วันเสาร์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2553

พลังของความเชื่อ

วันอาทิตย์ สัปดาห์ที่ 27 เทศกาลธรรมดา ปี C
ฮบก 1:2-3; 2:2-4
2 ทธ 1:6-8, 13-14
ลก 17:5-10

บทนำ

มีนักท่องเที่ยวคนหนึ่งไปเที่ยวภูเขาหิมะตามลำพัง และถือโอกาสขึ้นไปชมพระอาทิตย์ตกที่หน้าผาสูง ซึ่งร่ำลือกันว่าแสงสีทองของดวงอาทิตย์ยามสาดส่องต้องหิมะนั้นสวยงามมาก ด้วยความที่ไม่ระมัดระวังทำให้เขาพลัดตกจากหน้าผา แต่ก่อนที่ร่างของเขาจะร่วงลงสู่พื้นเขาคว้ากิ่งไม้ได้ทันและแขวนอยู่เป็นเวลานาน ท่ามกลางความมืดเขาได้ยินเสียงเหมือนมีคนกำลังมาจึงร้องว่า “มีใครอยู่ข้างบนไหม ช่วยผมด้วย” มีเสียงตอบกลับมาว่า “เราอยู่นี่ เราเป็นพระเจ้าของเจ้า” ชายคนนั้นพูดด้วยความดีใจว่า “ข้าแต่พระองค์ ลูกดีใจที่พระองค์มา ช่วยลูกด้วย ลูกไม่สามารถจะยึดกิ่งไม้ได้ต่อไปอีกแล้ว”

พระเจ้าตรัสกับเขาว่า “ก่อนที่จะช่วยเจ้า เราต้องการรู้ว่าเจ้าเชื่อเราไหม” ชายคนนั้นตอบทันทีว่า “ข้าแต่พระองค์ ลูกเชื่อพระองค์อย่างแน่นอน ลูกไปวัดทุกอาทิตย์ ลูกอ่านพระคัมภีร์ทุกวันและภาวนาเป็นประจำสม่ำเสมอ รวมทั้งทำบุญทุกครั้งที่มีโอกาส” พระเจ้าตรัสว่า “แต่เจ้าไม่ได้เชื่อเราอย่างแท้จริง” ชายนั้นยืนยันหนักแน่นว่า “ข้าแต่พระองค์ ลูกเชื่อพระองค์” พระเจ้าตรัสว่า “ดี งั้นปล่อยมือสิ” เมื่อเห็นเขาลังเลพระองค์จึงตรัสว่า “หากเจ้าเชื่อเรา จงปล่อยมือซะ” ชายนั้นเงียบไปสักพัก จากนั้นร้องดังกว่าเดิมว่า “ยังมีใครอยู่ข้างบนอีกไหม”

เช้าวันรุ่งขึ้นมีผู้พบศพนักท่องเที่ยวคนนี้แข็งตายห้อยอยู่บนกิ่งไม้สูงจากพื้นเพียง 3 ฟุต ทุกคนที่ผ่านมาเห็นเหตุการณ์ต่างพูดกันว่า ถ้าเขาปล่อยมือจากกิ่งไม้ที่จับอยู่ ร่างของเขาคงถึงพื้นอย่างปลอดภัยและรอดชีวิต ในเวลาที่เราเผชิญสถานการณ์ที่ยากลำบากในชีวิต เรายังคงเชื่อในพระเจ้าหรือเปล่า พระวาจาของพระเจ้าในสัปดาห์นี้ท้าทายเรา หากเรามีความเชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง แม้เพียงเล็กน้อยทุกสิ่งย่อมเป็นไปได้เสมอ

เวลาที่เราอยู่ในห้วงของความทุกข์และความยากลำบากในชีวิต เรามักจะคิดว่าพระเจ้าทรงทอดทิ้งเรา ไม่ทรงฟังคำภาวนาของเรา ประกาศกฮาบากุกรู้สึกแบบเดียวกัน ในท่ามกลางความยากลำบากต่างๆ ที่กำลังเผชิญอยู่ ฮาบากุกได้ถามพระเจ้าว่า “ทำไม” และ“อีกนานแค่ไหน” เป็นคำถามเดียวกันที่เรามักจะถามพระเจ้าในเวลาที่เราเผชิญความยากลำบากในชีวิต “ทำไมจึงเกิดเหตุการณ์เช่นนี้กับเรา” และ “เราจะต้องทนกับสิ่งเหล่านี้นานแค่ไหน” ที่สุด ฮาบากุกได้พบคำตอบว่า พระเจ้าจะทรงช่วยเหลือผู้ที่เชื่อในพระองค์

