วันจันทร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2561

ตามรอยพระบาทพระเยซูเจ้า5


พิพิธภัณฑ์อิสราแอล
ประเทศอิสราเอลเป็นชาติที่ร่ำรวยด้านศาสนา ศิลปะ วัฒนธรรม และธรรมเนียมประเพณี สิ่งที่บ่งบอกเรื่องนี้ได้อย่างเด่นชัดคือพิพิธภัณฑ์อิสราเอล (Israel Museum) ซึ่งเป็นดังเรือธงในการจัดแสดงโบราณวัตถุ งานศิลปะ หลักฐาน และเอกสารต่างๆ ตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์จนถึงปัจจุบันที่นำมารวมไว้มากว่า 500,000 ชิ้น ในพื้นที่ขนาด 20 เอเคอร์ อาคารที่จัดแสดงขนาด 78,000 ตารางเมตร
จุดที่โดนเด่นและเป็นเป้าหมายดึงดูดนักท่องเที่ยวมากที่สุด เห็นจะเป็นส่วนโดมที่จัดแสดงม้วนหนังสือจากกุมรานที่เรียกว่า “The Shine of the Book” ถือเป็นสถาปัตยกรรมแบบนามธรรมที่สะท้อนการต่อสู้ระหว่างบุตรแห่งความสว่างและบุตรแห่งความมืด เป็นที่จัดแสดงม้วนหนังสือโบราณที่พบในกุมรานใกล้ทะเลตายปี 1946 โดยเฉพาะม้วนหนังสืออาเล็บโป (Aleppo Codex) ซึ่งถือเป็นม้วนพระคัมภีร์ที่เก่าแก่และสมบูรณ์ที่สุดที่ค้นพบ
อีกจุดหนึ่งที่ดึงดูดผู้มาเยือนคือรูปจำลองพระวิหารเยรูซาเล็ม และอาณาบริเวณของกรุงเยรูซาเล็มในอดีต ก่อนการก่อกบฏต่อต้านการปกครองของโรมันปี 66 ทำให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของเมืองศักดิ์สิทธิ์ เมืองแห่งสันติสุข และเมืองของดาวิด ที่พระเยซูเจ้าเคยทำนายว่าจะไม่มีหินเหลือซ้อนกัน (ลก 19:42) รูปจำลองนี้ทำให้เห็นภาพของกรุงเยรูซาเล็มสมัยพระเยซูเจ้าและบรรดาอัครสาวกได้เด่นชัดยิ่งขึ้น



  
บ้านเบธานี
บ้านเบธานี (Bethany) ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของกรุงเยรูซาเล็ม ห่างจากตัวเมืองประมาณ 3 กิโลเมตร เป็นบ้านของมารีย์ มาร์ธา และลาซารัสที่พระเยซูเจ้าทรงรักมาก ทรงเสด็จมาบ้านนี้บ่อยครั้งพร้อมกับบรรดาอัครสาวก ทุกครั้งที่เสด็จจากเมืองเยรีโคไปเยรูซาเล็ม บ้านเบธานีในปัจจุบันไกลจากเยรูซาเล็มมากทีเดียว เนื่องจากความขัดแย้งทางเชื้อชาติและการเมืองทำให้ไม่สามารถตัดถนนตรงไปยังเบธานีตามเส้นทางในอดีตได้
เราทราบเหตุการณ์หลายอย่างที่เกิดขึ้นที่บ้านเบธานี พระเยซูเจ้าทรงสอนวิถีชีวิตที่ดีกว่า เมื่อตรัสกับมาร์ธาว่า “มาร์ธา มาร์ธา เธอเป็นห่วงและวุ่นวายหลายสิ่งนัก สิ่งที่ดีที่สุดมีเพียงสิ่งเดียว มารีย์ได้เลือกเอาส่วนที่ดีที่สุดที่จะไม่มีใครเอาไปจากเขาได้”  (ลก 10:38-42) เป็นที่ที่หญิงคนคนหนึ่งได้ชโลมพระเยซูเจ้าด้วยน้ำมันหอมราคาแพง ที่บ้านของซีโมนที่เคยเป็นโรคเรื้อน (มธ 26:1-13, มก 14:3-9, ลก 7:36-50) แต่เหตุการณ์สำคัญคือการปลุกลาซารัสให้ฟื้นคืนชีพ (ยน 11:1-4) และ “พระเยซูเจ้าทรงกันแสง” (ยน 11:35) ซึ่งเป็นตอนที่สั้นที่สุดในพระคัมภีร์



