วันจันทร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

ตามรอยพระบาทพระเยซูเจ้า10



ซีซารียาแห่งฟิลิป
ซีซารียาแห่งฟิลิป (Caesarea Philippi) เป็นเมืองที่ตั้งอยู่บนหุบเขาที่อุดมสมบูรณ์ก่อนถึงภูเขาเฮอร์โมน จักรพรรดิเอากุสตุสได้มอบเมืองนี้แก่กษัตริย์เฮโรด และเพื่อเป็นการแสดงความขอบคุณเฮโรดได้สร้างพระราชวังสำหรับซีซาร์ เมื่อเฮโรดสิ้นพระชนม์พระโอรสที่ชื่อฟิลิปได้ปรับปรุงเมืองนี้เป็นเมืองหลวง และเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น “ซีซารียาแห่งฟิลิป” ส่วนชื่อในปัจจุบันมาจากคำภาษากรีกโบราณ “ปานีอัส” (Panias) ในศตวรรษที่ 7 ที่เปอร์เซียครอบครองและไม่มีตัวอักษร “P” ในภาษาอาหรับจึงออกเสียเป็น “บานีอัส” (Banias)
ในสมัยพระเยซูเจ้าเมืองซีซารียาแห่งฟิลิป เป็นเมืองที่เป็นแหล่งต้นน้ำและมีความเจริญรุ่งเรืองมาก เต็มไปด้วยบ้านเรือน วิหาร และถนนที่มีแนวเสาโรมันตั้งเรียงรายสองข้างตามแบบโรมัน ถือเป็นจุดที่ไกลสุดที่พระเยซูเจ้าและบรรดาศิษย์เดินทางมาถึง และเป็นที่ที่พระเยซูเจ้าถามบรรดาศิษย์ว่า “คนทั้งหลายกล่าวว่าบุตรแห่งมนุษย์เป็นใคร” และบรรดาศิษย์ทูลตอบว่าเป็นยอห์น บัปติสต์ เอลียาห์ เยเรมี หรือประกาศกองค์ใดองค์หนึ่ง แล้วพระเยซูเจ้าย้อนถามพวกเขาว่า “ท่านละคิดว่าเราเป็นใคร” และเปโตรได้ประกาศความเชื่อของตน “พระองค์คือพระคริสตเจ้า พระบุตรพระเจ้าผู้ทรงชีวิต” (มธ16:13-16)
ณ ที่นี่เองที่พระเยซูเจ้าทรงตั้งเปโตรให้เป็นผู้นำพระศาสนจักร “ท่านเป็นศิลา และบนศิลานี้ เราจะสร้างพระศาสนจักรของเรา ประตูนรกจะไม่มีวันชนะพระศาสนจักรได้” (มธ 16:18) เราเห็นชัดถึงความจริงข้อนี้ ความยิ่งใหญ่ของอาณาจักรต่างๆ ไม่ว่าจะยิ่งใหญ่แค่ไหน แต่ที่สุดได้ถึงกาลเสื่อมสลาย ขณะที่พระศาสนจักรที่พวกเขาเบียดเบียนยังคงอยู่และเป็นปึกแผ่นมั่นคงมาถึงทุกวันนี้ พระเยซูเจ้ายังสัญญาจะมอบกุญแจพระอาณาจักรสวรรค์ให้เปโตร ซึ่งเป็นอำนาจในการยกบาป (มธ 16:19) มีแต่อำนาจที่ตั้งอยู่บนความรักและการให้อภัยเท่านั้นที่คงอยู่และถาวรนิรันดร





เมืองโคราซิน
โคราซิน (Korazin) เป็นเมืองของชาวยิวที่ได้รับการอ้างถึงในหนังสือตัลมูด (Tulmud: Menahot 85/A) ในฐานะที่เป็นแหล่งผลิตข้าวสาลี ในพันธสัญญาใหม่โคราซินได้รับการอ้างถึงว่าเป็นเมืองที่พระเยซูเจ้าทรงสาบแช่งพร้อมกับเมืองเบธไซดา เนื่องจากพวกเขาไม่ยอมกลับใจ “วิบัติจงเกิดแก่เจ้า เมืองโคราซิน วิบัติจงเกิดแก่เจ้า เมืองเบธไซดา ถ้าอัศจรรย์ที่ได้เกิดขึ้นในเจ้าได้เกิดขึ้นที่เมืองไทระและเมืองไซดอนแล้ว เขาเหล่านั้นคงได้นุ่งกระสอบนั่งบนกองขี้เถ้ากลับใจเสียนานแล้ว” (ลก 10:13, มธ 11:21)
โคราซินที่เห็นในปัจจุบัน ยังคงปรากฎความเสียหายจากภูเขาไฟสีดำในศตวรรษที่ 2 และถูกทำลายราบเป็นหน้ากลองจากแผ่นดินไหวในศตวรรษที่ 3 โดยไม่มีการสร้างขึ้นใหม่ ได้รับการค้นพบเป็นครั้งแรกโดยโคลห์และวัตซิงเกอร์ต้นปี 1900 ประมาณปี 1920 มหาวิทยาลัยอิสราเอลโดยความช่วยเหลือของรัฐบาลอังกฤษได้ทำการขุดค้น และคณะโบราณคดีและพิพิธภัณฑ์แห่งชาติอิสราเอลได้ทำให้สมบูรณ์ระหว่างปี 1962-1965
พระเยซูเจ้าคงได้กระทำอัศจรรย์หลายอย่างที่โคราซินและเบธไซดาอย่างแน่นอน แต่พวกเขามิได้กลับใจ โคราซินในปัจจุบันจึงไม่ต่างจากเมืองไทระและไซดอนที่พระองค์ตรัสถึง เหลือเพียงซากปรักหักพังของความรุ่งเรืองในอดีต ดังนั้น การกลับใจเป็นเรื่องสำคัญสำหรับศิษย์พระคริสต์





