วันเสาร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2562

การอธิษฐานภาวนาด้วยความถ่อมตน

การอธิษฐานภาวนาด้วยความถ่อมตน
อาทิตย์
สัปดาห์ที่ 30 เทศกาลธรรมดา
ปี C
บสร 35:12-14, 16-18
ทธ 4:6-8; 16-18
ลก 18:9-14
บทนำ
ครั้งหนึ่ง ผู้สื่อข่าวได้ถามคุณแม่เทเรซาแห่งกัลกัตตาว่า เคยถูกผจญในเรื่องความภูมิใจในตนเองไหม แม่เทเรซายิ้มและตอบว่า ภูมิใจเรื่องอะไรละ ผู้สื่อข่าวตอบว่า ก็ภูมิใจในสิ่งดีงามทั้งหลายที่ได้ทำเพื่อคนยากจนที่สุดไง คุณแม่เทเรซาตอบว่า ฉันไม่เคยทราบเลยว่าฉันได้ทำอะไร นั่นเป็นงานของพระเจ้าทั้งนั้น ที่ทำงานผ่านทางสมาชิกในคณะและอาสาสมัครของฉัน ความถ่อมตนเป็นสิ่งที่ทำให้เราเห็นความแตกต่างระหว่างนักบุญกับคนบาป ดังอุปมาเรื่องฟาริสีกับคนเก็บภาษีในพระวรสาร ซึ่งมีแต่เฉพาะพระวรสารของบุญลูกาเท่านั้น
พระเยซูเจ้าทรงเล่าลักษณะแตกต่างกันระหว่างฟาริสีกับคนเก็บภาษี ในการอธิษฐานภาวนา ฟาริสี หมายถึง คนที่แยกตัวออกจากผู้อื่น เพื่อรักษาความบริสุทธิ์ของศาสนา ถือปฏิบัติตามธรรมบัญญัติอย่างเคร่งครัด และคิดว่า ฉันบริสุทธิ์กว่าคนอื่น  ในทัศนะของชาวฟาริสี ถ้าจะมีคนดีสองคนในโลก คนนั้นคือฉันและลูกชายของฉัน แต่ถ้ามีเพียงคนเดียวคนนั้นคือตัวฉันเอง ความหยิ่งจองหองและการถือปฏิบัติตามกฎมากกว่าความรักต่อผู้อื่น ทำให้พระเยซูเจ้าตำหนิพวกเขาในพระวรสาร
ส่วน คนเก็บภาษี เป็นชาวยิวที่เก็บภาษีให้รัฐบาลโรมันและเก็บส่วนที่เหลือไว้เป็นของตน อาชีพเก็บภาษีจึงสร้างรายได้มหาศาล โดยเฉพาะภาษีการใช้สะพาน การใช้ถนนและการเป็นเจ้าของเกวียนซึ่งสามารถเรียกเก็บที่ไหนก็ได้ สำหรับคนยากจนไม่มีเงินจ่าย คนเก็บภาษีจะจ่ายล่วงหน้าและเรียกเก็บดอกเบี้ยในอัตราสูง คนเก็บภาษีจึงเป็นที่รังเกียจของคนทั่วไป เป็น พวกขี้ฉ้อ ขูดเลือดขูดเนื้อและขายชาติ เพราะทำงานให้กับรัฐบาลโรมัน จัดอยู่ในระนาบเดียวกันกับฆาตกรและหญิงโสเภณี

