พิพิธภัณฑ์อิสราแอล
ประเทศอิสราเอลเป็นชาติที่ร่ำรวยด้านศาสนา
ศิลปะ วัฒนธรรม และธรรมเนียมประเพณี
สิ่งที่บ่งบอกเรื่องนี้ได้อย่างเด่นชัดคือพิพิธภัณฑ์อิสราเอล (Israel
Museum) ซึ่งเป็นดังเรือธงในการจัดแสดงโบราณวัตถุ งานศิลปะ หลักฐาน และเอกสารต่างๆ
ตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์จนถึงปัจจุบันที่นำมารวมไว้มากว่า 500,000 ชิ้น ในพื้นที่ขนาด 20 เอเคอร์ อาคารที่จัดแสดงขนาด 78,000
ตารางเมตร
จุดที่โดนเด่นและเป็นเป้าหมายดึงดูดนักท่องเที่ยวมากที่สุด
เห็นจะเป็นส่วนโดมที่จัดแสดงม้วนหนังสือจากกุมรานที่เรียกว่า “The
Shine of the Book” ถือเป็นสถาปัตยกรรมแบบนามธรรมที่สะท้อนการต่อสู้ระหว่างบุตรแห่งความสว่างและบุตรแห่งความมืด
เป็นที่จัดแสดงม้วนหนังสือโบราณที่พบในกุมรานใกล้ทะเลตายปี 1946 โดยเฉพาะม้วนหนังสืออาเล็บโป (Aleppo Codex) ซึ่งถือเป็นม้วนพระคัมภีร์ที่เก่าแก่และสมบูรณ์ที่สุดที่ค้นพบ
อีกจุดหนึ่งที่ดึงดูดผู้มาเยือนคือรูปจำลองพระวิหารเยรูซาเล็ม
และอาณาบริเวณของกรุงเยรูซาเล็มในอดีต ก่อนการก่อกบฏต่อต้านการปกครองของโรมันปี 66 ทำให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของเมืองศักดิ์สิทธิ์ เมืองแห่งสันติสุข
และเมืองของดาวิด ที่พระเยซูเจ้าเคยทำนายว่าจะไม่มีหินเหลือซ้อนกัน (ลก 19:42)
รูปจำลองนี้ทำให้เห็นภาพของกรุงเยรูซาเล็มสมัยพระเยซูเจ้าและบรรดาอัครสาวกได้เด่นชัดยิ่งขึ้น
บ้านเบธานี
บ้านเบธานี
(Bethany)
ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของกรุงเยรูซาเล็ม ห่างจากตัวเมืองประมาณ 3 กิโลเมตร เป็นบ้านของมารีย์ มาร์ธา และลาซารัสที่พระเยซูเจ้าทรงรักมาก ทรงเสด็จมาบ้านนี้บ่อยครั้งพร้อมกับบรรดาอัครสาวก
ทุกครั้งที่เสด็จจากเมืองเยรีโคไปเยรูซาเล็ม บ้านเบธานีในปัจจุบันไกลจากเยรูซาเล็มมากทีเดียว
เนื่องจากความขัดแย้งทางเชื้อชาติและการเมืองทำให้ไม่สามารถตัดถนนตรงไปยังเบธานีตามเส้นทางในอดีตได้
เราทราบเหตุการณ์หลายอย่างที่เกิดขึ้นที่บ้านเบธานี
พระเยซูเจ้าทรงสอนวิถีชีวิตที่ดีกว่า เมื่อตรัสกับมาร์ธาว่า “มาร์ธา มาร์ธา
เธอเป็นห่วงและวุ่นวายหลายสิ่งนัก สิ่งที่ดีที่สุดมีเพียงสิ่งเดียว
มารีย์ได้เลือกเอาส่วนที่ดีที่สุดที่จะไม่มีใครเอาไปจากเขาได้” (ลก 10:38-42) เป็นที่ที่หญิงคนคนหนึ่งได้ชโลมพระเยซูเจ้าด้วยน้ำมันหอมราคาแพง
ที่บ้านของซีโมนที่เคยเป็นโรคเรื้อน (มธ 26:1-13, มก 14:3-9,
ลก 7:36-50) แต่เหตุการณ์สำคัญคือการปลุกลาซารัสให้ฟื้นคืนชีพ
(ยน 11:1-4) และ “พระเยซูเจ้าทรงกันแสง” (ยน 11:35)
ซึ่งเป็นตอนที่สั้นที่สุดในพระคัมภีร์
วัดนักบุญลาซารัส
วัดนักบุญลาซารัส
(St.
