วันพุธที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2561

ตามรอยพระบาทพระเยซูเจ้า2

Ecce Homo Convent
Ecce Homo Convent เป็นชื่ออารามของภคินีคณะพระมารดาแห่งศิโยน (The Sisters of Notre Dame de Sion) เป็นสถานที่พักของพวกเราตลอด 6 วันที่เยรูซาเล็ม จิตตารมย์ของคณะนี้คือการเป็นพยานถึงความรักของพระเจ้าต่อชาวอิสราเอลในพระศาสนจักรและในโลก โดยการศึกษาพระวาจาของพระเจ้า และให้ความสนใจเรื่องการคืนดีกันระหว่างมนุษย์เป็นพิเศษ อีกทั้งจัดหาอาจารย์และที่พักเพื่อการศึกษาพระคัมภีร์ ตามข้อตกลงที่ทำกับอัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ
อาราม Ecce Homo ได้กลายเป็นสถานที่สำหรับการจาริกแสวงบุญตั้งแต่ปี 1860 ตั้งอยู่บนถนนสายมรรคาศักดิ์สิทธิ์ (Via Dolorosa) และเป็นสถานที่ 2 สำหรับการเดินรูป 14 ภาค เพราะตั้งอยู่บนป้อมอันโตเนียที่เคยเป็นจวนของปีลาต เป็นที่ที่ปีลาตนำพระเยซูเจ้าที่ทรงมงกุฎหนามและเสื้อคลุมสีม่วงแดงออกมาและบอกกับประชาชนว่า “Ecce Homo (นี่คือคนคนนั้น)” ตามที่กล่าวถึงในพระวรสารนักบุญยอห์น บทที่ 19 ข้อ 5 และกลายมาเป็นชื่อของอาราม
วัดน้อยใน Ecce Homo ที่เคยเป็นซุ้มประตูชัยของโรมัน


การที่พระเยซูเจ้าทรงเสื้อคลุมสีม่วงแดง ซึ่งเป็นสีสำหรับกษัตริย์ พระวรสารนักบุญมาระโกบอกว่าทหารทั้งกองมาพร้อมกัน มีแต่เวลาจักรพรรดิเสด็จเท่านั้นที่ทหารทั้งกองมาพร้อมกัน พระวรสารนักบุญมัทธิวบอกว่าพระองค์ถือคทาด้วย พระวรสารนักบุญยอห์นบอกว่าปีลาตบอกกับประชาชนว่า “นี่คือคนคนนั้น” (ยน 19:5) เป็นการประกาศว่าพระเยซูเจ้าทรงเป็นกษัตริย์ ผู้นิพนธ์พระวรสารต้องการบอกว่าพระเยซูเจ้าเป็นกษัตริย์จริงๆ แต่ไม่ใช่อย่างที่พวกเขาคิด เป็นกษัตริย์แห่งการรับใช้และมอบชีวิตของพระองค์เพื่อทุกคนด้วยความรัก
อาราม Ecce Homo ยังมีประตูโค้งที่เรียกว่า Ecce Homo Arch นี่เป็นส่วนที่เหลืออยู่ของประตูชัยที่สร้างในสมัยจักรพรรดิฮาเดียนปี 135 ประกอบด้วย 3 ส่วน ส่วนแรกด้านซ้ายเป็นวัดน้อยของ Ecce Homo ส่วนประตูโค้งใหญ่เป็นส่วนที่ยื่นออกไปเหนือถนนมรรคาศักดิ์สิทธิ์ ตามธรรมเนียมโรมันเมื่อยึดครองที่ใดได้แล้วมักสร้างประตูชัย เพื่อต้อนรับจักรพรรดิเสด็จผ่าน นอกนั้นธรรมประเพณีถือว่าที่นี่เป็นจุดที่ปีลาตประกาศว่า “นี่คือคนคนนั้น” (ยน 19:5)
ลานศิลา (Lithostrotos) ชั้นล่างของ Ecce Homo 
ที่ที่ปิลาทนำพระเยซูเจ้าออกมาและพิพากษา


