มาสาดา
ที่มั่นสุดท้ายของยิวรักชาติ
มาสาดา
(Masada)
เป็นป้อมค่ายและที่มั่นสุดท้ายของยิวรักชาติ ตั้งอยู่เหนือทะเลตาย
ถือเป็นป้อมค่ายที่หรูหราและมั่นคงที่สุดของกษัตริย์เฮโรดมหาราช
เข้าถึงได้ยากมากเพราะลักษณะที่ตั้งบนยอดเขาที่สูงชันมีหุบเหวล้อมรอบ
มีเพียงทางเดินแคบๆ ตามไหล่เขาทางตะวันออกที่สามารถขึ้นไปได้ ปี 70 ชาวยิวเลือดรักชาติภายใต้การนำของเอเลอาซา เบน ยาฮีร์ ที่ร่วมก่อกบฏต่อต้านโรมันได้หนีมารวมตัวกันที่ป้อมมาสาดาเป็นที่มั่นสุดท้าย
กองทัพโรมันได้สร้างค่ายล้อมป้อมมาสาดา
และคิดว่าชาวยิวเลือดรักชาติคงอยู่บนนี้ได้ไม่นาน
แต่ต้องใช้เวลาล้อมอยู่ถึงสามปีเนื่องจากป้อมค่ายนี้มีทุกอย่าง กำแพงสองชั้น ที่เก็บอาหาร
ที่เก็บน้ำขนาดใหญ่ ห้องอาบน้ำ พระราชวัง ศาลาธรรม และห้องชำระตน
เมื่อเข้ายึดป้อมค่ายนี้ได้กองทัพโรมันยิ่งแปลกใจหนักเพราะปราศจากการต่อต้าน เนื่องจากชาวยิวเลือดรักชาติได้ฆ่าตัวตายอย่างอิสรชนมากกว่ายอมจำนนอย่างไร้เกียรติ
มีชาวยิวเลือดรักชาติกลุ่มสุดท้ายที่ฆ่าตัวตายที่ป้อมค่ายนี้จำนวน 967 คน
ทะเลตาย
ทะเลตาย
(Dead
Sea) ตั้งอยู่ในเขตประเทศอิสราแอล รัฐปาเลสไตน์ และจอร์แดน อยู่ระหว่างเทือกเขายูเดียด้านเหนือและที่ราบสูงทรานสจอร์แดนด้านตะวันออก
มีความยาว 80 กิโลเมตร กว้าง 18 กิโลเมตร ลึก 400 เมตร แบ่งออกเป็นสองส่วนเหนือ-ใต้ ตอนเหนือใหญ่เป็นสามในสี่ของพื้นที่ทั้งหมด
อยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล 430 เมตร ถือเป็นจุดต่ำสุดของโลก
และเป็นเป้าหมายของนักท่องเที่ยว รวมถึงพวกเราที่ได้เข้าพักที่นี่หนึ่งคืน
ได้เล่นน้ำทะเลที่เค็มที่สุดที่ทุกคนสามารถลอยน้ำได้โดยไม่จม
ที่เรียกว่าทะเลตายเพราะความเค็มซึ่งมีความหนาแน่นถึง
26
เปอร์เซ็นต์ ทำให้ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆ อาศัยอยู่ได้ และเต็มไปด้วยสารต่างๆ
อาทิ กำมะถัน แคลเซียมคลอไรด์ แมกนีเซียม โซเดียม และโปรตัสเซียมที่ไหลมากับแม่น้ำจอร์แดนทางตอนเหนือ
โดยไม่มีทางไหลออกสู่ทะเลอื่น นอกจากระเหยไปเป็นความร้อนทำให้เกลือในทะเลตายตกค้างอยู่ในบริเวณเดิม
น้ำในทะเลตายจึงมีความเค็มมากกว่าน้ำทะเลปกติถึงหกเท่า
ในพระคัมภีร์มีการพูดถึงการทำลายเมืองโสดม
“องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบันดาลให้กำมะถันและไฟตกจากฟ้าเผาเมืองโสโดมและโกโมราห์
พระองค์ทรงทำลายสองเมืองนี้ ลุ่มแม่น้ำทั้งหมดพร้อมกับชาวเมือง และพืชต่าง ๆ
ที่นั่น ส่วนภรรยาของโลทเหลียวหลังกลับไปดูจึงกลายเป็นเสาเกลือ”