1. พลังของความเชื่อ

ในพระวรสารวันนี้บรรดาสาวกทูลพระเยซูเจ้าให้เพิ่มความเชื่อให้พวกเขา และพระเยซูเจ้าจึงตรัสกับพวกเขาว่า “ถ้าท่านมีความเชื่อเท่าเมล็ดมัสตาร์ด และพูดกับต้นหม่อนต้นนี้ว่า ‘จงถอนรากแล้วไปขึ้นอยู่ในทะเลเถิด’ ต้นหม่อนต้นนั้นก็จะเชื่อฟังท่าน” (ลก 17:6) เมล็ดมัสตาร์ดเป็นเมล็ดที่เล็กที่สุดในบรรดาพืชพรรณทั้งหลาย ส่วนต้นหม่อนเราทราบดีว่าปลูกเพื่อใช้ใบเลี้ยงตัวไหม พระเยซูเจ้าทรงเลือกใช้พันธุ์ไม้สองชนิดที่เปรียบเทียบกันไม่ได้เลย เพื่อเน้นให้เห็นถึง “พลังของความเชื่อ”

พระเยซูเจ้าต้องการสอนเราว่า ความเชื่อของเราจะต้องเติบโตขึ้น “ความเชื่อเล็กน้อย นำวิญญาณไปสู่สวรรค์ ขณะที่ความเชื่อที่มั่นคง นำสวรรค์มาสู่วิญญาณ” เหนือสิ่งอื่นใดพระองค์ต้องการบอกเราว่า ทุกสิ่งเป็นไปได้เสมอ หากเราเชื่อว่าเป็นไปได้ ตัวอย่างพี่น้อง “ตระกูลไรท์” หากพวกเขาไม่เชื่อว่าวันหนึ่งจะต้องบินได้เหมือนนก มนุษย์คงไม่สามารถเดินทางไปถึงดวงจันทร์ได้ หรือหากโทมัส เอดิสัน ไม่เชื่อว่าเขาสามารถผลิตหลอดไฟฟ้าได้ (หลังจากการทดลองล้มเหลว 700 ครั้ง) โลกเราคงไม่สว่างไสวเหมือนทุกวันนี้

เราคริสตชนไม่เพียงเชื่อมั่นในตัวเอง แต่ยังเชื่อมั่นในองค์พระเยซูเจ้าที่อยู่เคียงข้างและพร้อมจะช่วยเราเสมอ นี่คือพลังอันยิ่งใหญ่ของความเชื่อ ที่พระเจ้าได้มอบแก่เราตั้งแต่วันที่เรารับศีลล้างบาป ความเชื่อนี้มาพร้อมกับ “หน้าที่” นั่นคือ หน้าที่แห่งความรักต่อเพื่อนพี่น้อง ที่เราจะต้องทำให้เกิดผลจริงในชีวิตประจำวัน คุณแม่เทเรซาแห่งกัลกัตตา ซึ่งเวลานี้เป็นบุญราศีแล้ว ได้สอนสมาชิกในคณะเมื่อครั้งที่ยังมีชีวิตอยู่ว่า “ความเชื่อในภาคปฏิบัติคือ ความรัก และความรักในภาคปฏิบัติคือ การรับใช้”

2. หน้าที่อย่างเดียวไม่พอ

การรับใช้ คือ การมองเห็นความเดือดร้อนและความต้องการของเพื่อนพี่น้องแล้วไม่อยู่เฉย แต่ยื่นมือให้ความช่วยเหลือเหมือนชาวสะมาเรียผู้ใจดี เขาเป็นคนที่ช่วยเหลือชายบาดเจ็บที่ถูกโจรปล้นจนเกือบสิ้นชีวิต เขากระทำในสิ่งที่ให้ชีวิตด้วยการเข้าไปหาชายเคราะห์ร้ายนั้น ปลอบโยนเขา พันแผลให้ ช่วยพยุงขึ้นหลังสัตว์ เป็นธุระจัดการเรื่องที่พัก และจัดหาคนดูแล เขาเป็นคนธรรมดาที่ไม่มีชื่อ แต่ “ตาของเขาช่างสังเกต และหัวใจของเขาเต้นในจังหวะเดียวกันกับหัวใจของพระเจ้า” เขาได้ทำสิ่งเล็กน้อยแต่ยิ่งใหญ่ในสายพระเนตรของพระองค์