ลานศิลา (Lithostrotos)
บริเวณชั้นใต้ดินของอาราม Ecce Homo ยังมีทางเดินของโรมันโบราณที่เรียกว่า “ลานศิลา” (Lithostrotos) ซึ่งประกอบด้วยแผ่นหินขนาดใหญ่เรียงเป็นทางเดิน ระหว่างปี 1931-1937 คุณแม่โกลเดอร์แลนด์และคุณพ่อวินเซนต์ จากสถาบันศึกษาพระคัมภีร์แห่งคณะโดมินิกันได้ทำการขุดสถานที่นี้ และพบลานของป้อมอันโตเนีย ซึ่งนักบุญยอห์นได้เขียนไว้ว่า ปิลาตได้พาพระเยซูเจ้าไปข้างนอกและได้นั่งบนบัลลังก์ตรงที่เรียกว่า “ลานศิลา” (ยน 19:13)
ดังนั้น พื้นที่นี้เป็นสถานที่ปีลาตได้พิพากษาพระเยซูเจ้าต่อหน้าฝูงชน ที่โห่ร้องด้วยเสียงดังอยู่นอกป้อมอันโตเนีย ได้แสดงพระเยซูเจ้าให้กับฝูงชนและกล่าวว่า “นี่คือคนคนนั้น” ได้สั่งให้เฆี่ยนพระองค์และได้ล้างมือด้วยการมอบพระองค์ให้ฝูงชนเอาไปตรึงกางเขน พื้นที่นี้เป็นระดับพื้นเดิมของกรุงเยรูซาเล็มสมัยพระเยซูเจ้า ที่แสดงให้เห็นว่าเยรูซาเล็มในปัจจุบันเป็นเมืองที่สร้างขึ้นซ้อนเมืองโบราณ
ลานปูศิลาจึงมีความสำคัญทรงประวัติศาสตร์ ที่พระเยซูเจ้าทรงเริ่มพระมหาทรมานสู่เนินกัลวารีโอ หินปูพื้นมีรอยขูดขีดเพื่อป้องกันมิให้ม้าลื่นไถล และมีร่องเพื่อให้น้ำฝนไหลเข้าสู่บ่อที่ขุดลึกลงไป สามารถเก็บน้ำได้เป็นปริมาณมาก พื้นผิวของหินบางก้อนมีรอยแกะสลักแสดงการเล่นเกมของเหล่าทหารเรียกว่า “เกมของกษัตริย์” ซึ่งอาจเป็นเกมที่ทหารเล่นเพื่อเป็นการเยาะเย้ยพระองค์ (มธ 27:27-30, ลก 15:16-20)
การศึกษาพระวรสารนักบุญยอห์น ตามรอยพระบาทพระเยซูเจ้า


สวนเกทเสมนี
สวนเกทเสมนีเป็นเป้าหมายของการติดตามรอยพระบาทพระเยซูเจ้าวันที่สอง หลังจากได้ศึกษาพระวรสารนักบุญยอห์น พวกเราได้ไปถวายพิธีบูชาขอบพระคุณที่ถ้ำซึ่งเป็นวัดน้อยในสวนเกทเสมนี กล่าวกันว่าพระเยซูเจ้าน่าจะมาอธิษฐานภาวนาที่ถ้ำมากกว่าบนสวนซึ่งเป็นที่ส่วนบุคคล เชื่อกันว่าสวนแห่งนี้เป็นของมารดาของนักบุญมาร์โก ผู้นิพันธ์พระวรสาร ตั้งอยู่บริเวณเชิงเขามะกอกเทศ ปัจจุบันยังมีต้นมะกอกเทศอายุเก่าแก่ย้อนไปถึงสมัยของพระเยซูเจ้า
นักบุญยอห์นได้พูดถึงสวนเกทเสมนีซึ่งอยู่อีกฟากหนึ่งของห้วยขิดโดรน เป็นสถานที่พระเยซูเจ้าทรงชื่นชอบเป็นพิเศษ ทรงเสด็จไปอธิษฐานภาวนาบ่อยๆ (ลก 22:39) นี่เป็นสวนที่ทรงทนทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส ในคืนสุดท้ายก่อนรับทรมานและสิ้นพระชนมบนไม้กางเขน เป็นความทุกข์ที่นักบุญลูกาผู้เป็นหมอได้บันทึกว่า “พระองค์ทรงอยู่ในความทุกข์อย่างสาหัส... พระเสโทตกลงพื้นดินประดุจหยดโลหิต” (ลก 22:44)
นี่เป็นอาการของคนที่ทุกข์หนักที่สุด เพราะเห็นภาพล่วงหน้าของการทรมานและความตาย เป็นความเจ็บปวดและทุกระทมอย่างที่สุดของพระเยซูเจ้า มากกว่าการตายจริงบนไม้กางเขนเสียอีก ถึงขนาดที่ทรงร้องขอพระบิดาให้ถ้วยนี้พ้นไป (ลก 22:42)  จากนั้นยูดาสได้พาพรรคพวกของมหาสมณะมาจับกุมและทรยศต่อองค์ที่นี่ ส่วนอัครสาวกคนอื่นได้ละทิ้งพระองค์หนีไป ปล่อยให้พระองค์อยู่เพียงลำพัง
สวนเกทเสมนีที่พระเยซูเจ้าภาวนาและถูกจับกุม