(ปฐก 19:24-26)
รายละเอียดของเรื่องเกิดขึ้นมาจากแผ่นดินไหวร่วมกับแก๊สระเบิด
นักธรณีวิทยาคำนวณว่าตอนใต้ของทะเลตายได้จมลงก่อนนี้ไม่กี่พันปี
และบริเวณนี้ทั้งหมดยังเกิดแผ่นดินไหวบ่อยๆ
กุมราน
กุมราน
(Qumran)
ตั้งอยู่ในหุบเขาใกล้ทะเลตาย
เป็นจุดที่มีการค้นพบม้วนหนังสือพระคัมภีร์ ซึ่งถือเป็นการค้นพบที่ยิ่งใหญ่ในศตวรรษนี้
เมื่อปี 1947 คนเลี้ยงแพะคนหนึ่งได้ออกตามหาแพะที่หายไปทางทิศตะวันตกใกล้กับชายฝั่งทะเลตาย
เขาได้ขว้างก้อนหินเข้าไปเข้าไปในถ้ำที่คิดว่าแพะหลงเข้าไปและได้ยินเสียงบางอย่างแตก
วันรุ่งขึ้นได้เข้าไปในถ้ำพร้อมกับญาติ และได้พบไหจำนวน 8 ใบที่มีม้วนหนังสือเก่าแก่โบราณเขียนด้วยภาษาฮีบรู
ต่อมาได้มีการค้นหาทั่วฝั่งตะวันตกของทะเลตาย
พบชินส่วนของม้วนหนังสือมากว่า 900 ชิ้น
ที่บันทึกบนกระดาษต้นกก แผ่นหนัง และแผ่นทองเหลือง ซุกซ่อนอยู่ตามถ้ำกว่า 30
แห่ง ปัจจุบันม้วนหนังสือเหล่านี้เก็บไว้ที่สักการสถานแห่งหนังสือ (Shrine
of the Book) ในบริเวณพิพิธภัณฑ์อิสราแอล
ม้วนหนังสือที่สมบูรณ์ที่สุดคือ ม้วนของประกาศกอิสยาห์ มีขนาดกว้าง 1 ฟุต ยาว 24
ฟุต
โบราณสถานกุมราน
การค้นพบที่กุมรานนำไปสู่การค้นพบที่อาศัยของพวกเอสเซนี
(Essenes)
ซึ่งมีการขุดอย่างละเอียดทั้งหมดระหว่างปี 1956 โบราณสถานนี้มีอาคารหลักยาว 120 ฟุต กว้าง 90 ฟุต สร้างด้วยหิน ขนาดใหญ่มีเนื้อหยาบ
ทิศเหนือมีหอคอยเพื่อป้องกันมีขนาดความสูง 3 ชั้น มีห้องอาหาร โรงครัวที่พบชามเซรามิกจำนวนกว่า
1,000 ใบ มีห้องคัดลอกม้วนหนังสือ ห้องชำระมลทิน มีที่เก็บน้ำฝนที่ไหลจากภูเขา 7
แห่ง และหลุมศพด้านทิศตะวันออกกว่า 1,100 หลุม
ชาวเอสเซนีตามบนัทึกของโยเซฟุส
ฟลาวิอุส เป็นสมาชิกนักบวชนิกายหนึ่งซึ่งหนี ความเสื่อมของโลกไปอาศัยอยู่ในแถบทะเลทราบที่ร้อนระอุใกล้ทะเลตาย
เพื่อเจริญชีวิตเคร่งครัดในการภาวนา การศึกษาพระคัมภีร์ การรำพึง การถือปฏิบัติความยากจนและช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
ผู้เข้าเป็นสมาชิกต้องมอบทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นกรรมสิทธิ์ให้แก่คณะ พวกเอสเซนีได้ตั้งหลักแหล่งที่กุมรานระหว่างปี
150
ก่อนคริสตกาลถึงปี 68 ก่อนถูกทหารโรมันของจักรพรรดิตีตัสสังหาร
เชื่อกันว่านักบุญยอห์น
บัปติสต์ ผู้ที่พระเจ้าทรงส่งมาเพื่อเตรียมทางสำหรับพระผู้ไถ่ ได้เข้าร่วมกลุ่มกับพวกเอสเซนีและได้รับเอาพิธีชำระตนไปใช้ในการเตรียมทางสำหรับพระเยซูเจ้า
“ยอห์นกล่าวว่า จงกลับใจเถิด อาณาจักรสวรรค์อยู่ใกล้แล้ว...
