วันเสาร์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2561

การปฏิบัติตามบทบัญญัติ


การปฏิบัติตามบทบัญญัติ
อาทิตย์
สัปดาห์ที่ 22 เทศกาลธรรมดา
ปี B
ฉธบ 4:1-2,6-8
ยก 1:17-18,21-22,27
มก 7:1-8,14-15,21-23
บทนำ
 มุลลาห์ นัสรุดดิน พบแหวนเพชรน้ำงามวงหนึ่งตกอยู่บนถนน ตามบทบัญญัติของศาสนาบอกว่าผู้พบเห็นสามารถเก็บไว้เป็นของตนเองได้ก็ต่อเมื่อ เขาได้ประกาศกลางตลาด 3 ครั้งในเวลาที่ต่างกันว่าได้พบสิ่งนั้นและไม่มีใครแสดงตนเป็นเจ้าของแล้วเท่านั้น นัสรุดดินเป็นคนเคร่งศาสนา ไม่อยากได้ชื่อว่าละเมิดกฎเกณฑ์ของศาสนา แต่เขามีความละโมบเกินกว่าที่จะปล่อยให้แหวนเพชรล้ำค่านั้นหลุดมือไป
นัสรุดดินได้ย่องไปที่ตลาดเวลากลางคืนที่ไม่มีใครเห็น และประกาศเบาๆ ว่า “ข้าได้พบแหวนเพชรบนถนน ใครที่รู้ตัวว่าเป็นเจ้าของกรุณาติดต่อด่วน” ไม่มีใครได้ยินเสียงพึมพรำของเขา เว้นแต่ในคืนที่สามมีชายคนหนึ่งได้ยิน เขาไปหานัสรุดดินถามว่าพูดอะไรกลางตลาดยามค่ำคืน นัสรุดดินตอบว่า “ข้าไม่มีหน้าที่ต้องบอกแก สิ่งที่บอกได้คือข้าเป็นคนเคร่งศาสนา และมาที่นี่เพื่อทำตามบทบัญญัติของศาสนา” จากนั้นเขาได้เอาแหวนเพชรวงนั้นใส่กระเป๋าและเดินจากไป
บทบัญญัติ ระเบียบ กฎเกณฑ์และพิธีกรรมทางศาสนาเป็นสิ่งที่ดี แต่มิใช่สิ่งที่สมบูรณ์ครบครัน เป็นเพียงวิธีการที่นำไปสู่เป้าหมาย สิ่งเหล่านี้อาจกลายเป็นอุปสรรคหากมิได้รับใช้เป้าหมายตามที่ได้วางไว้ บ่อยครั้งการถือตามตัวอักษรอย่างเคร่งครัดได้กลายเป็นความผิดหลง นอกจากไม่ได้ช่วยใครให้ได้พบพระเจ้าแล้ว ยังเป็นอุปสรรคที่ขวางกั้นมิให้คนที่ปฏิบัติได้พบพระเจ้าด้วย
1.       การปฏิบัติตามบทบัญญัติ
ในศาสนายิวมี “บทบัญญัติที่จารึกไว้” (Written Law) ได้แก่ หนังสือห้าเล่มแรก (Torah) ที่เรียกว่า “บทบัญญัติของโมเสส” กับ “บทบัญญัติที่เล่าสืบต่อกันมา” (Oral Law) ได้แก่ สิ่งที่พวกธรรมาจารย์เพิ่มเติมเข้ามาเพื่อขยายความบทบัญญัติของโมเสส โดยมีความมุ่งหมายเพื่อรักษาความบริสุทธิ์ของศาสนายิวและธรรมบัญญัติของพระเจ้า ในสมัยของพระเยซูเจ้าบทบัญญัตินี้เป็นที่รับรู้และเรียกว่า “ธรรมเนียมของบรรพบุรุษ”
พระวรสารตอนแรกพระยซูเจ้าทรงประณามพวกธรรมาจารย์และชาวฟาริสี เพราะธรรมเนียมเหล่านี้ (การล้างมือตามพิธีก่อนรับประทานอาหาร) ที่พวกเขาสร้างขึ้นเพื่อให้ทุกคนได้ถือตาม “ท่านทั้งหลายละเลยบทบัญญัติของพระเจ้ากลับไปถือธรรมเนียมของมนุษย์” (มก 7:8) ตอนที่สองพระเยซูเจ้าทรงกล่าวถึงกฎเกี่ยวกับอาหารของศาสนายิว การรับประทานอาหารบางชนิด (เนื้อสุกร) ซึ่งทำให้มนุษย์เป็นมลทินและไม่สมควรเข้าร่วมพิธีกรรม
พระศาสนจักรยุคแรกคริสตชนมีต้นกำเนิดมาจากศาสนายิว ได้พยายามบังคับใช้กฎเหล่านี้กับคริสตชนที่มาจากพื้นเพอื่น นักบุญมาระโกไม่เห็นด้วยและอ้างถึงพระวาจาของพระเยซูเจ้าที่ว่าเฉพาะสิ่งที่ออกมาจากใจมนุษย์ (คำหยาบคายและการกระทำที่ชั่วร้าย) ทำให้มนุษย์เป็นมลทิน พระองค์ได้ตำหนิพวกธรรมาจารย์และชาวฟาริสีอย่างรุนแรงด้วยการอ้างถ้อยคำของประกาศกอิสยาห์ “ประชาชนเหล่านี้ให้เกียรติเราแต่ปาก แต่ใจของเขาอยู่ห่างไกลจากเรา” (มก 7:6) พระองค์ทรงต้องการให้การกระทำของเราสอดคล้องกับคำพูด