Lazarus Church) สร้างบริเวณที่เป็นหลุมศพของลาซารัส โดยพวกไบแซนตินได้สร้างวัด
2 หลัง หลังแรกถูกทำลาย เนื่องจากแผ่นดินไหว
หลังที่สองถูกชาวเปอร์เซียทำลายปี 614 ศตวรรษที่ 12 พวกครูเสดได้สร้างวัดหลังที่สามและต่อมาได้ถูกมุสลิมยึดครอง
คณะฟรังซิสกันได้ไถ่ถอนสถานที่นี้ต้นศตวรรษนี้เอง ปี 1949 ได้มีการรื้อสิ่งต่างๆ
ทำให้พบซากของวัดหลักแรกรวมทั้งอารามด้วย วัดที่เห็นในปัจจุบันเป็นผลงานของบาร์ลุซซี
สถาปนิคชาวอิตาเลียนปี 1954 ในพื้นที่ที่เคยเป็นวัดเดิม
เหนือขึ้นไปมีอุโมงค์ฝังศพที่เชื่อกันว่าเป็นอุโมงค์ฝังศพของลาซารัส
และบ้านของซีโมนที่เคยเป็นโรคเรื้อนที่ พระเยซูเจ้าได้รับการชโลมน้ำมันหอมราคาแพงจากหญิงคนหนึ่ง
และบรรดาศิษย์ไม่พอใจ มองว่าเป็นการเสียของ
ควรเอาน้ำมันหอมไปขายเพื่อแจกจ่ายแก่คนจน ซึ่งพระเยซูเจ้าทรงตรัสว่า “ท่านทำให้นางยุ่งยากใจทำไม
นางได้ทำกิจการดีต่อเรา” (มธ 26:10) ตามร้านค้าในบริเวณดังกล่าวยังคงมีน้ำมันหอมชนิดเดียวกับที่หญิงคนนั้นใช้ชโลมพระเยซูเจ้า
ภูเขามะกอกเทศ
ภูเขามะกอกเทศ
(Mount
of Olives) ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของกรุงเยรูซาเล็ม
สูงกว่าเยรูซาเล็มราว 300 ฟุต จากยอดเขามะกอกเทศสามารถชมทัศนียภาพของเยรูซาเล็มได้ดีที่สุด
ภูเขามะกอกเทศเป็นที่เคารพสำหรับชาวยิว เพราะตามไหล่เขาแห่งนี้เป็นที่ฝังศพของประกาศกสำคัญหลายองค์
กล่าวกันว่าที่ฝังศพบริเวณนี้แพงมาก
สำหรับเราคริสตชนภูเขามะกอกเทศเป็นสถานที่สำคัญมาก
เนื่องจากพระเยซูเจ้าได้เสด็จมาที่นี่หลายครั้งเมื่อทรงกระทำพันธกิจที่เยรูซาเล็ม
เมื่อเสด็จจากเบธานีเข้าเยรูซาเล็มต้องผ่านภูเขามะกอกเทศ บนภูเขานี้พระองค์เสด็จเข้ากรุงเยรูซาเล็ม
ทรงกรรแสงและทรงทำนายถึงหายนะที่จะเกิดขึ้น (ลก 19:41-44) ทรงสอนบทข้าแต่พระบิดาให้กับบรรดาศิษย์ และเป็นที่ที่พระองค์ได้เสด็จขึ้นสู่สวรรค์
วัดข้าแต่พระบิดา
วัดข้าแต่พระบิดา
(Pater
Noster Church) เป็นวัดที่สร้างขึ้นตรงบริเวณที่เชื่อกันว่า พระเยซูเจ้าได้ทรงสอนบทข้าแต่พระบิดาแก่บรรดาศิษย์ในบริเวณถ้ำใต้วัด
ทรงทำนายถึงการทำลายกรุงเยรูซาเล็ม และการเสด็จกลับมาของพระองค์เมื่อสิ้นพิภพ (มธ 24:1-3,
ลก 21:5-7) จักรพรรดิคอนแสตนตินได้สร้างวัดบนยอดเขามะกอกเทศ
เพื่อระลึกถึงคำทำนายของพระเยซูเจ้าเกี่ยวกับการทำลายกรุงเยรูซาเล็มและการเสด็จกลับมาของพระองค์
วัดแห่งนี้ได้ถูกทำลายจากชาวเปอร์เซียปี
614 และพวกครูเสดได้สร้างขึ้นใหม่ในศตวรรษที่ 12
ซึ่งต่อมาได้ถูกมุสลิมทำลายอีก ปี 1868 เจ้าหญิงเอาเรลีอา เดบอสซี ได้ซื้อสถานที่และมอบถวายแก่ประเทศฝรั่งเศส
