บทเรียนจากชาวสะมาเรียใจดี
อาทิตย์
สัปดาห์ที่ 15 เทศกาลธรรมดา
ปี C
|
ฉธบ 30:10-14
คส 1:15-20
ลก10:25-37
|
บทนำ
บ๊อบ บัตเลอร์ ได้สูญเสียขาทั้งสองข้างเพราะเหยียบกับระเบิดในสงครามเวียดนามปี 1965 และเดินทางกลับบ้านเยี่ยงวีรบุรุษ
หลังจากนั้นยี่สิบปีเขาได้พิสูจน์ความเป็นวีรบุรุษอีกครั้ง วันหนึ่งขณะกำลังทำงานในโรงรถของตนที่เมืองเล็ก
ๆ แห่งหนึ่งในรัฐอลิโซนา เขาได้ยินเสียงกรีดร้องจากบ้านที่อยู่ใกล้ เขารีบรุดไปยังบ้านหลังนั้นด้วยรถเข็นคู่ชีพ
เมื่อไปถึงสระน้ำ เขาพบเด็กหญิงวัยสามขวบคนหนึ่งกำลังจมน้ำ เธอไม่มีแขนทั้งสองข้าง
คงพลัดตกลงไป แม่ของเธอยืนกรีดร้องปิ่มว่าจะขาดใจ
บัตเลอร์กระโจนลงไปในสระนำเด็กหญิงนั้นขึ้นมา หน้าเธอซีด
ชีพจรไม่เต้นและไม่มีลมหายใจแล้ว เขารีบทำการผายปอดช่วยชีวิต ขณะที่แม่เด็กโทรศัพท์ไปยังหน่วยฉุกเฉินแต่ไม่มีใครอยู่เลย
เธอรู้สึกสิ้นหวัง ซบไหล่เขาและสะอื้นไห้ เขาบอกเธอว่า “อย่ากังวลไปเลย ผมได้อุ้มเธอขึ้นมาจากน้ำ
เป็นแขนให้เธอ ไม่เป็นไรแล้ว ตอนนี้ผมกำลังเป็นปอดให้เธอ เราต้องทำได้” ไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น เด็กหญิงสำลัก รู้สึกตัวและร้องไห้
แม่ของเด็กหญิงสวมกอดเขาด้วยความยินดี
แม่ของเด็กถามบัตเลอร์ว่า ทราบได้อย่างไรว่า “จะไม่เป็นไร” เขาบอกเธอว่า ความจริงเขาไม่รู้
แต่เมื่อขาทั้งสองข้างของเขาขาดเพราะแรงระเบิด
ไม่มีใครอยู่บริเวณนั้นนอกจากเด็กหญิงชาวเวียดนามคนหนึ่ง
เธอพยายามลากเขาเข้าไปในหมู่บ้านและกระซิบที่หูว่า “ไม่เป็นไรแล้ว
คุณยังไม่ตาย หนูจะเป็นขาให้คุณ” คำพูดนี้ทำให้เขามีความหวังและพยายามทำเช่นเดียวกันกับเด็กหญิงคนนั้น
มีบางครั้งในชีวิตที่ไม่สามารถยืนโดยลำพัง เราต้องการคนอย่างชาวสะมาเรียใจดี ต้องการใครสักคนเป็นแขน
เป็นขา และเป็นเพื่อนเรา
1. บทเรียนจากชาวสะมาเรียใจดี
นักกฎหมายได้ถามคำถามพื้นฐานทางศาสนาพระเยซูเจ้าว่า “ข้าพเจ้าจะต้องทำสิ่งใดเพื่อจะได้ชีวิตนิรันดร” (ลก 10:25) คำตอบของพระเยซูเจ้าได้นำความสนใจของนักกฎหมายไปที่พระคัมภีร์ “รักพระเจ้าและแสดงออกในการรักเพื่อนมนุษย์” (เทียบ ลก 10:17) สำหรับนักกฎหมายคำว่า “เพื่อนมนุษย์” หมายถึงนักกฎหมาย หรือชาวฟาริสีด้วยกัน
