ท่าทีของพระเยซูเจ้าต่อคนบาป
อาทิตย์
สัปดาห์ที่ 5 เทศกาลมหาพรต
ปี C
|
อสย 43:16-21
ฟป 3:8-14
ยน 8:1-11
|
บทนำ
มีเรื่องเล่าว่าในสมัยกลางมีซิสเตอร์รูปหนึ่งอ้างว่ามีญาณพิเศษได้เห็นองค์พระเยซูเจ้า
เพื่อพิสูจน์ความจริงเรื่องนี้ พระสังฆราชได้ถามซิสเตอร์ว่าได้พูดกับพระองค์ไหม
ซิสเตอร์ตอบว่า “ได้พูดคะ” พระสังฆราชแนะนำว่าหากพระเยซูเจ้าปรากฏให้เห็นอีก
ให้ถามพระองค์ว่า “บาปหนักที่สุดของพ่อก่อนเข้ารับตำแหน่งคือบาปอะไร” เพราะแน่ใจว่า คงมีแต่พระเจ้าและพระสงฆ์ผู้ฟังแก้บาปเท่านั้นที่รู้บาปนี้
สามเดือนต่อมาซิสเตอร์ได้นัดหมายขอพบพระสังฆราช
เมื่อพบกันพระสังฆราชได้ถามว่า “ได้เห็นพระอาจารย์เจ้าอีกไหม” ซิสเตอร์ตอบว่า “ใช่คะ” พระสังฆราชถามต่อว่า “ลูกได้ถามพระองค์เกี่ยวกับบาปของพ่อตามที่บอกให้ถามหรือเปล่า”
ซิสเตอร์ตอบว่า “ถามแล้วคะ” พระสังฆราชถามต่อด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่า “พระองค์ตอบว่าอย่างไร” ซิสเตอร์ยิ้มและตอบว่า “พระอาจารย์เจ้าตรัสว่า ‘เราไม่เคยจดจำเลย’”
เป็นความจริงว่า พระเจ้าไม่เคยจดจำความผิด หรือบาปที่มนุษย์กระทำเลย
พระองค์ทรงมองข้ามบาปที่เรากระทำและชีวิตที่ผ่านมา บทอ่านแรก พระองค์ทรงตรัสว่า “อย่าจดจำเหตุการณ์ที่ผ่านไปแล้ว อย่าคิดถึงเรื่องราวในอดีตอีกต่อไป” (อสย 43:18) แต่ให้มองไปข้างหน้าด้วยความไว้ใจในความรักและพระเมตตาของพระเจ้า
ดูเหมือนมนุษย์ทำในสิ่งที่ตรงข้าม ไม่เพียงแค่ไม่ลืมแต่ยังตัดสิน
ขุดคุ้ยตีแผ่และประจานให้ได้รับความอับอาย
1. ท่าทีของพระเยซูเจ้าต่อคนบาป
เรื่องหญิงน่าสงสารในพระวรสารที่ถูกจับได้ขณะล่วงประเวณี บรรดาธรรมาจารย์และชาวฟาริสีได้นำนางมาเป็นเครื่องมือจับผิดพระเยซูเจ้า
โดยมุ่งหวังให้ประชาชนเสื่อมศรัทธาในพระองค์ แม้ว่าตามกฎหมายพวกเขาสามารถนำคนผิดมาให้รับบีตัดสินได้
เพราะพระเยซูเจ้าได้ชื่อว่าเป็นรับบีผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่ง
เพียงแต่เจตนาของพวกเขาไม่ใช่ทำเพื่อรักษากฎหมาย หรือทำให้กฎหมายศักดิ์สิทธิ์ แต่ “เพื่อทดลองพระองค์ และหวังจะหาเหตุปรักปรำพระองค์” (ยน 8:6)
ไม่ว่าพระเยซูเจ้าทรงตัดสินอย่างใด ย่อมทำให้ประชาชนหมดความเชื่อถือในพระองค์
หากตัดสินให้ทุ่มหินนางให้ตายตามกฎของโมเสส (ลนต 20:10) แสดงว่า พระองค์โหดร้ายทารุณซึ่งตรงข้ามกับคำสอนเรื่อง “ความรักและความเมตตา” ที่ทรงปฏิบัติมาทั้งชีวิต
หากตัดสินลงโทษนางให้ตายย่อมผิดต่อกฎหมายโรมัน เท่ากับตั้งตนเป็นปฏิปักษ์กับโรม
ในทางตรงข้าม หากยกโทษให้นางเท่ากับสอนประชาชนให้ละเมิดกฎของโมเสส และเห็นด้วยกับการกระทำผิดประเวณี นี่คือกับดักอันร้ายกาจของบรรดาธรรมาจารย์และชาวฟาริสี
พระเยซูเจ้ามิได้ทรงตัดสินตามที่บรรดาธรรมาจารย์และชาวฟาริสีเรียกร้อง
พระองค์ทรงให้เวลาเพื่อให้พวกเขาได้คิดถึงอดีตของพวกเขาเอง
เมื่อพวกเขายังเซ้าซี้ทูลถามพระองค์อีกทรงตรัสว่า “ถ้าในพวกท่าน
ผู้ใดไม่เคยทำบาปเลย ก็ให้ผู้นั้นเอาหินทุ่มนางเป็นคนแรกเถิด” (ยน 8:7) เหตุการณ์นี้ได้เผยแสดงให้เห็นแนวทางปฏิบัติ
