วันเสาร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

สัมผัสแห่งรัก


สัมผัสแห่งรัก
สัปดาห์ที่ 6
เทศกาลธรรมดา
ปี B
ลนต 13:1-2, 45-46
1 คร 10:23-11:1
มก 1:40-45
บทนำ
มาร์ตินเป็นนายทหารหนุ่มในกองทัพโรมัน วันหนึ่งขณะกำลังขี่ม้าไปตามถนน คนโรคเรื้อนคนหนึ่งได้เรียกเขาเพื่อขอเศษเงิน กลิ่นเน่าเหม็นจากบาดแผลของโรคเรื้อน ทำให้มาร์ตินรู้สึกสะอิดสะเอียนและกำลังจะขวบม้าหนีไปตามสัญชาตญาณ แต่มีบางสิ่งจากภายในทำให้เขาหยุดและเดินตรงไปที่ชายขอทานนั้น สิ่งที่มาร์ตินมีคือชุดคลุมของทหาร เขาได้ตัดชุดคลุมนั้นเป็นสองส่วน ให้ส่วนหนึ่งแก่คนโรคเรื้อนและคลุมตัวด้วยส่วนที่เหลือ
วันนั้นเป็นวันที่อากาศหนาวมาก ผู้คนที่เห็นเหตุการณ์ต่างคิดว่าเป็นการกระทำที่โง่เขลา แต่บางคนได้เห็นแบบอย่างการเป็นคริสตชนที่ดีของนายทหารหนุ่มโรมัน คืนนั้นมาร์ตินฝันว่าเขาเห็นพระเยซูเจ้าใส่ชุดคลุมครึ่งส่วนนั้น และตรัสกับบรรดาทูตสวรรค์ที่รายล้อมบัลลังก์ของพระองค์ว่า “มาร์ตินได้คลุมตัวเราด้วยชุดคลุมของเขา” เหตุการณ์วันนั้นได้กลายเป็นจุดเปลี่ยนในชีวิตของนายทหารหนุ่มคนนั้น ผู้กลายมาเป็น นักบุญมาร์ตินแห่งตูร์
ท่าทีของมาร์ตินในตอนแรกเป็นสิ่งที่ผู้คนทั่วไปแสดงออก เนื่องจากโรคเรื้อนเป็นโรคติดต่อร้ายแรงที่สุดขณะนั้น สามารถติดต่อและทำลายบุคคล ทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจ สังคมและศาสนา:  
ด้านร่างกาย โรคเรื้อนสามารถกัดกินส่วนต่างๆ ของร่างกาย เช่น นิ้วมือ นิ้วเท้า ตา หู จมูกที่ละเล็กละน้อย จนทำให้คนนั้นเป็นเหมือนกับท่อนเนื้อเคลื่อนที่ได้
ด้านสังคม คนโรคเรื้อนถูกตัดขาดจากสังคม ถูกกักบริเวณให้อยู่ในพื้นที่เฉพาะ เช่น ถ้ำหรือหุบเขา ไม่สามรถติดต่อกับญาติพี่น้องและเพื่อนฝูงได้
ด้านศาสนา โรคเรื้อนเป็นเครื่องหมายบ่งบอกว่าเป็นคนบาปที่พระเจ้าทรงลงโทษ การเป็นคนไม่บริสุทธิ์ ทำให้ไม่สามารถร่วมพิธีทางศาสนาในที่สาธารณะได้ ต้องคลุมตัวปิดหน้าและร้องว่า “มีมลทิน มีมลทิน” ขณะที่เดินไปตามถนน
1.        สัมผัสแห่งรัก
พระวรสารวันนี้ ได้ให้ภาพที่ตรงข้ามกับสิ่งที่ชาวยิวเชื่อและปฏิบัติต่อคนโรคเรื้อน “โรคเรื้อนเป็นการลงโทษของพระเจ้าไหม” หากการปฏิบัติต่อคนโรคเรื้อนตามที่หนังสือเลวีนิติบรรยายเป็นพระประสงค์ของพระเจ้า พระเยซูเจ้าซึ่งเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงเจิมและส่งมา คงไม่รักษาชายโรคเรื้อนคนนั้น ในอีกด้านหนึ่ง โรคเรื้อนเป็นโรคชนิดหนึ่งเหมือนโรคอื่นทั้งหลายที่พระเยซูเจ้าสามารถรักษาให้หายได้
ชายโรคเรื้อนต้องการพิสูจน์ความจริงนี้ เขาได้ละเมิดกฎของโมเสสที่บอกให้อยู่ห่างจากผู้คน เขามาเฝ้าพระเยซูเจ้าและคุกเข่าลงอ้อนวอนว่า “ถ้าพระองค์พอพระทัย พระองค์ย่อมสามารถรักษาข้าพเจ้าให้หายได้” (มก 1:40) พระเยซูเจ้าทรงสงสารตื้นตันพระทัย ยื่นพระหัตถ์สัมผัสเขาและตรัสว่า “เราพอใจ จงหายเถิด (มก 1:41) เป็นสัมผัสแห่งรักที่พิสูจน์ให้เห็นว่าโรคเรื้อนมิใช่การลงโทษของพระเจ้า
