วันพุธที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

ความเชื่อเรื่องการกลับคืนชีพ

ความเชื่อเรื่องการกลับคืนชีพ
วันที่ 2 พฤศจิกายน
วันภาวนาอุทิศแด่ผู้ล่วงลับ
รม 5:5-11
ยน 6:37-40
บทนำ
เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2016 ที่ผ่านมา สมณกระทรวงพระสัจธรรมได้ประกาศคำแนะนำเกี่ยวกับการฝังศพผู้ล่วงลับและการเก็บเถ้าอัฐิในกรณีที่มีการเผา Ad resurgendum cum Christo” มีหลายแง่มุมที่น่าสนใจจึงขอนำบางประเด็นมาแบ่งปันในวันนี้ สืบเนื่องจากในหลายประเทศเริ่มมีการเผาศพผู้ล่วงลับมากขึ้น ด้วยเหตุผลด้านอนามัย เศรษฐกิจหรือสังคม
คำแนะนำนี้บอกให้เราทราบว่า “การเผาศพในตัวมันเองมิได้เป็นการปฏิเสธความเชื่อคริสตชนเกี่ยวกับความเป็นอมตะของวิญญาณ และมิได้ปฏิเสธการกลับคืนชีพของผู้ตายด้วย” พระศาสนจักรนิยมการฝังศพเพราะเป็นการแสดงให้เห็นว่า “เรารักผู้ล่วงลับ” แต่มิได้ห้ามการเผาศพ นอกเสียจากคนที่เลือกเผาศพเพราะต้องการปฏิเสธความเชื่อ หรือเพราะความเกลียดชังศาสนาคาทอลิกและพระศาสนจักร อย่างนี้ทำไม่ได้ (กรณีปฏิเสธความเชื่อไม่ทำพิธีปลงศพให้)
ในกรณีที่เลือกการเผาศพ ต้องเก็บเถ้ากระดูกของผู้ล่วงลับไว้ในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์คือสุสาน ในวัดหรือในสถานที่จัดไว้เป็นการเฉพาะ (โดยมีพระสงฆ์เป็นผู้ทำพิธีปลงศพให้) ทั้งนี้เพื่อเป็นหลักประกันว่าผู้ตายจะได้รับการอธิษฐานภาวนา และระลึกถึงจากชุมชนวัดตามความเชื่อคริสตชน อีกทั้งเพื่อป้องกันการขาดความเคารพต่ออัฐิสำหรับชนรุ่นหลัง และการปฏิบัติที่ไม่เหมาะสมหรือผิดเพี้ยน
ด้วยเหตุนี้จึงไม่อนุญาตให้เก็บเถ้าอัฐิไว้ที่บ้านหรือแบ่งให้กับสมาชิกในครอบครัว อีกทั้งไม่อนุญาตให้โปรยเถ้าอัฐิของผู้ตายในอากาศ ทะเลหรืออย่างอื่น เพราะ “ร่ายกายของผู้ตายไม่ใช่สมบัติส่วนตัวของญาติหรือของใคร เขาเป็นบุตรของพระเจ้า ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของพระกายทิพย์ของพระคริสตเจ้า ประชากรของพระเจ้า ในพิธีฝังศพจึงไม่มีพิธีแบบส่วนตัว แต่เป็นพิธีแบบส่วนรวม” (พระคาร์ดินัล เกอร์ฮาร์ด มุลเล่อร์)

