วันพุธที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2554

แสวงบุญเวียดนาม 3

4. ฮานอย นครมังกรเหิน


เมื่อคณะของเราเดินทางใกล้ถึงฮานอยจะเห็นถนนที่สร้างใหม่กว้างขวาง รถยนต์สามารถวิ่งได้สะดวกขึ้น แต่ความเร็วยังคงที่และต้องระวังมอเตอร์ไซด์ พาหนะยอดนิยมของชาวเวียดนามมากยิ่งกว่าเดิม เพราะจำนวนมอเตอร์ไซด์ที่วิ่งกันขวักไขว่ไปมาเยอะมาก ส่วนถนนในกรุงฮานอยค่อนข้างแคบเนื่องจากไม่สามารถขยายได้ สองข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้มะฮอกนีอายุกว่าร้อยปีที่ปลูกสมัยฝรั่งเศสยึดครอง รัฐบาลเวียดนามยังคงอนุรักษ์ไว้ ไกด์นำทางบอกว่ากรุงฮานอยเป็นเมืองที่มีต้นไม้มากที่สุด ทำให้ดูร่มรื่น ขัดแย้งกับการจราจรที่จอแจวุ่นวาย อีกทั้งยังบอกด้วยว่า ที่ดินในฮานอยแพงมาก ที่แพงเพราะชาวฮานอยไม่ขายนั่นเอง
ถนนที่มุ่งสู่กรุงฮานอย เมืองหลวงของประเทศเวียดนาม

กรุงฮานอย ตั้งอยู่บนลุ่มแม่น้ำแดง ปฐมกษัตริย์ราชวงศ์ลี้ได้สถาปนาขึ้นเป็นเมืองหลวงในปี ค.ศ. 1010 (พ.ศ. 1553) ชาวฮานอยเพิ่งฉลองครบรอบ 1,000 ปีไปเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา คำว่า “ฮานอย” (Hanoi) แปลว่า “มังกรเหิน” ปี ค.ศ. 1702 (พ.ศ. 2245) กษัตริย์ราชวงศ์เหงียนได้ย้ายเมือหลวงไปอยู่เมืองเว้ เมื่อตกเป็นส่วนหนึ่งของอินโดจีนฝรั่งเศสในปี ค.ศ. 1893 (พ.ศ. 2430) ฮานอยได้กลับมาเป็นเมืองหลวงอย่างเป็นทางการอีกครั้ง ภายหลังได้รับเอกราชในปี ค.ศ. 1945 (พ.ศ. 2489) เวียดนามแยกออกเป็นสองประเทศเหนือ-ใต้ ฮานอยเป็นเมืองหลวงของเวียดนามเหนือ ส่วนไซ่ง่อนเป็นเมืองหลวงของเวียดนามใต้ เมื่อรวมประเทศสำเร็จในปี ค.ศ. 1975 (พ.ศ. 2518) ฮานอยจึงเป็นเมืองหลวงหนึ่งเดียวของเวียดนาม ส่วนไซ่ง่อนเปลี่ยนชื่อเป็น “นครโฮจิมินท์”
ป้ายฉลองครบรอบ 1,000 ปีของกรุงฮานอย หน้าสุสานโฮจิมินท์

การจราจรในฮานอยเรียกได้ว่าน่าปวดเศียรเวียนเกล้า เพราะการขับรถสวิงสวายไม่เป็นระเบียบ เสียงแตรดังตลอดเวลา รถแต่ละคันพยายามเบียดแทรกกันจนน่าหวาดเสียว การข้ามถนนในฮานอยจึงเป็นเรื่องที่นักท่องเที่ยวประสบปัญหา แต่สำหรับชาวเวียดนามนี่คือวิถีชีวิตที่คุ้นเคย ไกด์บอกว่าวิธีข้ามถนนที่เวียดนามต้องข้ามแบบวัวคือเดินดุ่มๆ ข้ามไปแล้วรถจะหลบเราเอง ไม่ต้องหันรีหันขวาง เพราะคนขับจะไม่รู้ว่าต้องหลบไปทางไหน แต่หากรถไม่หลบต้องข้ามแบบไทยแลนด์คือวิ่งเลย (“แล่น” ภาษาอีสานแปลว่า “วิ่ง”) แต่ถ้าจะให้ดีและปลอดภัยคือข้ามพร้อมกับคนเวียดนาม หากต้องข้ามแบบเดี่ยวๆ ให้มองหน้าคนขับรถเอาไว้ ถ้าเขาเห็นเราแปลว่าจะไม่ชน
การจราจรที่วุ่นวายและขบวนมอเตอร์ไซด์ที่น่าปวดเศียรเวียนเกล้า