ประชาชนจากกรุงเยรูซาเล็ม จากทั่วแคว้นยูเดีย และจากทั่วเขตแม่น้ำพากันไปพบเขา รับพิธีล้างจากเขาในแม่น้ำจอร์แดน
โดยสารภาพบาปของตน” (มธ 3:2-5)
แม่น้ำจอร์แดนที่พระเยซูเจ้าทรงรับพิธีล้าง
แม่น้ำจอร์แดนเป็นแม่น้ำสายเล็กๆ
ที่คดเคี้ยวไหลจากยอดเขาเฮอร์โมนลงสู่ทะเลตาย เป็นระยะทาง 251 กิโลเมตร เป็นพรมแดนธรรมชาติที่กั้นระหว่างประเทศจอร์แดนกับอิสราเอล
ชื่อจอร์แดนแปลว่า “ผู้ลงมา” ซึ่งตรงกับความจริงเพราะไหลจากภูเขาเฮอร์โมนในระดับความสูงของ
2,814 เมตร ลงสู่ทะเลตายซึ่งอยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล 430
เมตร ชื่อประเทศจอร์แดนมาจากชื่อของแม่น้ำสายนี้
แม่น้ำจอร์แดนเป็นแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ทั้งในพันธสัญญาเดิมและพันธสัญญาใหม่ เป็นที่เชื่อกันว่าพระเยซูเจ้าทรงรับพิธีล้างจากยอห์น
บัปติสต์ ทางด้านตะวันออกของเมืองเยริโค การรับพิธีล้างของพระเยซูเจ้าทำให้แม่น้ำสายนี้กลายเป็นแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์
คริสตชนตั้งแต่สมัยแรกได้ลงไปล้างตัวในแม่น้ำนี้ด้วยความเชื่อศรัทธา ผู้จาริกแสวงบุญจำนวนมากในชุดคลุมยาวสีขาวได้ลงไปอาบในแม่น้ำจอร์แดนเพื่อรำลึกถึงศีลล้างบาปของตน
ในอดีตโยชูวาได้นำชาวอิสราเอลข้ามแม่น้ำจอร์แดนเข้าสู่แผ่นดินแห่งพันธสัญญา
เชื่อกันว่าประกาศกเอลียาห์ขึ้นสวรรค์บนรถรบเพลิงในบริเวณนี้ รวมถึงนาอามันชาวซีเรียได้รับการรักษาให้หายจากโรคเรื้อนโดยการลงไปอาบในแม่น้ำจอร์แดน
(2 พกษ 5:10-14)
เมืองเยริโค
เมืองเยริโคตั้งอยู่ในหุบเขาจอร์แดนใกล้ทะเลตายที่อยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล
430 เมตร ห่างจากกรุงเยรูซาเล็ม 32 กิโลเมตร การเดินทางจากเยรูซาเล็มไปเยรีโค
จึงเป็นการเดินทางจากระดับความสูง 754 เมตรลงสู่ที่ต่ำร่วม 1,200 เมตร เยรีโคเป็นดังโอเอซีสกลางทะเลทราย อุดมไปด้วยผลไม้ อาทิ ส้ม กล้วย
อินทผาลัม เชื่อกันว่าเยริโคเป็นเมืองที่เก่าแก่ที่สุดในโลก
เมื่อชาวอิสราเอลได้เข้าแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ เยริโคเป็นเมืองแรกที่พวกเขายึดหลังจากข้ามแม่น้ำจอร์แดน
โยชูวาได้เผาทำลายเมืองเยรีโค
ประกาศกเอลีชาได้เปลี่ยนน้ำพุเค็มเป็นน้ำจืดที่สามารถดื่มกินได้
โดยการโยนเกลือลงไป 1 กำมือ พระเยซูเจ้าได้หยุดพักที่เมืองเยริโคหลายครั้ง
