การอธิฐานภาวนาโดยไม่ท้อถอย
อาทิตย์
สัปดาห์ที่ 29 เทศกาลธรรมดา
ปี C
|
อพย 17:8-13
2 ทธ 3:14; 4:2
ลก 18:1-8
|
บทนำ
มีเด็กชายคนหนึ่งจากรัฐอิลลินอยส์ได้เข้าเรียนในระบบโรงเรียนเพียงหกเดือน
และออกจากโรงเรียนมาอยู่บ้าน โดยมีแม่คอยสอนให้มีความฝันและทำให้ความฝันเป็นจริง
ด้วยพลังของการอธิฐานภาวนา
แรกทีเดียวเขาเข้าสอบแข่งขันเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแต่ประสบความพ่ายแพ้
ต่อมาทำธุรกิจแต่ล้มเหลวและต้องใช้เวลาถึง 17 ปีใช้หนี้ซึ่งหุ้นส่วนของเขาเป็นคนก่อ
เมื่อโตเป็นหนุ่มเขาตกหลุมรักและหมั้นกับหญิงสาวคนหนึ่ง แต่เธอมาจากไปก่อนได้แต่งงานกัน
ต่อมาเขาได้เข้าแข่งขันเป็นสมาชิกรัฐสภาและพ่ายแพ้
เขาจึงหันมาสมัครเป็นเจ้าหน้าที่ที่ดินแต่ไม่ได้รับการคัดเลือก
ด้วยความเชื่อในพลังของการอธิฐานภาวนา เขาสมัครเป็นรองประธานาธิบดีและพ่ายแพ้
สองปีต่อมาเขาสมัครเป็นสมาชิกวุฒิสภาและพ่ายแพ้อีกครั้ง กระทั่งเขาตัดสินใจลงชิงชัยตำแหน่งประธานาธิบดีและได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีคนที่
16 ของสหรัฐอเมริกานาม อับราฮัม ลินคอล์น (Abraham Lincoln)
เช่นเดียวกัน วินสตัน เชอร์ชิลล์ (Winston
Churchill) ต้องใช้เวลา 3 ปีในการเรียนเกรด 8 ในโรงเรียน เนื่องจากสอบไม่ผ่านวิชาภาษาอังกฤษ
หลายปีต่อมาเขาได้รับเชิญให้ไปแสดงปาถกถาที่มหาวิทยาลัยอ๊อกฟอร์ด ในฐานะผู้ประสบผลสำเร็จทางการศึกษา
สุนทรพจน์ของเขาในวันนั้นประกอบด้วยคำ 3 คำ “ไม่ท้อถอย” (Never give
up) และนี่คือสารจากอุปมาเรื่องหญิงม่ายยากจนกับผู้พิพากษาอยุติธรรมในพระวรสารวันนี้
1. การอธิฐานภาวนาโดยไม่ท้อถอย
พระเยซูเจ้าตรัสอุปมาเรื่องหญิงม่ายกับผู้พิพากษาอยุติธรรมเพื่อสอนว่า “จำเป็นต้องอธิษฐานภาวนาอยู่เสมอโดยไม่ท้อถอย” (ลก 18:1) พระเยซูเจ้าทรงนำเสนอเรื่องหญิงม่ายคนหนึ่ง ซึ่งต้องการให้คดีความของตนได้รับการพิจารณาจากผู้พิพากษา
นางไปหาผู้พิพากษาครั้งแล้วครั้งเล่าแต่ได้รับการปฏิเสธทุกครั้ง
ความเพียรพยายามของเธอทำให้ผู้พิพากษารู้สึกรำคาญ ยอมพิจารณาตัดสินคดีความให้ในที่สุด
(เพื่อนางจะไม่มารบกวนให้รำคาญใจอีก)
สังคมชาวยิวโบราณถือว่า หญิงม่ายเป็นคนอ่อนแอที่สุด
เป็นตัวแทนของคนยากจนไม่มีที่พึ่งและปกป้องตัวเองไม่ได้ พระเจ้าทรงเอาพระทัยใส่พวกนางเป็นพิเศษโดยตรัสว่า
“ท่านจะต้องไม่ข่มเหงหญิงม่าย หรือลูกกำพร้า... เราจะฟังเสียงร้องขอของเขาอย่างแน่นอน” (อพย 22:22-23) หญิงม่ายที่ปรากฏในอุปมาถูกคนกลั่นแกล้งต่าง
ๆ นานา จึงต้องมาร้องขอความยุติธรรมจากผู้พิพากษา
อุปมาเรื่องนี้ได้ชี้ให้เห็นความแตกต่างอย่างสุดขั้วระหว่างพระเจ้ากับผู้พิพากษาอธรรม :
ประการแรก ผู้พิพากษาเป็นคนโลภ รับสินบน บิดเบือนความจริง
และหากินบนความทุกข์ของคนอื่น
ส่วนพระเจ้าทรงเปี่ยมด้วยความรักและความเมตตากรุณาอย่างหาที่สุดมิได้
ทรงปฏิบัติต่อทุกคนอย่างยุติธรรมและเท่าเสมอกัน
ประการที่สอง ผู้พิพากษาไม่รู้จักหญิงม่ายยากจนคนนี้มาก่อน
จึงไม่มีความผูกพันกัน ส่วนพระเจ้ารู้จักเราตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา
ก่อนที่จะเกิดมาด้วยซ้ำ (เทียบ ยรม 1:4) พระองค์ไม่ทรงทอดทิ้งเราผู้เป็นบุตรของพระองค์ เมื่อผู้พิพากษาอธรรมยังยอมให้ความยุติธรรมแก่หญิงม่าย