เมืองมักดาลา
มักดาลาเป็นเมืองโบราณตั้งแต่สมัยเฮเลนิสต์ เป็นชุมชนที่ทำการประมงเป็นหลัก ตั้งอยู่บนเขาอาร์เบลตามเส้นทางการค้า Via Maris ในอดีต และถูกฝังอยู่ใต้ดินร่วมสองพันปี กระทั่งปี 2009 จึงได้รับการค้นพบโดยบังเอิญจากพระสงฆ์คณะอาณาจักรพระคริสต์ (Legend of Christ) จากประเทศเม็กซิโกที่ได้มาซื้อที่ดินบริเวณนี้เพื่อทำเป็นที่พัก เมื่อเริ่มงานฐานรากสำหรับโรงแรมที่พัก เครื่องจักรไม่สามารถขุดลงไปได้เพราะเจอซากหินของเมืองโบราณ ทำให้ต้องหยุดโครงการเพื่อการขุดค้นทางโบราณคดี
การค้นพบครั้งนั้นทำให้เมืองมักดาลากลับมามีชีวิตอีกครั้ง หลักฐานทางโบราณคดีที่ค้นพบชี้ให้เห็นถึงการรักษาธรรมประเพณียิวของชาวมักดาลา ซึ่งพระเยซูเจ้าได้เสด็จไปเทศน์สอนและทำอัศจรรย์ทวีขนมปังเลี้ยงผู้คน ทรงรักษาคนเจ็บป่วย รวมถึงมารีย์ชาวมักดาลาที่ทำให้เมืองนี้เป็นที่รู้จัก “พระองค์เสด็จไปทั่วแคว้นกาลิลี ทรงสั่งสอนในศาลาธรรม ทรงประกาศข่าวดีเรื่องพระอาณาจักร ทรงรักษาโรคและความเจ็บไข้ทุกชนิดของประชาชน” (มธ 4:23;  มก 1:39)
การค้นพบแท่นหินของศาลาธรรมแห่งมักดาลา (Madala Stone) ทำให้ทราบว่าศาลาธรรมแห่งนี้เป็นศาลาธรรมที่เก่าแก่ที่สุดในกาลิลี รูปสลักเทียน 7 กิ่งและเสา 3 ต้นสื่อถึงพระวิหารที่กรุงเยรูซาเล็ม และเป็นหนึ่งใน 7 ศาลาธรรมในศตวรรษแรกของอิสราเอล แท่นหินนี้เชื่อกันว่าเป็นที่วางหนังสือโตราห์และหนังสือประกาศกที่ใช้อ่านในศาลาธรรม รวมถึงเหรียญที่ได้รับการค้นพบในศาลาธรรมย้อนกลับไปถึงปี 5-63 ซึ่งเป็นห้วงเวลาสมัยพระเยซูเจ้า