พระเยซูเจ้าได้สอนชาวยิวว่าสิ่งที่ทำให้มนุษย์เป็นมลทิน ไม่ใช่สิ่งที่มาจากภายนอก แต่เป็นสิ่งที่ออกมาจากใจต่างหาก สิ่งต่างๆ ในตัวมันเองไม่ใช่สิ่งที่เป็นมลทินหรือไม่เป็นมลทิน เพราะทุกอย่างที่พระเจ้าทรงสร้างมาล้วนแต่ดีทั้งนั้น แต่เป็นมนุษย์ที่ทำให้เป็นมลทิน การกระทำของแต่ละคนบ่งบอกเจตนาและความต้องการของเขา บทบัญญัติต่างๆ ต้องนำมนุษย์ไปหาพระเจ้าและเพื่อนพี่น้อง นี่คือแก่นแท้และหัวใจของบทบัญญัติ
2.       บทเรียนสำหรับเรา
พระวาจาของพระเจ้าวันนี้ได้ให้บทเรียนสำคัญสำหรับเราหลายประการ ในการนำไปปฏิบัติในชีวิต
ประการแรก เราต้องปฏิบัติตามจิตตารมย์ของบทบัญญัติ ไม่ปฏิบัติตามตัวอักษรเพื่อสนองความต้องการหรือผลประโยชน์ของเรา บทบัญญัติต้องช่วยเราให้รักพระเจ้าและเพื่อนพี่น้องมากขึ้น เช่น การมาวัดวันอาทิตย์เพื่อนมัสการพระเจ้าพร้อมกับหมู่คณะ มอบชีวิตและความต้องการของเราแด่พระองค์ ขอสมาโทษพระองค์สำหรับบาปที่เรากระทำ ขอบคุณพระองค์สำหรับพระพรต่างๆ และรับพระองค์ในศีลมหาสนิทเพื่อเป็นพลังสำหรับเราในการรักพระเจ้าและเพื่อนพี่น้องในชีวิตจริง
ประการที่สอง เราต้องแสวงหาพระประสงค์ของเจ้า พระประสงค์ของพระเจ้าต้องสำคัญเป็นลำดับแรกในชีวิตของเรา และต้องแสดงออกในการกระทำ ด้วยการรักพระเจ้าในบุคคลที่เดือดร้อนและต้องการความช่วยเหลือ ชีวิตของเราต้องแสวงหาและปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระเจ้าทุกวัน
ประการที่สาม เราต้องกลับใจและชำระจิตใจให้บริสุทธิ์อยู่เสมอ สิ่งที่ทำให้มนุษย์มีมลทินเกิดจากใจของมนุษย์ ใจของเราเป็นบ่อเกิดของความชั่วช้าและการกระทำที่ผิด อาทิ ความโลภ ความโกรธ ความหลง ความเกียจชัง เราต้องกลับใจและชำระจิตใจให้บริสุทธิ์ ด้วยการคืนดีกับพระเจ้าและเพื่อนพี่น้องทางศีลอภัยบาปทุกครั้งที่เราทำบาป
บทสรุป
พี่น้องที่รัก พระเยซูเจ้าได้แสดงให้เราเห็นว่ามิใช่การปฏิบัติตามบทบัญญัติ ธรรมเนียมประเพณีหรือพิธีกรรมภายนอกที่สำคัญ แต่เป็นความรักต่อพระเจ้าและเพื่อนพี่น้องต่างหากที่เป็นแก่นแท้และหัวใจของทุกสิ่ง ที่ช่วยให้การปฏิบัติศาสนาในชีวิตประจำวันมีคุณค่าและความหมาย ความรักในใจของเราต้องเป็นแรงจูงใจในการทำสิ่งต่างๆ เพราะ หากปราศจากความรัก ทุกสิ่งที่เราทำย่อมไร้ค่า (เทียบ 1 คร 13:2)
การปฏิบัติศาสนาของเราต้องไม่ใช่ภาวะบีบคั้นที่ต้องทำอย่างเลี่ยงไม่ได้ หรือเพื่อทำให้ตนเองดูดีในสายตาของคนอื่น พิธีกรรม ระเบียบ กฎเกณฑ์และบทบัญญัติทางศาสนา ต้องช่วยเพิ่มพูนความรักในใจเราทั้งต่อพระเจ้าและเพื่อนพี่น้อง ทำให้เรามีความสัมพันธ์กับพระเจ้าและเป็นหนึ่งเดียวกับเพื่อนพี่น้องในแบบที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น เป็นต้น ในครอบครัว หมูคณะและชุมชนวัดของเรา
คุณพ่อขวัญ ถิ่นวัลย์
danielkhuan@hotmail.com
วัดแม่พระแจกจ่ายพระหรรษทาน ดอนม่วย, พรรณานิคม
31 สิงหาคม 2018
ภาพ: การสรรเสริญพระเจ้า, วัดป่าพนาวัลย์, ท่าแร่ สกลนคร; 2018-01-01

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น