วัดนักบุญลาซารัส
วัดนักบุญลาซารัส (St. Lazarus Church) สร้างบริเวณที่เป็นหลุมศพของลาซารัส โดยพวกไบแซนตินได้สร้างวัด 2 หลัง หลังแรกถูกทำลาย เนื่องจากแผ่นดินไหว หลังที่สองถูกชาวเปอร์เซียทำลายปี 614 ศตวรรษที่ 12 พวกครูเสดได้สร้างวัดหลังที่สามและต่อมาได้ถูกมุสลิมยึดครอง คณะฟรังซิสกันได้ไถ่ถอนสถานที่นี้ต้นศตวรรษนี้เอง ปี 1949 ได้มีการรื้อสิ่งต่างๆ ทำให้พบซากของวัดหลักแรกรวมทั้งอารามด้วย วัดที่เห็นในปัจจุบันเป็นผลงานของบาร์ลุซซี สถาปนิคชาวอิตาเลียนปี 1954 ในพื้นที่ที่เคยเป็นวัดเดิม
 เหนือขึ้นไปมีอุโมงค์ฝังศพที่เชื่อกันว่าเป็นอุโมงค์ฝังศพของลาซารัส และบ้านของซีโมนที่เคยเป็นโรคเรื้อนที่ พระเยซูเจ้าได้รับการชโลมน้ำมันหอมราคาแพงจากหญิงคนหนึ่ง และบรรดาศิษย์ไม่พอใจ มองว่าเป็นการเสียของ ควรเอาน้ำมันหอมไปขายเพื่อแจกจ่ายแก่คนจน ซึ่งพระเยซูเจ้าทรงตรัสว่า “ท่านทำให้นางยุ่งยากใจทำไม นางได้ทำกิจการดีต่อเรา” (มธ 26:10) ตามร้านค้าในบริเวณดังกล่าวยังคงมีน้ำมันหอมชนิดเดียวกับที่หญิงคนนั้นใช้ชโลมพระเยซูเจ้า



ภูเขามะกอกเทศ
ภูเขามะกอกเทศ (Mount of Olives)  ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของกรุงเยรูซาเล็ม สูงกว่าเยรูซาเล็มราว 300 ฟุต จากยอดเขามะกอกเทศสามารถชมทัศนียภาพของเยรูซาเล็มได้ดีที่สุด ภูเขามะกอกเทศเป็นที่เคารพสำหรับชาวยิว เพราะตามไหล่เขาแห่งนี้เป็นที่ฝังศพของประกาศกสำคัญหลายองค์ กล่าวกันว่าที่ฝังศพบริเวณนี้แพงมาก
สำหรับเราคริสตชนภูเขามะกอกเทศเป็นสถานที่สำคัญมาก เนื่องจากพระเยซูเจ้าได้เสด็จมาที่นี่หลายครั้งเมื่อทรงกระทำพันธกิจที่เยรูซาเล็ม เมื่อเสด็จจากเบธานีเข้าเยรูซาเล็มต้องผ่านภูเขามะกอกเทศ บนภูเขานี้พระองค์เสด็จเข้ากรุงเยรูซาเล็ม ทรงกรรแสงและทรงทำนายถึงหายนะที่จะเกิดขึ้น (ลก 19:41-44) ทรงสอนบทข้าแต่พระบิดาให้กับบรรดาศิษย์ และเป็นที่ที่พระองค์ได้เสด็จขึ้นสู่สวรรค์  




วัดข้าแต่พระบิดา
วัดข้าแต่พระบิดา (Pater Noster Church) เป็นวัดที่สร้างขึ้นตรงบริเวณที่เชื่อกันว่า พระเยซูเจ้าได้ทรงสอนบทข้าแต่พระบิดาแก่บรรดาศิษย์ในบริเวณถ้ำใต้วัด ทรงทำนายถึงการทำลายกรุงเยรูซาเล็ม และการเสด็จกลับมาของพระองค์เมื่อสิ้นพิภพ (มธ 24:1-3, ลก 21:5-7) จักรพรรดิคอนแสตนตินได้สร้างวัดบนยอดเขามะกอกเทศ เพื่อระลึกถึงคำทำนายของพระเยซูเจ้าเกี่ยวกับการทำลายกรุงเยรูซาเล็มและการเสด็จกลับมาของพระองค์
วัดแห่งนี้ได้ถูกทำลายจากชาวเปอร์เซียปี 614 และพวกครูเสดได้สร้างขึ้นใหม่ในศตวรรษที่ 12 ซึ่งต่อมาได้ถูกมุสลิมทำลายอีก ปี  1868 เจ้าหญิงเอาเรลีอา เดบอสซี ได้ซื้อสถานที่และมอบถวายแก่ประเทศฝรั่งเศส และปี 1875 ได้สร้างอารามสำหรับคณะคาร์เมไลท์ ภายในวัดและตามฝาผนังของระเบียงอารามมีบทข้าแต่พระบิดาจารึกอยู่มากกว่า 62 ภาษา รวมถึงภาษาไทยด้วย ซึ่งพวกเราได้ภาวนาบทข้าแต่พระบิดาพร้อมกันที่นี่