และท่าทีของพระเยซูเจ้าต่อคนบาปให้เราได้รับรู้ นั่นคืออย่าตัดสินผู้อื่น
จงสงสารผู้กระทำผิดและอย่าทำบาปอีก
2. บทเรียนสำหรับเรา
พระวาจาของพระเจ้าวันนี้ได้ให้บทเรียนสำคัญสำหรับเราหลายประการ
ในการนำไปปฏิบัติในชีวิตประจำวัน
ประการแรก เราต้องไม่ตัดสินผู้อื่น พระเยซูเจ้าตรัสว่า “อย่าตัดสินเขา และท่านจะไม่ถูกพระเจ้าตัดสิน” (มธ 7:1)
ทรงเปรียบเทียบคนที่ตัดสินผู้อื่นว่า เหมือนคนที่ชอบเขี่ยเศษฟางจากตาผู้อื่น
ขณะที่มีท่อนซุงในตาของตน (มธ 7:3-5) เราทุกคนล้วนเป็นคนบาปไม่ควรตัดสินใคร
แต่ชีวิตของเราสวนทางกับแนวทางของพระองค์
เราชอบสร้างบรรทัดฐานให้ผู้อื่นปฏิบัติแต่ตนเองกลับละเลย
เราชอบตัดสินและประณามผู้อื่นว่าผิด ขณะที่ความผิดของตนมองไม่เห็น
ประการที่สอง เราต้องสงสารผู้กระทำผิด พระเยซูเจ้าตรัสว่า “เราก็ไม่ลงโทษท่านด้วย
ไปเถิด…” (ยน 8:11) นี่คือมาตรฐานใหม่ที่พระเยซูเจ้าทรงมอบแก่เรา
เป็นพระดำรัสที่เปี่ยมด้วยความเมตตาสงสาร หากเราเป็นศิษย์พระคริสต์จริง
ความรู้สึกต่อผู้กระทำผิดต้องไม่ใช่การประณามหยามเหยียดหรือซ้ำเติมให้อับอาย
แต่ต้องสงสาร เข้าใจและให้กำลังใจ เพราะเราเองเป็นคนบาปคนหนึ่งที่ต้องการการให้อภัยจากพระเจ้า
อีกทั้ง ไม่มีใครไม่เคยผิดพลาดเลยในชีวิต “คนที่ไม่เคยทำผิดคือคนที่ไม่ทำอะไรเลย”
ประการที่สาม เราต้องไม่กลับไปทำบาปอีก พระเยซูเจ้าตรัสว่า “ตั้งแต่นี้ไป อย่าทำบาปอีก” (ยน 8:11)
พระองค์ตรัสเช่นนี้เพราะทรงมองโลกในแง่ดี ทรงเชื่อมั่นว่ามนุษย์ทุกคนมีศักยภาพเป็นนักบุญได้อาศัยความช่วยเหลือจากพระองค์
อีกทั้ง ไม่ทรงปรารถนาให้มนุษย์ท้อแท้สิ้นหวังเพราะคิดว่าตนเองเป็นคนบาป แต่ทรงประสงค์ให้เราเปลี่ยนแปลงชีวิต
มองไปข้างหน้าด้วยความหวังและวางใจพระองค์ เกลียดชังบาปและไม่กลับไปทำบาปอีก
บทสรุป
พี่น้องที่รัก เรามนุษย์เป็นผู้ที่ตกในความผิดบาปได้ง่าย
เราควรมีใจให้อภัยผู้อ่อนแอกว่าเรา หรือเป็นเช่นเดียวกันกับเรา หญิงล่วงประเวณีสำนึกว่าตนเป็นคนบาป
บรรดาธรรมาจารย์และชาวฟาริสีต้องการลงโทษนาง
แต่พระเยซูเจ้าทรงทำสิ่งใหม่คือการให้อภัยบาปเพื่อให้นางได้เริ่มต้นใหม่
มีชีวิตใหม่ในความรักเมตตาของพระเจ้า และทรงปรารถนาให้เราหมั่นสำรวจตนเอง
แก้ไขความผิดบกพร่องของตน มากกว่าจ้องจับผิดเพื่อนพี่น้อง
พระเยซูเจ้าทรงท้าทายเราให้สำนึกในความบาปที่ได้กระทำ
ตระหนักอยู่เสมอว่า พระเจ้าทรงรักเรา
ทรงให้อภัยเราด้วยพระทัยเมตตากรุณาหาที่สุดมิได้ แม้เราเป็นคนบาป
แต่พระหรรษทานของพระเจ้าเพียงพอ ช่วยให้เราสามารถเอาชนะความชั่วทั้งปวงได้ ดังนี้
ประกาศกอิสยาห์ได้เตือนเรามิให้จดจำอดีต
แต่ให้มองไปข้างหน้าด้วยความไว้ใจในความรักและพระเมตตาของพระองค์ แสวงหาการให้อภัยผ่านทางศีลอภัยบาป
เพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ในพระองค์
ขวัญ ถิ่นวัลย์, เทศกาลมหาพรต 40 วันแห่งการฟื้นฟูชีวิตคริสตชน, (สกลนคร : สมศักดิ์การพิมพ์ กรุ๊ป, 2561), หน้า 119-122.
ที่มาภาพ : http://davidtue.com/mystery-john-81-11/
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น