วันเสาร์ที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

เมื่อถูกปฎิเสธและไม่ได้รับการยอมรับ


เมื่อถูกปฎิเสธและไม่ได้รับการยอมรับ
อาทิตย์
สัปดาห์ที่ 4 เทศกาลธรรมดา
ปี C
ยรม 1:4-5, 17, 18-19
1 คร 12:31-13:13
ลก 4:21-30
บทนำ
เล่ากันว่า พระสังฆราชพื้นเมืององค์แรกของประเทศไนจีเรีย ได้เดินทางกลับบ้านเกิดเพื่อรับการต้อนรับจากประชาชน ภายหลังได้รับการอภิเษกเป็นพระสังฆราช เวลานั้นชาวไนจีเรียยังมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับความเชื่อคริสตชนและอำนาจของพระสังฆราช พวกเขาได้มารวมตัวกันต้อนรับพระสังฆราชใหม่อย่างยิ่งใหญ่
ในการกล่าวต้อนรับประชาชนได้แสดงความชื่นชมยินดี ที่คนหนึ่งในบรรดาลูกหลานของพวกเขาได้รับตำแหน่งสูง สามารถติดต่อกับพระเจ้าได้โดยตรง (มีอำนาจในการต่อรองกับพระเจ้าได้) พวกเขาสัญญากับพระสังฆราชใหม่ว่าพวกเขาจะถือปฏิบัติตามคำสอนของศาสนาตลอดไป หากพระสังฆราชใช้อำนาจยกเลิกบทบัญญัติข้อหนึ่งในสิบประการสำหรับพวกเขา
พระสังฆราชหนุ่มได้กล่าวตัดบทว่า “บัญญัติสิบประการเป็นบัญญัติของพระเจ้า ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้” ผู้มาร่วมต้อนรับต่างรู้สึกผิดหวังและแสดงออกอย่างเย็นชากับพระสังฆราชของตน จนพระสังฆราชต้องรีบเดินทางออกจากบ้านเกิดของตน พระวรสารวันนี้เราได้ยินประสบการณ์ในลักษณะเดียวกันของพระเยซูเจ้า กับชาวเมืองนาซาเร็ธที่ปฏิเสธและไม่ยอมรับพระองค์
1.       เมื่อถูกปฏิเสธและไม่ได้รับการยอมรับ
พระวรสารวันนี้กล่าวถึงเรื่องพระเยซูเจ้ากับสถานการณ์ตึงเครียด ในศาลาธรรมเมืองนาซาเร็ธสถานที่ซึ่งพระองค์เคยเจริญวัย ชาวนาซาเร็ธไม่ต้อนรับพระองค์และปฏิเสธที่จะฟังพระองค์ เพราะอคติและจิตใจคับแคบของพวกเขาที่คิดว่าพระองค์เป็นลูกของช่างไม้ยากจนชื่อโยเซฟ และมีแม่ชื่อมารีย์หญิงชาวบ้านไม่มีอะไร แล้วพระองค์ได้ปรีชาญาณนี้มาจากไหน พวกเขาอยากให้พระองค์แสดง (อัศจรรย์) ให้พวกเขาได้เห็นว่าพระองค์เป็นพระผู้ไถ่
พระเยซูเจ้าทรงรู้ถึงความต้องการของพวกเขาตรัสว่า ไม่มีประกาศกคนใดได้รับการต้อนรับอย่างดีในบ้านเมืองของตน” (ลก 4:24) นี่คือความจริงทิ่มแทงใจดำพวกเขา พระองค์ทรงอ้างถึงเหตุการณ์การอดอยากครั้งใหญ่สมัยประกาศกเอลียาห์ มีหญิงม่ายมากมายในกาลิลีแต่มีเพียงหญิงม่ายที่เมืองเศราฟัทได้รับการช่วยเหลือ และสมัยประกาศกเอลีชามีคนโรคเรื้อนมากมายในอิสราแอล แต่มีเพียงนาอามานชาวซีเรียได้รับการรักษา ถือเป็นการยกย่องคุณธรรมของคนต่างศาสนาเหนือกว่าชาวยิว ทำให้พวกเขาโกรธมากและหาช่องทางจะฆ่าพระองค์
พระเยซูเจ้าทรงแสดงให้ชาวนาซาเร็ธเห็นว่าพวกเขาไม่ต่างจากบรรพบุรุษที่ไม่เชื่อ จึงไม่มีอัศจรรย์ใด ๆ เกิดขึ้น ตรงข้ามทรงทำอัศจรรย์กับคนต่างศาสนาที่เชื่อในพระองค์ พระเยซูเจ้าเป็นเหมือนประกาศกในอดีต กล้าพูดความจริงกับคนไม่ยอมรับและไม่ต้องการฟังพระองค์ และทรงยกย่องความเชื่อของคนต่างศาสนา การปฏิเสธของชาวนาซาเร็ธเป็นภาพล่วงหน้าของการต่อต้านและการปฏิเสธ ซึ่งทรงได้รับในเวลาต่อมาโดยเฉพาะอย่างยิ่งบนไม้กางเขน