เบธฟายี
หมู่บ้านเบธฟายี (Bethphage) ตั้งอยู่บนไหล่เขามะกอกเทศ เป็นที่ซึ่งพระเยซูเจ้าทรงส่งศิษย์สองคนไปยังเบธฟายี (มก 11:1-11)  เพื่อเตรียมลูกลาสำหรับพระองค์ประทับเข้ากรุงเยรูซาเล็ม “ประชาชนจำนวนมากที่มาในวันฉลองได้ข่าวว่าพระเยซูเจ้าเสด็จมาที่กรุงเยรูซาเล็ม จึงถือกิ่งปาล์มออกไปรับเสด็จ พลางร้องว่า โฮซันนา ขอถวายพรแด่พระองค์ผู้เสด็จมาในพระนามพระเจ้า ขอถวายพระพรแด่กษัตริย์แห่งอิสราแอล” พระเยซูเจ้าทรงพบลูกลาตัวหนึ่ง จึงประทับบนหลังลูกลาตัวนั้น” (ยน 12:12-14)
ในปาเลสไตน์และตะวันออกกลาง ลาไม่ใช่สัตว์ที่ต่ำต้อยแต่ทรงเกียรติ ปกติกษัตริย์จะขี่ม้าออกศึกสงคราม เมื่อรบชนะหรือปราบกบฏได้ นำพาประเทศสู่ความสงบสุข กษัตริย์จะประทับบนหลังลาเข้าเมืองอย่างผู้มีชัย การประทับบนหลังลาของพระเยซูเจ้าเป็นการประกาศว่าพระองค์เป็น “องค์สันติราชา” ที่ทรงไว้ซึ่ง “ความรักและสันติสุข”
นี่คือแนวทางที่พระเยซูเจ้าทรงเลือกในการเผชิญหน้ากับผู้เกลียดชังพระองค์ ชาวยิวต้อนรับพระเยซูเจ้าด้วยกิ่งมะกอก เป็นสัญลักษณ์แห่งชัยชนะและความมีเกียรติ ขณะที่ผู้นำศาสนาและชาวฟาริสีวางแผนจะจับตัวและประหารพระองค์




วัดน้อยพระเยซูเจ้าทรงกันแสง
ในการเสด็จเข้ากรุงเยรูซาเล็มอย่างสง่า (อาทิตย์ใบลาน) พระเยซูเจ้าทรงทอดพระเนตรเมืองเยรูซาเล็มและทรงกันแสง “ถ้าในวันนี้เจ้าเพียงแต่รู้จักทางนำไปสู่สันติก็จะเป็นการดี แต่ทางนั้นได้ถูกซ่อนไว้จากตาของเจ้าเสียแล้ว วันนั้นจะมาถึงเจ้า เมื่อข้าศึกสร้างที่มั่นล้อมเจ้า จะตรึงเจ้าไว้อย่างแน่นหนารอบทุกด้าน จะบุกทำลายเจ้าและลูกหลานที่อาศัยอยู่ในเจ้าจนราบเป็นหน้ากลอง และจะไม่ปล่อยให้มีหินซ้อนกันอยู่ในเจ้าอีก เพราะเจ้าไม่รู้จักเวลาที่พระเจ้าเสด็จมาเยี่ยมเจ้า” (ลก 19:41-44)
พวกครูเสดได้สร้างวัดน้อยพระเยซูเจ้าทรงกันแสง (Dominus Flevit) ในศตวรรษที่ 12 ต่อมาได้ถูกพวกมุสลิมทำลาย วัดหลังปัจจุบันสร้างขึ้นปี 1891 ณ จุดเดิมที่ถูกทำลาย มีลักษณะเป็นโดมเหมือนหยดน้ำตา ภายในวัดได้ตั้งพระแท่นอยู่ติดหน้าต่างที่สามารถมองเห็นวัดบนภูเขาและกรุงเยรูซาเล็มได้อย่างเด่นชัดและสวยงามมาก




คุณพ่อขวัญ ถิ่นวัลย์
The Club Hotel, Tiberias, ISRAEL
22 เมษายน 2018

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น