ในวันพิพากษาพระเจ้าจะไม่ถามว่า เราได้มาร่วมพิธีมิสซากี่ครั้ง? ทุกอาทิตย์ไหม? สวดลูกประคำกี่สาย? แต่พระองค์จะถามเราว่า “เราได้รักเพื่อนพี่น้องของเราอย่างไร? ได้ช่วยเหลือคนยากจนที่ด้อยกว่าเราแค่ไหน? ได้ใช้ข้าวของและความสามารถที่เรามีเพื่อคนอื่นมากน้อยเพียงใด?” คำถามเหล่านี้ต่างหากที่พระองค์จะถามเรา เพราะนี่คือเครื่องพิสูจน์ว่า เราเป็นคริสตชนที่แท้จริง

ในพระวรสารวันนี้ พระเยซูเจ้ายังพูดถึงเรื่องคนรับใช้ที่ทำตามหน้าที่ คำอุปมานี้สอนเราว่า “การทำหน้าที่อย่างเดียวไม่พอ” ไม่มีใครรู้สึกว่าควรได้รับคำขอบคุณ เพราะเขาทำในสิ่งที่จำเป็นต้องทำ (เช่นบิดามารดาที่เลี้ยงดูบุตร) คนที่สมควรได้รับการยกย่องคือคนที่ทำมากกว่าหน้าที่ ทำด้วยหัวใจและความรักอันยิ่งใหญ่ ความบกพร่องที่สุดอย่างหนึ่งคือ เรามักจะทำดีเพียงครั้งคราวและคิดว่าแค่นี้พอแล้ว ในความเป็นจริง การดำเนินชีวิตคริสตชนไม่อาจหยุดพัก เราจะต้องเป็นคริสตชนตลอด 24 ชั่วโมง

บทสรุป

พี่น้องที่รัก พระวาจาวันนี้เตือนเราให้ดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อในพระเจ้า แม้ในเวลาของความยากลำบาก ความเชื่อเป็นของประทานจากพระเจ้า และเป็นสมบัติอันล้ำค่าของเราคริสตชน ความเชื่อของเราจะต้องเป็นดังตะเกียงที่ส่องทางชีวิตของเราในโลกที่มืดมัว ที่เราจะต้องรักษาไว้ให้ลุกโชนอยู่เสมอ ด้วยน้ำมันแห่งการภาวนาและความรัก

ไม่เพียงเชื่อในพระเจ้าเท่านั้น แต่จะต้องดำเนินชีวิตให้สอดคล้องกับความเชื่อในชีวิตประจำวัน เป็นต้นในความรักต่อเพื่อนพี่น้องโดยไม่แบ่งแยก ในการให้อภัยความผิดของกันและกันด้วยจริงใจ มองผู้อื่นด้วยดวงตาและหูที่เปิดกว้าง โดยมีเข็มทิศแห่งความเมตตาเป็นเครื่องนำทาง และยอมให้หัวใจของเราเต้นในจังหวะเดียวกันกับหัวใจของพระเจ้า เพื่อเราจะตัดสินได้ว่ามีสิ่งไหนที่เราควรทำ อะไรควรมาก่อนมาหลัง เช่นนี้เอง การดำเนินชีวิตคริสตชนของเราจะไม่เป็นเพียงหน้าที่

ขอแม่พระแบบอย่างแห่งความเชื่อคริสตชน ในความนอบน้อมเชื่อฟังต่อแผนการและน้ำพระทัยของพระเจ้าจนตลอดชีวิตของพระนาง ได้เป็นแบบอย่างสำหรับเราคริสตชนในการดำเนินชีวิตตามความความเชื่อที่เราได้รับ ด้วยความนอบน้อมเชื่อฟังต่อแผนการและน้ำพระทัยของพระเจ้าเช่นเดียวกัน ขอพระเยซูเจ้าได้เพิ่มพูนความเชื่อนี้ในตัวเราแต่ละคน ให้เติบโตยิ่งขึ้น เข้มแข็งมั่นคง และเป็นความเชื่อที่มีชีวิต

วัดพระคริสตประจักษ์ นาบัว มองจากนาข้าวที่กำลังเขียวเต็มท้องทุ่ง
คุณพ่อขวัญ ถิ่นวัลย์
danielkhuan@hotmail.com
วัดพระคริสตประจักษ์ นาบัว
2 ตุลาคม 2010

1 ความคิดเห็น:

  1. ว้าวๆๆๆ ปลูกดอกทานตะวัน ยังงี้หน้าบ้านผมก็พลอยสวยไปด้วยสิเนียะ ถ้าอยากได้ดอกคุณนายตื่นสายหลากหลายสี ขอเชิญไปที่ "วัดดอนดู่" นะครับ มีทุกสีให้เลือกสรร แต่ตอนนี้ไม่แน่ใจว่าครูไล ดูแลให้ผมหรือเปล่า.. ส่วยครับมีทุกสี...

    ตอบลบ