เนื่องจากเยริโคเป็นทางผ่านสำหรับชาวยิวที่เดินทางจากแคว้นกาลิลีสู่เยรูซาเล็ม ที่เยรีโคนี้เองที่พระองค์ตรัสถึงพระมหาทรมานกับบรรดาอัครสาวก
(มธ 20:17-19) ทรงรักษาคนตาบอด (ลก 18:35-42) และทรงพบกับศักเคียส (ลก 19:1-10)
ภูเขาแห่งการทดลอง
(Mount
of Temptation)
หลังจากที่พระเยซูเจ้าทรงรับพิธีล้างที่แม่น้ำจอร์แดน พระองค์ถูกประจญ “พระจิตเจ้าทรงดลให้พระองค์เสด็จเข้าไปในถิ่นธุรกันดาร
พระองค์ประทับอยู่ที่นั่นสี่สิบวัน ทรงถูกซาตานผจญ พระองค์ทรงอยู่กับสัตว์ป่า
บรรดาทูตสวรรค์ปรนนิบัติรับใช้พระองค์” (มก 1:12-13) ไม่มีหลักฐานแน่ชัดเกี่ยวกับสถานที่ที่พระเยซูเจ้าเสด็จไปจำศีลอดอาหารเป็นเวลา
40 วันและถูกปีศาจทดลอง ตามธรรมประเพณีถือว่าภูเขาสูงด้านด้านหลังเมืองเยริโคเป็นภูเขาแห่งการทดลองของพระเยซูเจ้า
ตามแนวภูเขาด้านตะวันตกมีอารามของฤาษีกรีกออร์ทอดอกซ์
เรียกว่า “อารามสี่สิบวัน” (Monastery of Quarantel)
หรืออารามแห่งการทดลอง เชื่อกันว่าพระเยซูเจ้าได้ได้เสด็จไปจำศีลอดอาหารและถูกปีศาจทดลอง
บนยอดภูเขาถือเป็นที่ทดลองสุดท้ายที่ปิศาจแสดงอาณาจักรต่างๆ ของโลกแก่พระองค์ (ลก 4:5)
ในสมัยไบเซนทีนบรรดาฤาษีได้มาจำศีลอดอาหารในบริเวณถ้ำและหน้าผาของภูเขานี้
เมืองเบธชาน
เมืองเบธชาน
(Beit
She’an) เป็นเมืองเก่าแก่โบราณย้อนหลังไปถึง 7,000 ปี “หากสวนเอเดนอยู่ในอยู่ในแผ่นดินอิสราเอล เบธชานคือประตูของสวนเอเดน”
เป็นคำกล่าวที่รับบีสิเมโอน เบน ลักกิซ (Simeon Ben Lakish) ได้กล่าวเอาไว้ตั้งแต่ศตวรรษที่สาม
ในอดีตกษัตริย์ซาอูลและโจนาธานสิ้นพระชนม์ที่นี่และศพถูกนำมาแขวนไว้บนกำแพงเมืองเบธชาน
และกษัตริย์ดาวิดทรงร่ำไห้
ในสมัยพระเยซูเจ้า
เมืองเบธชานเป็นเมืองของชาวโรมัน ถือเป็นเมืองหลวงของเมืองทศนคร (Decapolis)
ที่ตั้งอยู่สองฝั่งแม่น้ำจอร์แดน นี่คือวิธีปฏิบัติของอาณาจักรโรมันอันเกรียงไกรในอดีต
หากครอบครองที่ไหนมักสร้างเมืองเพื่อแสดงถึงความยิ่งใหญ่ของตน มีสิ่งอำนวยความสะดวกและความบันเทิงทุกอย่าง
สิ่งเหล่านี้เกิดจากแรงงานทาสและความตายของหลายชีวิต
แต่ปัจจุบันเหลือเพียงซากปรักหักพัง สะท้อนความจริงว่าอาณาจักรของมนุษย์ แม้ยิ่งใหญ่เกรียงไกรแค่ไหนก็ไม่อาจดำรงอยู่ได้
หากไม่ตั้งอยู่บนความรักและความเป็นพี่น้องเหมือนอาณาจักรของพระเจ้า
คุณพ่อขวัญ ถิ่นวัลย์
The
Club Hotel & Resorts, Tiberias, ISRAEL
25
เมษายน 2018
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น