1.        ความเชื่อเรื่องการกลับคืนชีพ
คำแนะนำนี้ได้ย้ำถึงความเชื่อคริสตชน ซึ่งเป็นหัวใจของการประกาศสั่งสอนเรื่อยมาตั้งแต่แรกเริ่มของคริสตศาสนา นั่นคือ การเสด็จกลับคืนพระชนม์ชีพของพระคริสตเจ้า ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของธรรมล้ำลึกปัสกา อีกทั้งเป็นหลักและต้นตอแห่งการกลับคืนชีพของเราในอนาคตด้วย ทำให้ความตายของเราคริสตชนมีความหมาย ความตายจึงมิใช่การจบสิ้นแต่รอคอยการกลับคืนชีพ
สำหรับเราคริสตชนการฝังศพจึงเป็นวิธีที่เหมาะสม เพื่อแสดงถึงความเชื่อและความหวังในการกลับคืนชีพของร่างกาย นอกนั้น การฝังศพในสุสานหรือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ยังสอดคล้องกับความศรัทธาและความเคารพต่อร่างกายของผู้ล่วงลับ ซึ่งอาศัยศีลล้างบาปเราได้กลายเป็นวิหารของพระจิตเจ้า อีกทั้ง ยังช่วยสมาชิกในครอบครัวและชุมชนคริสตชนได้อธิษฐานภาวนาและรำลึกถึงผู้ล่วงลับ
นี่คือเหตุผลที่เราพากันมาที่สุสานทุกปี เพื่อแสดงความเคารพ สวดภาวนาและรำลึกถึงบรรพบุรุษของเรา ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นปู่ย่า ตายาย พ่อแม่ สามีภรรยา ลูกหลาน ญาติสนิทมิสหาย ที่เรารู้จักและมีพระคุณต่อเรา วันภาวนาอุทิศแด่ผู้ล่วงลับจึงถือเป็นวันพิเศษ ที่เราคริสตชนระลึกถึงและภาวนาเพื่อคนที่เรารักซึ่งล่วงหน้าเราไปก่อน โดยเฉพาะคนที่กำลังอยู่ในไฟชำระเพื่อรอการชำระให้บริสุทธิ์ก่อนไปอยู่กับพระเจ้า
เมื่อวานนี้ (1 พฤศจิกายน) เราสมโภชนักบุญทั้งหลาย เราแต่ละคนซึ่งกำลังเดินทางอยู่ในโลกนี้ (พระศาสนจักรที่กำลังต่อสู้) เป็นหนึ่งเดียวกับบรรดานักบุญซึ่งได้รับพระสิริรุ่งโรจน์ในสวรรค์ (พระศาสนจักรที่ได้รับชัยชนะ) และวันนี้ (2 พฤศจิกายน) เราเฉลิมฉลองความเป็นหนึ่งเดียวกับญาติพี่น้องที่อยู่ในไฟชำระ (พระศาสนจักรที่กำลังทนทุกข์) ซึ่งความสัมพันธ์เป็นหนึ่งเดียวนี้รวมเรียกว่า สหพันธ์นักบุญหรือ “ความสัมพันธ์เป็นหนึ่งเดียวของผู้ศักดิ์สิทธิ์”