มิใช่ชาวสะมาเรีย หรือคนต่างศาสนา เขาขอให้พระองค์ขยายความเพื่อนมนุษย์ และพระองค์ตรัสอุปมาเรื่อง “ชาวสะมาเรียใจดี” ให้เขาฟัง
ในจำนวนอุปมาของพระเยซูเจ้า เรื่องชาวสะมาเรียใจดีเป็นอุปมาที่งดงามและเกี่ยวข้องกับภาคปฏิบัติมากที่สุด ถือเป็นบทสรุปคำสอนในภาคปฏิบัติของพระเยซูเจ้า และได้ให้คำตอบปัญหาของนักกฎหมาย 2 ข้อด้วยกัน
1) “ใครเป็นเพื่อนมนุษย์ของข้าพเจ้า” คำตอบของอุปมาคือ “ใครก็ได้ที่ต้องการความช่วยเหลือ” สำหรับชาวยิวถือเป็นสิ่งที่สะดุดอย่างมาก
เพราะพวกเขาจะช่วยเฉพาะชาวยิวด้วยกันเท่านั้น เช่น ถ้าในวันสะบาโตเกิดกำแพงล้มทับคน
เขาจะขุดรากพอให้ดูรู้ว่า คนเจ็บเป็นยิว หรือต่างชาติ ถ้าเป็นยิวจะได้รับการช่วยชีวิต
แต่ถ้าเป็นคนต่างชาติจะถูกทิ้งให้ทนทุกข์ต่อไป
2) “ข้าพเจ้ามีหน้าที่ปฏิบัติต่อเพื่อนมนุษย์ที่เดือดร้อนอย่างไร” คำตอบของอุปมาคือ “จงแสดงความสงสารในรูปของการช่วยเหลือ” คงไม่ต้องสงสัยว่าทั้งสมณะและชาวเลวีมีความสงสารคนบาดเจ็บเจียนตาย
แต่เขาไม่ได้กระทำอะไรที่แสดงความสงสารออกมาในการช่วยเหลือที่เป็นรูปธรรมเลย
2. บทเรียนสำหรับเรา
อุปมาเรื่องชาวสะมาเรียใจดีได้ให้บทเรียนสำคัญสำหรับเราหลายประการ
ในการนำไปปฏิบัติในชีวิตประจำวัน
ประการแรก เรามีหน้าที่ต้องช่วยเหลือผู้อื่น แม้ความผิดพลาดเกิดจากตัวเขาเอง เราเห็นชัดว่า คนบาดเจ็บเป็นคนประมาท
เดินทางโดยลำพังในเส้นทางอันตราย เส้นทางจากเยรูซาเล็มสู่เยรีโคคือเส้นทางสู่บ้าน
วัด โรงเรียน และที่ทำงาน ซึ่งเราพบคนถูกโจรปล้น ถูกกดขี่และต้องการความช่วยเหลือเสมอ
บางที่อาจเป็นบ้านของเราเองที่มีคนกำลัง “บาดเจ็บ” เพราะคำพูดไม่สร้างสรรค์ ดุด่า เฉยเมย เย็นชา หรือการแสดงอารมณ์ความรู้สึกเกินขอบเขตของเรา เหนือสิ่งอื่นใด พระเจ้าทรงประสงค์ให้เราแสดงความรักต่อผู้อื่น
ประการที่สอง การช่วยเหลือคนเดือดร้อนเป็นหลักปฏิบัติสำคัญลำดับแรก เราเห็นสมณะมีใจจดจ่อกับการปฏิบัติหน้าที่ตามจารีตพิธีในพระวิหาร
ถือปฏิบัติตามกฎเกณฑ์เรื่องการเป็นมลทินอย่างเคร่งครัด
จนลืมความต้องการของเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เราได้รับการเรียกให้เป็นคนใจกว้าง ใจดีมีเมตตากรุณาต่อผู้กำลังเดือดร้อน
รอยยิ้ม คำทักทาย คำพูดให้กำลังใจและคำขอบคุณที่จริงใจ
