทธ 6:10) ดังสุภาษิตโรมัน “เงินเป็นเหมือนน้ำทะเล
ยิ่งดื่มมากยิ่งกระหายมาก” พระเยซูเจ้าจึงสอนว่า “ถ้าผู้ใดอยากตามเรา
ก็จงเลิกคิดถึงตนเอง” (มธ 16:24)
พระเยซูเจ้าทรงตำหนิเศรษฐีเพราะ 1) เขาใช้ทรัพย์สมบัติด้วย “ความโลภ” ซึ่งเป็นรากเหง้าของความชั่วและมองไม่เห็นความต้องการของผู้อื่น
เขาถูกครอบงำด้วยทรัพย์สมบัติจนไม่มีที่ว่างสำหรับพระเจ้าในจิตใจ, 2) เขาใช้ทรัพย์สมบัติโดยไม่คำนึงถึง “โลกหน้า” แผนการของเขาคือ “พักผ่อน กินดื่มและสนุกสนาน” (ลก 12:19) บาปของเขามิใช่การทำชั่ว แต่เป็นการเพิกเฉยที่จะทำความดี เขามิใช่คนมั่งมีในสายพระเนตรของพระเจ้า
แม้มีทรัพย์สมบัติมาก
2. บทเรียนสำหรับเรา
พระวาจาของพระเจ้าวันนี้ได้ให้บทเรียนสำคัญสำหรับเราหลายประการ
ในการนำไปปฏิบัติในชีวิต
ประการแรก เราต้องแบ่งปันสิ่งที่มีกับผู้อื่น อุปมาเรื่องเศรษฐีโง่เตือนใจเราว่า สิ่งต่าง
ๆ ที่มีล้วนเป็นของประทานจากพระเจ้า ซึ่งต้องใช้ให้เกิดประโยชน์มิใช่สำหรับตัวเองเท่านั้น
แต่สำหรับผู้อื่นด้วย ดังนั้น เราต้องมีจิตใจกว้าง แบ่งปันพระพรต่าง ๆ กับผู้อื่น อาทิ
เวลา ทรัพย์สิน และความสามารถพิเศษต่าง ๆ ที่มี และใช้ให้เกิดประโยชน์เพื่อความดีส่วนรวม
เป็นต้น คนยากจนขัดสน คนด้อยโอกาส และต้องการความช่วยเหลือ
ประการที่สอง
เราต้องรู้จักควบคุมความโลภ ซึ่งมีหลายรูปแบบ อาจเป็นความต้องการอำนาจ เกียรติยศชื่อเสียงและการยกย่องจากผู้อื่น
บางครั้งเป็นความต้องการกินดื่ม การพนัน ยาเสพติด และความมักมากในกาม
ความโลภเหล่านี้ทำให้ตัวเราถอยห่างจากพระเจ้าและการรับใช้ผู้อื่นด้วยความรัก ทำให้เรากลายเป็นทาสของวัตถุที่นำหายนะมาสู่วิญญาณของเรา
กระนั้นก็ดี พระเจ้าไม่เคยทอดทิ้งเรา พระองค์ทรงอดทนและยังคงรักเรา
ประการที่สาม
เราต้องเป็นคนมั่งมีสำหรับพระเจ้า เศรษฐีโง่เฝ้ามองแต่ประโยชน์ที่ได้จากความร่ำรวยทางวัตถุ
แต่ละเลยความหมายแท้จริงแห่งชีวิตคือ การอยู่กับพระเจ้า เขาสะสมทรัพย์สมบัติไว้เพื่อตนเองและใช้อย่างเห็นแก่ตัว
มีผู้คนเป็นจำนวนมากคิดแบบเศรษฐีโง่ เราต้องรู้จักใช้ทรัพย์สินเงินทองอย่างพอเพียง
ไม่เป็นภาระแก่ผู้อื่น แบ่งปันส่วนที่เหลือแก่ผู้ที่มีความจำเป็นและขัดสน เพื่อเป็นคนร่ำรวยในสายพระเนตรของพระเจ้า
บทสรุป
พี่น้องที่รัก ทรัพย์สินเงินทองเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการดำรงชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรีของมนุษย์
พระเยซูเจ้าทรงเข้าใจสิ่งเหล่านี้ ในอุปมาพระองค์มิได้ตำหนิทรัพย์สินเงินทอง
แต่ตำหนิ “ความโลภ” ของเศรษฐีคนนั้น
เขาเป็นคนร่ำรวยแต่ไม่พอใจในสิ่งที่ตนเองมี แม้เขาเป็นคนฉลาดตามมาตรฐานของโลก
แต่สำหรับพระเยซูเจ้าเขาเป็นคนโง่ เพราะละเลยและลืมสิ่งสำคัญ 3 ประการ : 1) ลืมพระเจ้า 2) ลืมคิดถึงชีวิตในโลกหน้า และ 3) ลืมคิดถึงพี่น้องที่ยากจนและขัดสน
สำหรับเศรษฐี “เงินอาจซื้อทุกสิ่งได้
แต่ไม่อาจซื้อความสุขได้ เงินอาจนำพาเขาไปทุกแห่งในโลก แต่ไม่อาจพาเขาไปสวรรค์”
ศิษย์พระคริสต์ต้องระวังความโลภทุกชนิด
ไม่สะสมทรัพย์สมบัติของโลก แต่สะสมทรัพย์สมบัติแห่งเมืองสวรรค์ และแบ่งปันสิ่งที่มีกับผู้อื่น
เพราะ “การให้ย่อมเป็นสุขมากกว่าการรับ” (กจ 20:35) เพื่อมีสันติสุขแท้และเป็นคนมั่งมีในสายพระเนตรของพระเจ้า
คุณพ่อขวัญ
ถิ่นวัลย์
khuanthinwan@gmail.com
วัดแม่พระแจกจ่ายพระหรรษทาน ดอนม่วย, สกลนคร
2 สิงหาคม 2019
ภาพ : พระสังฆราชอันตน วีระเดช ใจเสรี, วัดน้อยบ้านพักริมหนองหาร, สกลนคร; 2022-07-25
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น