2.  บทเรียนสำหรับเรา
การภาวนาอุทิศแด่ผู้ล่วงลับ ที่เราระลึกในวันนี้จึงมีความหมายสำหรับเราคริสตชน และให้แนวปฏิบัติสำหรับเราหลายประการ
ประการแรก เราต้องเชื่อในการกลับคืนชีพ พระคริสตเจ้าผู้กลับคืนพระชนม์ชีพจากความตาย คือหลักประกันว่าเราเองจะได้รับการยกขึ้นสู่ชีวิต พระองค์มิใช่พระเจ้าของผู้ตายแต่เป็นพระเจ้าของผู้เป็น (มธ 22: 31-33) พระองค์ทรงเป็นการกลับคืนพระชนม์ชีพและเป็นชีวิต (ยน 11:25) เราจึงต้องดำเนินชีวิตเยี่ยงผู้กลับคืนชีพพร้อมกับพระองค์ ด้วยการรู้จักควบคุมความคิด ความปรารถนา คำพูดและความประพฤติของเราให้ถูกต้องชอบธรรมและสะอาดบริสุทธิ์ ไม่ปล่อยตัวตามกิเลสตัณหาและความโน้มเอียงไม่ดีต่างๆ
ประการที่สอง เราต้องรำลึกถึงญาติพี่น้องผู้ล่วงลับอยู่เสมอ ความตายมิใช่จุดจบ แต่เรายังเป็นหนึ่งเดียวกับญาติพี่น้องผู้ล่วงลับ ในสายสัมพันธ์แห่งความเชื่อและความรัก ที่สำคัญ วิญญาณที่อยู่ในไฟชำระไม่สามารถช่วยตนเองให้รอดได้ เป็นหน้าที่และมีเพียงเราเท่านั้นที่สามารถช่วยพวกเขาได้ผ่านทางการภาวนา การเดินรูป 14 ภาค การขอมิสซาและการพลีกรรมใช้โทษบาปในแต่ละวัน เราจึงไม่ควรระลึกถึงบุคคลอันเป็นที่รักของเราเฉพาะแต่ในวันนี้เท่านั้น
ประการที่สาม เราต้องตระหนักในชีวิตของเรา การมารวมกันที่สุสานต่อหน้าหลุมศพญาติพี่น้องของเรา เตือนใจเราว่า ต่อไปเราต้องเป็นแบบนี้ ไม่มีใครหลีกพ้น นี่คือสัจธรรมแห่งชีวิต ประการสำคัญ เราไม่รู้ว่าวันเวลาของเราจะมาถึงเมื่อไหร่ เราจึงต้องสร้างบุญสร้างกุศลและเตรียมพร้อมอยู่เสมอ เพราะมีแต่สิ่งนี้เท่านั้นที่เราสามารถนำติดตัวไปได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในการดำเนินชีวิตในความรักต่อพระเจ้าและเพื่อนพี่น้อง ในวาระสุดท้ายแห่งชีวิต พระเจ้าจะไม่ถามว่าเราได้ทำอะไรบ้าง แต่จะถามว่า เราได้รักอย่างไร

บทสรุป
พี่น้องที่รัก วันนี้เราระลึกถึงพี่น้องของเราที่กำลังทนทุกข์ในไฟชำระเพราะผลของบาป เป็นการแสดงถึงความเป็นหนึ่งเดียวกันระหว่างผู้เป็นกับผู้ตาย ในสายสัมพันธ์แห่งความเชื่อและความรัก ให้เราได้ส่งคำภาวนาและอุทิศส่วนกุศลในพิธีบูชาขอบพระคุณแด่พวกเขา มิใช่แต่เฉพาะในวันนี้เท่านั้น ทั้งนี้ เพื่อช่วยบรรเทาและปลดปล่อยพวกเขาให้คู่ควรกับการอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์
ที่สุด เราต้องตระหนักถึงพระพรแห่งชีวิตที่เราได้รับจากพระเจ้า  มีคนเขาบอกว่า วันเวลาในโลกนี้มีแค่ 3 วัน คือ เมื่อวาน ใช้ไปแล้ว วันนี้ กำลังใช้อยู่ และวันพรุ่งนี้ ไม่รู้จะได้ใช้ไหม เราไม่รู้ว่าจะมีวันพรุ่งนี้สำหรับเราไหม โชคดีแค่ไหนที่วันนี้ตื่นมา เรายังมีลมหายใจอยู่ ฉะนั้น จงขอบคุณพระเจ้าเสมอและทำหน้าที่คริสตชนของเราในแต่ละวันให้ดีที่สุด ความตายจะต้องไม่ทำให้เราหวาดกลัว แต่เป็นเครื่องเตือนใจให้เจริญชีวิตอย่างดี ขอพระเยซูเจ้าผู้กลับคืนพระชนม์ชีพ ได้นำทางชีวิตเราและอวยพรเราทุกคน
คุณพ่อขวัญ ถิ่นวัลย์
khuanthinwan@gmail.com
San Tomasso Ashram, วัดป่าพนาวัลย์
1 พฤศจิกายน 2016

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น