5. อาสนวิหารนักบุญยอแซฟ

เมื่อมาถึงฮานอยคณะของเราได้ไปที่อาสนวิหารนักบุญยอแซฟ ของอัครสังฆมณฑลฮานอย ซึ่งมองจากภายนอกแลดูเก่าแก่แต่ภายในงดงามมากโดยเฉพาะบริเวณพระแท่น ตรงมุมด้านซ้ายของอาสนวิหารมีหลุมศพนักบุญอันดรูว์ ดุง ลัก พระสงฆ์มรณสักขีชาวเวียดนาม ซึ่งฉลองวันที่ 23 พฤศจิกายน มองเห็นพระธาตุของท่านคือหัวกะโหลกวางไว้บนแท่นแก้วเหนือหลุมศพ คณะของพวกเราได้ถวายมิสซาที่อาสนวิหารแห่งนี้และพบกับพระอัครสังฆราชเปโตร เหงียน วัน โยน (Nguyen van Nhon) ซึ่งเดิมเป็นพระสังฆราชผู้ช่วยของ พระอัครสังฆราชยอแซฟ โง กวาง เกียต (Ngo Quang Kiet) ที่ถูกรัฐบาลเวียดนามบีบให้ลาออกจากตำแหน่งเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม ปีที่ผ่านมา (ค.ศ. 2010) อันเนื่องมาจากการเรียกร้องให้รัฐบาลเวียดนามคืนสถานทูตวาติกันที่ยึดไปแก่พระศาสนจักร และความพยายามที่จะเชิญพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 ให้เสด็จเยือนเวียดนามในปี ค.ศ. 2011
อาสนวิหารนักบุญยอแซฟแห่งฮานอย

อาสนวิหารนักบุญยอแซฟ สร้างเมื่อปี ค.ศ. 1886 (พ.ศ. 2429) ตามแบบนีโกธิก ลักษณะแบบเดียวกันกับอาสนวิหารนอเธรอะดาม (Notre Dame) แห่งกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ตั้งอยู่บนถนนยาจุง ทางทิศเหนือของทะเลสาบว่านเกี้ยม (ทะเลสาบคืนดาบ) ของกรุงฮานอย ถือเป็นวัดที่เก่าแก่ที่สุดในฮานอย และเป็นศูนย์กลางทางความเชื่อของคริสชนที่ฮานอย เสียดายที่การประสานงานคลาดเคลื่อนทำให้คณะของพวกเราพลาดการถวายมิสซากับบรรดาสัตบุรุษและพระอัครสังฆราชแห่งฮานอย

ภายในอาสนวิหารนักบุญยอแซฟ
ความพิเศษของอาสนวิหารแห่งนี้คือที่พบปะสังสรรค์ของบรรดาชาวฮานอย โดยเฉพาะหนุ่มสาวที่ปลีกตัวจากความวุ่นวายในเมืองมาหาความสงบที่นี่ ในบริเวณโดยรอบจึงมีร้านขายกาแฟ ร้านอาหาร และร้านขายของที่ระลึกไว้คอยบริการหนุ่มสาวและนักท่องเที่ยว ที่แวะมานั่งจิบชาและเกล็ดเม็ดแตงโมกันอย่างมีความสุข โดยใช้ที่นั่งเตี้ยๆ ที่ทางร้านจัดไว้คอยบริการ นอกนั้นยังเป็นสถานที่ที่บรรดาศิลปินที่มีชื่อเสียงหรือดารานักแสดงแวะเวียนมาแสดงผลงานของตนให้ผู้คนได้ชมเสมอ
บรรดาหนุ่มสาวที่มานั่งจิบชาตามร้านหน้าอาสนวิหาร
พระยาสามองค์จากนาบัว

ในวันที่พวกเราไปถวายมิสซาพบหนุ่มสาวเยอะมาก พอรู้ว่ามาจากเมืองไทย ภาษาไทยที่พวกเขาร้องทักคณะของพวกเราคือ “เกียรติศักดิ์ (เสนาเมือง)” ชื่อของอดีตนักเตะทีมชาติไทยที่เคยไปค้าแข้งกับกับสโมสรฮองอันยาลาย ซึ่งเป็นขวัญใจของชาวเวียดนามมากกว่าที่เมืองไทยเสียอีก หลังอาหารเย็น พวกเราได้ไปชมการแสดง หุ่นกระบอกน้ำ (Water Puppet Show) ที่แสดงถึงวิถีชีวิตของชาวเวียดนามในอดีต ส่วนใหญ่จะเป็นวิถีชีวิตของกสิกร ชาวไร่ชาวนา คล้ายกับการแสดงหุ่นกระบอกของไทย เพียงแต่หุ่นกระบอกของเวียดนามแสดงในน้ำ และชาวเวียดนามภูมิใจว่ามีเพียงหนึ่งเดียวในโลก

การแสดงหุ่นกระบอกน้ำ
Don Daniele ภาพ/รายงาน
วัดพระคริสตประจักษ์ นาบัว
19 มกราคม 2011

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น