กำแพงร้องไห้
กำแพงร้องไห้หรือกำแพงด้านตะวันตก เป็นสักการสถานศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของชาวยิวที่ถือเป็นพระธาตุของพระวิหารหลังสุดท้าย อยู่ทางด้านตะวันตกของเยรูซาเล็ม เป็นส่วนหนึ่งของกำแพงที่กษัตริย์เฮโรดได้สร้างรอบพระวิหารหลังที่สอง เมื่อปี 20 ก่อนคริสตกาล ปี 70 จักรพรรดิตีตัสได้ทำลายกำแพงส่วนนี้ที่สร้างด้วยก้อนหินขนาดใหญ่ เพื่อแสดงให้เห็นถึงอานุภาพของทหารโรมันที่สามารถำลายส่วนอื่นๆ ของพระวิหารได้
ในยุคที่ชาวโรมันปกครอง ชาวยิวไม่ได้รับอนุญาตให้มาที่กรุงเยรูซาเล็ม แต่สมัยไบแซนตินพวกเขามาได้ปีละครั้งในวันระลึกถึงการทำลายพระวิหาร เพื่อแสดงความทุกข์ต่อการกระจัดกระจายของชาวยิวและร่ำไห้เหนือซากของพระวิหารศักดิ์สิทธิ์ ด้วยเหตุนี้ส่วนนี้ของกำแพงจึงได้ชื่อว่า “กำแพงร้องไห้” ธรรมเนียมการมาอธิษฐานภาวนาข้างกำแพงนี้ได้ถือปฏิบัติต่อกันมาหลายศตวรรษ
ตั้งแต่ปี 1948-1967 ชาวยิวไม่สามารถเข้าเยี่ยมสถานที่แห่งนี้ได้ เพราะอยู่ในส่วนของเยรูซาเล็มที่อยู่ภายใต้การปกครองของจอร์แดน  หลังสงคราม 6 วัน กำแพงร้องไห้นี้ได้กลายเป็นสถานที่แสดงความชื่นชมยินดีระดับชาติ อีกทั้งเป็นสถานที่นมันสการและอธิษฐานภาวนา มีการสร้างลานกว้างขนาดใหญ่ เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้คนได้เข้าร่วมอธิษฐานภาวนาครั้งละเป็นจำนวนมากอย่างไม่ขาดสาย ตลอดแนวกำแพงมีช่องขนาดใหญ่ลึกเข้าไป เป็นที่เก็บหนังสือโตราห์และบทเพลงสดุดีที่ชาวยิวสามารถใช้อธิษฐานภาวนา
กำแพงร้องไห้ รากฐานของพระวิหารเดิมที่หลงเหลืออยู่


คุณพ่อขวัญ ถิ่นวัลย์
Ecce Homo Convent, Jerusalem, ISRAEL
18 เมษายน 2018

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น