เมืองนาซาเร็ธ
นาซาเร็ธเป็นเมืองที่ตั้งอยู่ในหุบเขาทางตอนใต้ของกาลิลี เป็นสถานที่ที่อัครเทวดาคาเบรียลแจ้งข่าวแก่พระนางมารีย์ว่าจะเป็นมารดาขององค์พระเจ้า ทำให้พระวจนาตถ์ทรงรับเอากาย (ยน 1:14) และเป็นสถานที่ที่พระเยซูเจ้าทรงเจริญวัย (ลก 1:26-35) เหมือนเด็กชาวนาซาเร็ธทั่วไป ทรงใช้ชีวิตอย่างซ่อนเร้นตลอด 30 ปี ทำงานเป็นช่างไม้พร้อมกับยอแซฟ ทำให้พระองค์ได้ชื่อว่าเป็น “ชาวนาซาเร็ธ” (มธ 2:23)
นาซาเร็ธเป็นเมืองเล็กๆ มีชื่อเสียงที่ไม่ดีนัก เพราะนาธานาแอลชาวคานาซึ่งอยู่ไม่ไกลจากนาซาเร็ธ เมื่อได้ยินคนพูดถึงพระเยซูเจ้าชาวนาซาเร็ธได้อุทานว่า “จะมีอะไรมาจากนาซาเร็ธได้รึ” (ยน 1:46) พระเยซูเจ้าเองไม่ได้รับการต้อนรับในเมืองของพระองค์ (ลก 4:24) ชาวนาซาเร็ธได้พยายามประหารพระองค์ เมื่อได้ฟังพระองค์เทศน์สอน (ลก 4:28-29) ทำให้พระองค์ต้องออกจากนาซาเร็ธไปประทับอยู่ที่คาเปอรนาอุม
ในสมัยพระเยซูเจ้านาซาเร็ธเป็นชุมชนขนาดใหญ่ของชาวยิว ปี 66 นาซาเร็ธได้ถูกจักรพรรดิเวสปาเซียนทำลาย ศตวรรษที่ 4 ได้มีการสร้างวัดขึ้นในสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับพระเยซูเจ้าและพระนางมารีย์ ปี 629 ชาวยิวถูกขับไล่จากนาซาเร็ธ เพราะไปเข้ากับพวกเปอร์เซีย สมัยครูเสดนาซาเร็ธได้รับการฟื้นขึ้นมาใหม่ มีการสร้างวัดและอารามขึ้นมาใหม่ ปี  1187 นาซาเร็ธถูกยึดจากซาลาดินทำให้กลายเป็นเมืองมุสลิม นาซาเร็ธปัจจุบันประกอบด้วยชาวมุสลิม ยิว และคริสตชน





มหาวิหารการแจ้งข่าว
ตั้งแต่ศตวรรษที่ 4 มีการสร้างวัดครอบถ้ำที่อัครเทวดาคาเบียลแจ้งข่าวแก่พระนางมารีย์ และถูกชาวเปอร์เซียทำลายปี 614 สมัยครูเสดได้สร้างวัดและอารามขึ้นใหม่รูปทรงโรมันและถูกทำลายปี 1263 กระทั่งปี 1730 คณะฟรังซิสกันได้รับอนุญาตให้สร้างวัดเล็กๆ ขึ้น ระหว่างปี 1960-1969 พวกเขาได้สร้างมหาวิหารที่สง่างามและใหญ่ที่สุดในตะวันออกกลาง ก่อนสร้างได้ทำการขุดค้นบริเวณโดยรอบทำให้พบซากกำแพงอาคารเดิม และฐานของเสาของวัดสมัยไบเซนทีนที่มีคำสลักเป็นภาษากรีกว่า “วันทามารีย์”
 มหาวิหารการแจ้งข่าว (Basilica of the Annunciation) ได้รับการออกแบบโดยสถาปนิกชาวอิตาเลียนชื่อโจวันนี มูซิโอ (Giovanni Muzio) ที่ออกแบบเป็นวัดซ้อนกันเพื่อรักษาซากวัดเดิมและกำแพงโบราณ ที่ธรรมประเพณีเชื่อว่าเป็นบ้านของพระนางมารีย์ ซึ่งได้รับการแจ้งข่าวจากทูตสวรรค์เรื่องการประสูติของพระเยซูเจ้า (ลก 1:26-38) ที่ดูโดดเด่นมองเห็นแต่ไกลคือโดมของมหาวิหารที่สูงถึง 170 ฟุต รูปทรงคล้ายตะเกียง
ไม่ไกลจากมหาวิหารการแจ้งข่าว เป็นวัดนักบุญยอแซฟ (The Church of St. Joseph) ที่สร้างครอบถ้ำซึ่งนักบุญยอแซฟใช้เป็นที่ทำงานช่างไม้ ธรรมประเพณีเชื่อว่าสถานที่นี้เป็นบ้านของครอบครัวศักดิ์สิทธิ์ เมื่อนักบุญยอแซฟพาครอบครัวกลับไปที่นาซาเร็ธ “เมื่อโยเซฟพร้อมกับพระนางมารีย์ปฎิบัติตามที่ธรรมบัญญัติขององค์พระผู้เป็นเจ้ากำหนดไว้สำเร็จทุกประการแล้ว ก็กลับไปที่นาซาเร็ธ เมืองของตนในแคว้นกาลิลี” (ลก 2:39)




คุณพ่อขวัญ ถิ่นวัลย์
โรงเรียนเซนต์ยอแซฟยานนาวา กรุงเทพฯ
6 พฤษภาคม 2018

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น