2.       บทเรียนสำหรับเรา
พระวาจาของพระเจ้าวันนี้ได้ให้บทเรียนสำคัญสำหรับเราหลายประการ ในการนำไปปฏิบัติในชีวิตประจำวัน
ประการแรก เราต้องกล้าเผชิญการถูกปฏิเสธและไม่ได้รับการยอมรับ นี่คือความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันของเรา แต่ละคนมีประสบการณ์ความเจ็บปวดจากการถูกปฏิเสธ การทรยศหักหลัง การอย่าร้าง การไม่เชื่อฟัง การถูกทอดทิ้ง ฯลฯ ให้เรามองดูในอีกด้านหนึ่ง เราอาจไม่ได้เป็นตัวแทนที่ดีของพระเจ้า หรือบ่อยครั้งเราอาจมองไม่เห็นพระเจ้าในบุคคลอื่น เพราะอคติและความใจแคบของเรา ทำให้มองไม่เห็นด้านดีของผู้อื่นหรือสิ่งอื่น
ประการที่สอง เราต้องดำเนินชีวิตในความรัก เราต้องไม่ทำตัวเหมือนชาวเมืองนาซาเร็ธที่เต็มไปด้วยอคติ จิตใจคับแคบและปฏิเสธพระเยซูเจ้า แต่ต้องเป็นพยานถึงพระเยซูเจ้าทั้งด้วยคำพูดและการกระทำ ในความรักที่อดทน มีเมตตา ไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่จองหอง ไม่หยาบคาย ไม่เห็นแก่ตัว ไม่ฉุนเฉียว ไม่จดจำความผิด ตามที่นักบุญเปาโลพูดถึง  เพื่อสามารถมองเห็นการประทับอยู่ของพระเยซูเจ้าในบุคคลต่าง ๆ  ที่เราพบ
ประการที่สาม เราต้องทำหน้าที่ประกาศก ประกาศกมิใช่คนทำนายอนาคต แต่เป็นผู้พูดในนามของพระเจ้า ผ่านทางศีลล้างบาปเราได้รับการเรียกให้เป็นประกาศกเหมือนพระเยซูเจ้า ที่ต้องพูดและดำเนินชีวิตในความจริงของพระเจ้า กล้ายืนยันถึงความจริงและความถูกต้องโดยไม่เกรงกลัวสิ่งใด และพร้อมต่อสู้กับความอยุติธรรม การทุจริตคอร์รัปชัน การค้ามนุษย์และสิ่งเสพติดที่ครอบงำสังคมและตัวเราในปัจจุบัน
บทสรุป
พี่น้องที่รัก พระวรสารวันนี้สอนเราให้ปฏิบัติตนต่อผู้อื่นด้วยใจกว้าง บนพื้นฐานแห่งความรักที่อดทน มีเมตตา ไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่จดจำความผิด มองเห็นความดีของกันและกันโดยปราศจากอคติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสังคมไทยปัจจุบันที่มีความแตกแยกรุนแรง มีการแบ่งสีเลือกข้าง ความรักของพระเจ้าไม่เคยแบ่งแยกหรือเลือกที่รักมักที่ชัง ไม่มียิวหรือกรีก ไม่มีทาสหรือไท แต่ทุกคนเป็นพี่น้องกัน เป็นบุตรของพระบิดาเจ้าองค์เดียวกัน
ความรักเป็นคุณธรรมที่ครบครันและสำคัญที่สุด นักบุญฟรังซิส เดอ ซาลส์ กล่าวว่า “ทุกอย่างที่ท่านทำสำเร็จได้ในความรัก” ความรักเป็นเครื่องวัดคุณภาพชีวิตคริสตชนที่ค้ำจุนเราให้มีความกล้าหาญ อดทนและพร้อมเผชิญกับการท้าทายในลักษณะต่าง ๆ ศิษย์พระคริสต์ต้องดำเนินชีวิตในความรักต่อกัน และเป็นพยานถึงความรักของพระเจ้าในชีวิตประจำวันของตน “ถ้าท่านมีความรักต่อกัน ทุกคนจะรู้ว่าท่านเป็นศิษย์ของเรา” (ยน 13:35)
คุณพ่อขวัญ ถิ่นวัลย์
khuanthinwan@gmail.com
วัดแม่พระแจกจ่ายพระหรรษทาน ดอนม่วย, สกลนคร
1 กุมภาพันธ์ 2019
ที่มาภาพ: http://sundaygospeltrivia.blogspot.com/2016/01/luke-421-30-4th-sunday-in-ordinary-time.html

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น