แล้วพระเจ้าผู้เป็นองค์ความดีบริบูรณ์ จะประทานยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด (ดู ลก 11:5-8)
2. บทเรียนสำหรับเรา
พระวาจาของพระเจ้าวันนี้ได้ให้บทเรียนสำคัญสำหรับเราหลายประการ
ในการนำไปปฏิบัติในชีวิตประจำวัน
ประการแรก เราต้องอธิฐานภาวนาโดยไม่ท้อถอย การอธิฐานภาวนาเป็นเครื่องพิสูจน์ผู้อุทิศตนเพื่อพระเจ้า
และเป็นอาวุธทรงพลานุภาพช่วยเราให้สามารถเอาชนะอุปสรรคทุกอย่าง เราอธิฐานภาวนาบ่อยแค่ไหนในชีวิตและสาระสำคัญคืออะไร
ประการสำคัญ เราควรมีความเข้าใจถูกต้องเกี่ยวกับการอธิฐานภาวนา ดังนี้:
1) พระเจ้าทรงทราบทุกอย่างว่าอะไรดีที่สุดสำหรับเรา บ่อยครั้งเด็ก ๆ มักขอสิ่งทำร้ายตัวเอง
เช่น อยากเล่นไฟ ของมีคม หรืออยากกินสิ่งที่เป็นอันตราย
พ่อแม่ที่รักลูกย่อมไม่ให้ตามที่เขาต้องการ พระเจ้าเช่นเดียวกันย่อมประทานสิ่งดีที่สุดสำหรับบุตรของพระองค์
2) พระเจ้าทรงเห็นกาลเวลาทั้งหมด เราเป็นเหมือนคนไปดูภาพยนตร์ตอนกลางเรื่อง
ไม่ได้ดูตั้งแต่ต้นจนจบ เราเห็นแต่ปัจจุบันซึ่งเป็นเหตุการณ์สั้น ๆ เราจึงอธิฐานภาวนาวอนขอพระเจ้าด้วยความโง่เขลา
พระเจ้าไม่ทรงตอบคำขอของเราเพราะพระองค์มีสิ่งดีกว่ารอเราอยู่
3) การอธิฐานภาวนาต้องมาจากน้ำใสใจจริง ความเพียรพยายามของหญิงม่ายในอุปมาพิสูจน์ให้เห็นถึงความจริงใจของเธอ
การที่พระเจ้าทรงตอบคำอธิฐานภาวนาของเรา ขึ้นอยู่กับความปรารถนาแรงกล้าของเรา
ประการที่สอง เราต้องทำส่วนของเราให้ดีที่สุด พระเจ้าไม่ช่วยคนที่ไม่ช่วยตัวเอง
เช่น หากเราต้องการผ่านการสอบ คำอธิฐานภาวนาอย่างเดียวไม่พอ
เราต้องเตรียมตัวสอบอย่างดีด้วย หรือหากเราต้องการหายจากโรคภัยไข้เจ็บ
ต้องร่วมมือกับหมอ กินยาและปฏิบัติตนตามคำสั่งหมอย่างเคร่งครัด
ประการที่สาม เราต้องขอบคุณและแสวงหาพระประสงค์ของพระเจ้า คำอธิฐานภาวนาที่ดีที่สุดยาวเพียงสองพยางค์คือคำว่า “ขอบคุณ” มิใช่การพูดจายืดยาว หรือการขอสิ่งต่าง ๆ จากพระเจ้า
แต่เป็นการขอบคุณและแสวงหาพระประสงค์ของพระเจ้า เราต้องอธิฐานภาวนาอย่างพระเยซูเจ้าในสวนเกทเสมนี “ขอให้เป็นไปตามพระประสงค์ของพระองค์เถิด” (มธ 26:42)
บทสรุป
พี่น้องที่รัก พระเยซูเจ้าทรงสอนเราว่า จำเป็นต้องอธิฐานภาวนาอยู่เสมอโดยไม่ท้อถอย
ไม่ว่าในเรื่องใดมนุษย์สามารถบรรลุเป้าหมายได้ด้วยความเพียรพยายามเท่านั้น
ดังคำกล่าวที่ว่า “ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น” อีกทั้งยังให้บทเรียนสำคัญสำหรับเราว่า
เราสามารถเข้าถึงพระบิดาเจ้า ผู้พร้อมประทานสิ่งดีงามแก่เราเกินกว่าที่เราวอนขอเสียอีก
การอธิฐานภาวนาเป็นการยกจิตใจขึ้นหาพระเจ้า
ดำรงตนในความรักต่อพระองค์ และเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์อย่างใกล้ชิด การอธิฐานภาวนามีความหมายและปรากฏเป็นจริง
เมื่อเราได้พยายามออกแรงทำส่วนของเราให้ดีที่สุด ศิษย์พระคริสต์ต้องอธิฐานภาวนาอยู่เสมอโดยไม่ท้อถอยหรือสิ้นหวัง
เพื่อแสวงหาและทำตามพระประสงค์ของพระเจ้า “การอธิษฐานภาวนาคือน้ำมันทำให้ตะเกียงแห่งความเชื่อของเราลุกโชนอยู่เสมอ” (นักบุญเทเรซาแห่งกัลกัตตา)
คุณพ่อขวัญ ถิ่นวัลย์
khuanthinwan@gmail.com
สักการสถานพระมารดาแห่งมรณสักขี
สองคอน
18 ตุลาคม 2019
ภาพ : สุสานศักดิ์สิทธิ์, สักการสถานสอนคอน, หว้านใหญ่, มุกดาหาร; 2019-10-18
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น