สามารถก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในใจคนเหล่านี้ได้
ประการที่สาม เราต้องช่วยเหลือคนเดือนร้อนแม้ต้องเสี่ยง ชาวเลวีไม่ยอมเสี่ยงด้วยเกรงว่า ตนเองจะติดร่างแหไปด้วย เหตุผลที่ไม่กล้าเสี่ยงเพราะไม่อยากเดือดร้อน
คิดคำนวณดูแล้วไม่คุ้ม ทำให้เสียงาน เสียเวลา และเสียเงิน แต่พระเยซูเจ้าสอนเราว่า “อย่าชั่งน้ำหนัก อย่าคำนวณ แต่จงยอมแพ้ต่อความรัก
และถือทุกคนเป็นเพื่อนมนุษย์ของเรา” เพราะทุกคนต่างเป็นฉายาของพระเจ้า และได้รับการไถ่ด้วยพระโลหิตของพระองค์เหมือนกัน
ประการสุดท้าย เราต้องเป็นชาวสะมาเรียใจดี ทำในสิ่งที่คนเคร่งศาสนา ชื่อเสียงดี มีเกียรติภูมิไม่ทำกัน
เขาเป็นคนธรรมดาไม่มีชื่อ เป็นคนต่างถิ่น เดินทางตามลำพัง ไม่มีทรัพย์สินมาก แต่ “ตาของเขาช่างสังเกต
และหัวใจของเขาเต้นในจังหวะเดียวกันกับหัวใจของพระเจ้า” เขาเป็นคนแปลกหน้า แต่ได้ช่วยเหลือคนบาดเจ็บ และทำตัวเป็นผู้ดูแลดุจพี่น้อง
เขาตีความบัญญัติประการที่ 5 อย่าฆ่าคนว่า หมายถึง “ท่านต้องทำสิ่งที่ทำได้เพื่อให้ผู้อื่นมีชีวิตอยู่ต่อไป”
บทสรุป
พี่น้องที่รัก คริสตชนต้องดำเนินชีวิตแต่ละวันเป็นชาวสะมาเรียใจดี
มีดวงตาและหูที่เปิดกว้าง โดยมีเข็มทิศแห่งความเมตตาเป็นเครื่องนำทาง
ยอมให้หัวใจของเราเต้นในจังหวะเดียวกันกับหัวใจของพระเจ้า เพื่อตัดสินได้ว่า มีสิ่งไหนที่เราสามารถทำได้ในการช่วยคน “เกือบสิ้นชีวิต” ที่พบแต่ละวันให้มีชีวิตอยู่ต่อไป ทั้งนี้ เพื่อเห็นแก่ความรักที่เรามีต่อพระเจ้าและเพื่อนมนุษย์
ขอให้คำสั่งของพระเยซูเจ้าที่ว่า “ท่านจงไปและทำเช่นเดียวกันเถิด” (ลก 10:37) ปลุกเร้าหัวใจเราให้ทำเช่นเดียวกัน
การเป็นคริสตชนไม่เพียงรู้ถึงความรักของพระเจ้าและเพื่อนมนุษย์ แต่ต้องแสดงความรักออกมาในภาคปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม
ศิษย์พระคริสต์ต้องใส่ใจต่อพี่น้องที่เดือดร้อน และต้องการความช่วยเหลือ ไม่เดินเลยผ่านไป หรือทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อน
แต่ต้องกล้าเสี่ยง และลงมือช่วยเหลือโดยไม่ลังเล
คุณพ่อขวัญ ถิ่นวัลย์
khuanthinwan@gmail.com
บ้านถิ่นวัลย์,
72
หมู่
11 ต.นาโพธิ์, กุสุมาลย์
สกลนคร
13 กรกฎาคม 2018
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น