พระเยซูเจ้าได้แสดงให้เห็นว่าไม่มีโรคชนิดไหนทำให้มนุษย์เป็นมลทิน ที่ต้องถูกตัดขาดไม่ให้ร่วมพิธีทางศาสนา ทรงปลอบใจคนโรคเรื้อนด้วยการสัมผัสเขา ตามกฎของโมเสส ใครที่สัมผัสคนโรคเรื้อนต้องเป็นมลทินจนถึงเย็น ทรงแสดงให้เห็นว่าความรักและพระเมตตาของพระเจ้ายิ่งใหญ่เหนือกฎเกณฑ์ใดๆ และมีต่อมนุษย์ทุกคนโดยไม่ยกเว้น พระองค์เสด็จมาเพื่อตามหาแกะที่ผลัดฝูง ทรงกางพระหัตถ์ต้อนรับทุกคนด้วยความรักหาที่สุดมิได้
2.        บทเรียนสำหรับเรา
พระวาจาของพระเจ้าวันนี้ได้ให้บทเรียนสำคัญสำหรับเราหลายประการ ในการนำไปปฏิบัติในชีวิต
ประการแรก เราต้องเห็นคุณค่าของมนุษย์ทุกคน พระเยซูเจ้าทรงสอนเราและผู้ติดตามพระองค์ให้สวมกอดและเห็นคุณค่าของมนุษย์ด้วยกัน โดยเฉพาะคนที่ต่ำต้อยด้อยค่าในสายตาของเรา คนที่ถูกทอดทิ้งหรือสังคมรังเกียจ เช่น ผู้ติดเชื่อ HIV ผู้ป่วยโรคเอดส์ ทุกคนเป็นลูกของพระเจ้า ที่ควรได้รับการดูแลเอาใจใส่ เยียวยารักษา และช่วยเหลือเท่าเสมอกัน
ประการที่สอง เราต้องมีใจเมตตาและพร้อมช่วยเหลือทุกคน  พระเยซูเจ้าทรงสงสารตื้นตันพระทัย ด้วยการยื่นมือสัมผัสและรักษาคนโรคเรื้อน พระองค์ไม่ได้รักษาด้วยคำพูด แต่ด้วยการกระทำ เราต้องทำบางสิ่งบางอย่างในการช่วยคนเดือดร้อนและต้องการความช่วยเหลือ ไม่มีใครถูกแบ่งแยกหรือตัดขาดจากหมู่คณะ พระองค์ทรงต้องการเราเป็นเครื่องมือในการสัมผัสแห่งรัก และนำทุกคนให้หันมาหาพระเจ้า
 ประการที่สาม เราต้องอธิษฐานภาวนาด้วยใจสุภาพ คนโรคเรื้อนมีท่าทีสุภาพ เข้ามาเฝ้าและคุกเข่าลงอ้อนวอนพระเยซูเจ้า เราต้องมีท่าทีเช่นเดียวกัน เพื่อขอให้พระองค์รักษาโรคเรื้อนฝ่ายวิญญาณที่แปดเปื้อนด้วยบาปให้สะอาด เลียนแบบนักบุญเปาโลด้วยการยึดเอาพระคริสตเจ้าเป็นแบบอย่าง มองทุกอย่างในแง่ดีและทำทุกอย่างเพื่อพระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์ “เมื่อท่านจะกินจะดื่มหรือทำอะไรก็ตาม จงทำเพื่อถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าเถิด” (1 คร 10:31)
บทสรุป
พี่น้องที่รัก พระเยซูเจ้าทรงรักษาคนโรคเรื้อนและนำเขากลับมาสู่หมู่คณะอีกครั้ง ด้วยการยื่นมือสัมผัสและรักษาเขา เป็นสัมผัสแห่งรักโดยไม่รู้สึกรังเกียจ การกระทำของพระองค์ทำให้เราตระหนักว่า พระเมตตาและความรักของพระเจ้ายิ่งใหญ่และอยู่เหนือกฎเกณฑ์ใดๆ โดยเฉพาะคนที่ถูกทอดทิ้งและถูกตัดขาดจากสังคม เราต้องพร้อมยื่นมือสัมผัสด้วยรัก ให้ความช่วยเหลือด้วยเต็มใจ และเป็นหนึ่งเดียวกับทุกคนโดยไม่แบ่งแยก
ปัจจุบันโรคที่แพร่ละบาดไม่ใช่โรคเรื้อน แต่เป็นโรคแห่งความเกียดชังและการแบ่งแยกแตกต่าง ศิษย์พระคริสต์ได้รับการเรียกให้เจริญชีวิตความเชื่อในหมู่คณะ เป็นเครื่องหมายแห่งพระทัยเมตตาและความรักของพระเจ้า ต้องไม่มีใครถูกตัดขาดจากหมู่คณะหรือถูกทอดทิ้งโดยที่เราไม่ได้ยื่นมือช่วยเหลือ ทรงประทับท่ามกลางเราและทรงประสงค์ให้แต่ละคนกระทำพันธกิจของพระองค์ ในการสัมผัสและนำทุกคนให้มาเป็นหนึ่งเดียวกันในพระองค์
คุณพ่อขวัญ ถิ่นวัลย์
khuanthinwan@gmail.com
San Tomasso Ashram, วัดแม่พระแห่งภูเขาการ์แมล ป่าพนาวัลย์
9 กุมภาพันธ์ 2018
ภาพต้นฉบับ: คุณพ่อสุธี เจริญกุล, สังฆมณฑลเชียงใหม่

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น