1.         การอธิษฐานภาวนาด้วยความถ่อมตน
พระเยซูเจ้าทรงเล่าอุปมาเกี่ยวกับชาวฟาริสีและคนเก็บภาษี ซึ่งเข้าไปอธิษฐานภาวนาในพระวิหารเพื่อสอนเราเกี่ยวกับความสุภาพถ่อมตน พระองค์ทรงหยิบยกเรื่องราวชีวิตจริงของชาวยิวซึ่งอธิษฐานภาวนาวันละ 4 ครั้ง ได้แก่ เวลาเก้าโมงเช้า เที่ยงวัน บ่ายสามโมงและหกโมงเย็น จากวิธีอธิษฐานภาวนาของชาวฟาริสีและคนเก็บภาษี สะท้อนให้เห็นความสัมพันธ์ที่พวกเขามีต่อพระเจ้าและต่อเพื่อนมนุษย์
ชาวฟาริสียืนขึ้นอธิษฐานภาวนากับตนเอง ดูเหมือนกำลังขอบคุณพระเจ้า แต่ในความเป็นจริงเขาขอบคุณตนเองที่ไม่ได้เป็นขโมย หรือล่วงประเวณี เขารู้สึกพอใจกับสิ่งที่ตนเองทำเป็นพิเศษ เช่น การอดอาหารสัปดาห์ละสองวัน (วันจันทร์กับวันพฤหัสบดีซึ่งมีตลาดนัดเพื่อให้คนเห็น) และได้ถวายหนึ่งในสิบของรายได้ทั้งหมด (ทำมากกว่าที่กฎหมายกำหนด) เขามีเจตนาเปรียบเทียบความดีของตนกับข้อเสียของคนอื่น เขาจึงไม่ใช่คนน่ายกย่อง เขามิได้อธิษฐานภาวนาถึงพระเจ้า แต่กำลังสรรเสริญตนเอง โอ้อวดและดูหมิ่นคนอื่น
ส่วนคนเก็บภาษีซึ่งเป็นคนบาปสาธารณะที่ชาวยิวรังเกียจ เขารู้ความจริงเกี่ยวกับตนเองและสำนึกผิดจึงยืนอยู่ห่าง ๆ ไม่กล้าเงยหน้า ตีอกชกตัวและกล่าวว่า ข้าแต่พระเจ้า โปรดทรงพระกรุณาต่อข้าพเจ้าคนบาปด้วยเถิด (God, have mercy on me, a sinner.) นี่เป็นคำภาวนาที่สั้นที่สุดในพระคัมภีร์และลึกซึ้งที่สุด เพราะคนเก็บภาษีสำนึกในความบาปผิดของตน เขาตระหนักในความรักเมตตาของพระเจ้าที่ทรงให้อภัยคนบาป ทำให้เขาเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า 
2.         บทเรียนสำหรับเรา
พระวาจาของพระเจ้าวันนี้ได้ให้บทเรียนสำคัญสำหรับเราหลายประการ ในการนำไปปฏิบัติในชีวิตประจำวัน
ประการแรก เราต้องอธิษฐานการภาวนาด้วยความถ่อมตน คนเก็บภาษีอธิษฐานภาวนาด้วยความถ่อมตนและพระเจ้าทรงฟังคำภาวนาของเขา ซึ่งตรงข้ามกับชาวฟาริสี เพราะว่าผู้ใดยกตนขึ้นจะถูกกดให้ต่ำลง ผู้ใดที่ถ่อมตนลงจะได้รับการยกย่องให้สูงขึ้น (ลก 18:14) เรามักอธิษฐานภาวนาวอนขอสิ่งจำเป็นจากพระเจ้า แต่เราลืมถวายเกียรติ สรรเสริญและขอบพระคุณพระองค์ โดยเฉพาะพระพรแห่งชีวิต สุขภาพ หน้าที่การงานและชีวิตที่ราบรื่นในแต่ละวัน
ประการที่สอง เราต้องสำนึกผิดในความไม่ดีที่ได้ทำ คนสำนึกในความผิดของตนจะได้รับพระเมตตาจากพระเจ้า เป็นที่น่าสังเกตว่า นักบุญผู้ศักดิ์สิทธิ์กลับเป็นคนสำนึกในความบาปของตนมากที่สุด นักบุญเปาโลได้เขียนถึงตัวเองว่า ข้าพเจ้าเป็นคนแรกในบรรดาคนบาปเหล่านี้ (ทม 1:15) นักบุญฟรังซิส อัสซีซี พูดถึงตัวท่านเองว่า ไม่มีใครอีกแล้วที่น่าเกลียด น่าชิงชังและน่าสังเวชเท่าตัวข้าพเจ้า คนหยิ่งจองหองและดูหมิ่นคนอื่นไม่อาจเข้าถึงพระเจ้าได้
ประการที่สาม เราต้องตระหนักในความรักและการให้อภัยของพระเจ้า คนเก็บภาษีเข้าใจอย่างถ่องแท้ ตระหนักในความรักของพระเจ้าผู้ทรงให้อภัยคนบาป ทำให้เขาเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า เรามารวมตัวกันทุกอาทิตย์ในพิธีบูชาขอบพระคุณ เพื่อขอบพระคุณความรักไม่มีเงื่อนไขและร่วมส่วนในการถวายบูชาบนไม้กางเขนของพระเยซูเจ้า เพื่อลบล้างบาปของเราทั้งหลาย อีกทั้ง ดำเนินชีวิตเป็นเครื่องหมายแห่งความรักไม่มีเงื่อนไขในชีวิตประจำวัน
บทสรุป
พี่น้องที่รัก พระเยซูเจ้าทรงสอนเราถึงท่าทีถูกต้องที่ควรมีเมื่ออธิษฐานภาวนา เราต้องมีความถ่อมตนและสำนึกในความผิดของตนเหมือนคนเก็บภาษี ที่ตระหนักในความผิดของตนเองโดยไม่เปรียบเทียบ ดูหมิ่นดูแคลน หรือกล่าวโทษผู้อื่น อีกทั้งไม่ยกตนและสรรเสริญความดีของตนเองเหมือนชาวฟาริสี เพราะเราแต่ละคนต่างเป็นคนบาปที่ต้องการการให้อภัยจากพระเจ้าด้วยกันทั้งนั้น
คริสตชนควรมีท่าทีถูกต้องต่อตนเอง ต่อพระเจ้า และต่อเพื่อนมนุษย์ ความหยิ่งจองหองและความภูมิใจในความชอบธรรมของตนเอง เป็นอุปสรรคขวางกั้นระหว่างเรากับพระเจ้า และระหว่างเรากับเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ศิษย์พระคริสต์ต้องอธิษฐานภาวนาด้วยความถ่อมตน สำนึกว่าเราเป็นคนบาป ไม่กล่าวโทษ หรืออวดตัวว่าดีกว่าคนอื่น ตระหนักในความรักและการให้อภัยของพระเจ้า และดำเนินชีวิตเป็นเครื่องหมายแห่งความรักที่ไม่มีเงื่อนไขในชีวิตประจำวัน
คุณพ่อขวัญ ถิ่นวัลย์
khuanthinwan@gmail.com
สำนักมิสซังฯ สกลนคร
26 ตุลาคม 2019
ภาพ : การสวดสายประคำ, ดอนม่วย, สกลนคร; 2019-10-23

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น