ใช่หรือไม่ใช่
วันเสาร์
สัปดาห์ที่ 10 เทศกาลธรรมดา
|
2 คร 5: 14-21
มธ 5:33-37
|
พระเยซูเจ้าเคยตรัสว่ามิได้มาเพื่อทำลายธรรมบัญญัติและคำสอนของบรรดาประกาศก
แต่มาทำให้สมบูรณ์ขึ้น (มธ 5:17) พระวรสารวันนี้ เราเห็นถึงความพยายามของพระองค์ในการสอนและทำให้บทบัญญัติของพระเจ้าสมบูรณ์ขึ้น
โดยหยิบยกบัญญัติประการที่ 2 “อย่าออกพระนามพระเจ้าโดยไม่สมเหตุ”
พระองค์เตือนเราว่าการรักษาสัจจะวาจาเป็นเรื่องสำคัญ
เรามีหน้าที่ต้องพูดความจริง และคนอื่นมีสิทธิ์ทราบความจริงจากเราด้วยเช่นกัน
หากเราเคารพความจริงและรักษาสัญญา ไม่จำเป็นต้องอ้างพระเจ้าให้มาเป็นพยานคำพูดของเรา
ยิ่งการอ้างพระเจ้ามาเป็นพยานเท็จด้วยแล้ว ถือเป็นการสบประมาทพระเจ้าและลดพระองค์ให้มาเป็นคู่ขัดแย้งของมนุษย์
พระเยซูเจ้าเตือนเรามิให้สาบานหรืออ้างถึงพระเจ้า ในฐานะคริสตชนเราถูกเรียกร้องให้เป็นคนที่พูดความจริง
ซื่อสัตย์ตรงไปตรงมา และน่าไว้วางใจ เราต้องไม่ให้คำสัญญาแบบพร่ำเพรื่อ แต่เมื่อสัญญาแล้ว
ต้องถือสัจจะและรักษาสัญญา
การสาบานสะท้อนสถานะบาปของมนุษย์ ที่มักนำไปสู่การโกหกและความไม่น่าไว้ใจ
แต่เพื่อสร้างความมั่นใจการสาบานได้ถูกนำมาใช้ การสาบานจึงแสดงถึงความไม่ไว้ใจกันของมนุษย์
หากเรามีแนวโน้มที่จะไว้ใจกัน เชื่อมั่นในกันและกัน และพูดความจริงเสมอ เราไม่จำเป็นต้องสาบานเลย
ดังนั้น การสาบานจึงเครื่องหมายของการยอมรับสิ่งไม่ดี (Evils) ให้เป็นเรื่องปกติ
เพราะเราไม่อาจคาดหวังความจริงหรือความไว้ใจระหว่างมนุษย์ด้วยกันได้
พระเยซูเจ้าตรัสกับเราชัดเจนว่า “ท่านจงพูดเพียงว่า ‘ใช่’
หรือ ‘ไม่ใช่’ คำพูดที่มากไปกว่านั้นมาจากมารร้าย” (มธ 5:37) พระองค์ได้ทำให้เราเข้าใจใหม่เกี่ยวกับบัญญัติประการที่
2 เราต้องไม่สาบานโดยอ้างพระนามพระเจ้า แต่ต้องทำให้ “พระนามพระองค์จงเป็นที่สักการะ”
ดังที่เราภาวนาเสมอ อีกทั้ง ต้องเป็นคนซื่อสัตย์ตรงไปตรงมาและพูดความจริง
“ความจริงจะทำให้ท่านเป็นอิสระ” (ยน 8:32) ชีวิตคริสตชนต้องเป็นเครื่องหมายแห่งความรัก
ความวางใจ และความจริงเสมอ
คุณพ่อขวัญ
ถิ่นวัลย์
khuanthinwan@gmail.com
San Tomasso Ashram, วัดป่าพนาวัลย์
16 มิถุนายน 2017ภาพประกอบ: บาทหลวงคายน์ แสนพลอ่อน, ครูใหญ่และอธิการโรงเรียนเซนต์ยอแซฟท่าแร่; c 1969
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น