และปี 1875 ได้สร้างอารามสำหรับคณะคาร์เมไลท์ ภายในวัดและตามฝาผนังของระเบียงอารามมีบทข้าแต่พระบิดาจารึกอยู่มากกว่า
62 ภาษา รวมถึงภาษาไทยด้วย ซึ่งพวกเราได้ภาวนาบทข้าแต่พระบิดาพร้อมกันที่นี่
เบธฟายี
หมู่บ้านเบธฟายี
(Bethphage)
ตั้งอยู่บนไหล่เขามะกอกเทศ
เป็นที่ซึ่งพระเยซูเจ้าทรงส่งศิษย์สองคนไปยังเบธฟายี (มก 11:1-11) เพื่อเตรียมลูกลาสำหรับพระองค์ประทับเข้ากรุงเยรูซาเล็ม
“ประชาชนจำนวนมากที่มาในวันฉลองได้ข่าวว่าพระเยซูเจ้าเสด็จมาที่กรุงเยรูซาเล็ม
จึงถือกิ่งปาล์มออกไปรับเสด็จ พลางร้องว่า “โฮซันนา
ขอถวายพรแด่พระองค์ผู้เสด็จมาในพระนามพระเจ้า ขอถวายพระพรแด่กษัตริย์แห่งอิสราแอล”
พระเยซูเจ้าทรงพบลูกลาตัวหนึ่ง จึงประทับบนหลังลูกลาตัวนั้น” (ยน 12:12-14)
ในปาเลสไตน์และตะวันออกกลาง
ลาไม่ใช่สัตว์ที่ต่ำต้อยแต่ทรงเกียรติ ปกติกษัตริย์จะขี่ม้าออกศึกสงคราม
เมื่อรบชนะหรือปราบกบฏได้ นำพาประเทศสู่ความสงบสุข
กษัตริย์จะประทับบนหลังลาเข้าเมืองอย่างผู้มีชัย
การประทับบนหลังลาของพระเยซูเจ้าเป็นการประกาศว่าพระองค์เป็น “องค์สันติราชา”
ที่ทรงไว้ซึ่ง “ความรักและสันติสุข”
นี่คือแนวทางที่พระเยซูเจ้าทรงเลือกในการเผชิญหน้ากับผู้เกลียดชังพระองค์
ชาวยิวต้อนรับพระเยซูเจ้าด้วยกิ่งมะกอก เป็นสัญลักษณ์แห่งชัยชนะและความมีเกียรติ
ขณะที่ผู้นำศาสนาและชาวฟาริสีวางแผนจะจับตัวและประหารพระองค์
วัดน้อยพระเยซูเจ้าทรงกันแสง
ในการเสด็จเข้ากรุงเยรูซาเล็มอย่างสง่า
(อาทิตย์ใบลาน) พระเยซูเจ้าทรงทอดพระเนตรเมืองเยรูซาเล็มและทรงกันแสง “ถ้าในวันนี้เจ้าเพียงแต่รู้จักทางนำไปสู่สันติก็จะเป็นการดี
แต่ทางนั้นได้ถูกซ่อนไว้จากตาของเจ้าเสียแล้ว วันนั้นจะมาถึงเจ้า เมื่อข้าศึกสร้างที่มั่นล้อมเจ้า
จะตรึงเจ้าไว้อย่างแน่นหนารอบทุกด้าน จะบุกทำลายเจ้าและลูกหลานที่อาศัยอยู่ในเจ้าจนราบเป็นหน้ากลอง
และจะไม่ปล่อยให้มีหินซ้อนกันอยู่ในเจ้าอีก
เพราะเจ้าไม่รู้จักเวลาที่พระเจ้าเสด็จมาเยี่ยมเจ้า” (ลก 19:41-44)
พวกครูเสดได้สร้างวัดน้อยพระเยซูเจ้าทรงกันแสง
(Dominus
Flevit) ในศตวรรษที่ 12 ต่อมาได้ถูกพวกมุสลิมทำลาย
วัดหลังปัจจุบันสร้างขึ้นปี 1891 ณ จุดเดิมที่ถูกทำลาย
มีลักษณะเป็นโดมเหมือนหยดน้ำตา ภายในวัดได้ตั้งพระแท่นอยู่ติดหน้าต่างที่สามารถมองเห็นวัดบนภูเขาและกรุงเยรูซาเล็มได้อย่างเด่นชัดและสวยงามมาก
คุณพ่อขวัญ ถิ่นวัลย์
The
Club Hotel, Tiberias, ISRAEL
22
เมษายน 2018
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น