วันศุกร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2553

เศรษฐีกับลาซารัส

วันอาทิตย์ สัปดาห์ที่ 26 เทศกาลธรรมดา ปี C
บทอ่านที่ 1: อมส 6:1ก,4-7
บทอ่านที่ 2: 1 ทธ 6:11-16
พระวรสาร: ลก 16:19-31

ลาซารัส หน้าบ้านเศรษฐี ผลงานของ เฟดอร์ บรอนนิคอฟ
 บทนำ

มีนักธุรกิจคนหนึ่งในนครซานอันโตนิโอ รัฐเท็กซัส สหรัฐอเมริกา ได้จอดรถสปอร์ตรุ่นใหม่ของเขาไว้ข้างถนนและไปทำธุระบางอย่างในย่านธุรกิจแถวนั้น เมื่อเขากลับมาที่รถก็พบเด็กชายยากจนคนหนึ่งกำลังจ้องมองรถคันงามของเขาด้วยดวงตาเป็นประกาย บ่งบอกถึงความชื่นชอบอย่างเห็นได้ชัด เมื่อเห็นเขาเดินมาที่รถ เด็กคนนั้นถามว่า “รถของท่านหรือครับ มันสวยมาก ท่านซื้อมาราคาเท่าไหร่ครับนี่”

นักธุรกิจคนนั้นตอบว่า “ใช่! รถของฉัน แต่ฉันไม่ได้ซื้อมันหรอก มีคนให้ฉันเป็นของขวัญ” เด็กคนนั้นยิ่งสนใจมากขึ้น ถามต่อว่า “ใครนะช่างใจดีจัง ให้รถสวยคันนี้แก่ท่าน” ชายนั้นตอบว่า “พี่ชายของฉันเอง” เด็กคนนั้นรู้สึกแปลกใจจึงพูดว่า “แสดงว่าท่านไม่ได้จ่ายเงินซื้อมันสักแดงเดียว” ชายนั้นตอบว่า “ใช่แล้ว เธอพูดถูก” เขาคิดในใจว่าเด็กข้างถนนคนนั้นคงพูดต่อว่า “ผมอยากจะมีพี่ชายอย่างท่านบ้าง” แต่เขาคิดผิดถนัด เพราะเด็กคนนั้นกลับพูดว่า “ผมหวังว่า สักวันผมจะเป็นพี่ชายที่ดีอย่างนี้บ้าง”

นักธุรกิจคนนั้นรู้สึกอึ้งกับคำพูดดังกล่าว ตัวเขาซึ่งฐานะร่ำรวย แต่งกายด้วยเสื้อผ้าอย่างดี มีทุกอย่างพร้อม ขณะที่เด็กคนนั้นแต่งกายมอซอ ไม่มีอะไรในมือ แต่ในหัวใจของเด็กคนนั้นมีมากยิ่งกว่าเขาเสียอีก เด็กโกโรโกโสมีจิตใจที่ร่ำรวยมากกว่าเขาหลายเท่า ทั้งนี้เพราะเด็กคนนั้นไม่ได้คิดถึงตัวเองที่คอยรับจากคนอื่น แต่ต้องการจะเป็นผู้ให้ (เนื่องจากเขามีน้องชายที่เป็นอัมพาต เดินไม่ได้ ความตั้งใจของเขาคือต้องการซื้อรถยนต์ให้น้องชาย เพื่อใช้เดินทางไปในที่ที่ต้องการและเห็นสถานที่ต่างๆ ด้วยตนเอง)

ทุกวันนี้ช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนในสังคมดูเหมือนจะถูกขยายให้ห่างกันมากขึ้น คำอุปมาเรื่องเศรษฐีกับลาซารัส สะท้อนให้เห็นลักษณะที่แตกต่างกันราวฟ้ากับเหวของคนสองคน คนหนึ่งร่ำรวยเป็นเศรษฐี ส่วนอีกคนหนึ่งเป็นขอทานยากจนเข็ญใจ ชีวิตของคนทั้งสองแตกต่างกัน ไม่ใช่เพียงเรื่องฐานะความเป็นอยู่เท่านั้น แต่ยังแตกต่างกันระหว่างชีวิตหลังความตายอีกด้วย ความแตกต่างประการหลังนี้เห็นได้ถึงความเด็ดขาดและถาวร ซึ่งไม่สามารถแก้ไขได้ ส่งผลให้เศรษฐีต้องทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส

สิ่งที่ทำให้เศรษฐีต้องรับโทษไม่ใช่สิ่งที่เขาทำลงไป แต่เป็นสิ่งที่เขาไม่ได้ทำต่างหาก

1. เศรษฐีกับลาซารัส

ในพระวรสารวันนี้ได้นำเสนอเรื่องเศรษฐีกับลาซารัส พระเยซูเจ้าได้ฉายภาพชีวิตเศรษฐีที่อยู่อย่างคนโลภและฟุ่มเฟือย “แต่งกายหรูหราด้วยเสื้อผ้าเนื้อดีราคาแพง จัดงานเลี้ยงทุกวัน” เขาได้ละเลยบัญญัติเอกและสำคัญที่สุดคือ “จงรักพระเจ้าสิ้นสุดจิตใจและรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเอง” ชีวิตของเขาตั้งอยู่บนความสะดวกสบายด้านวัตถุและทำทุกอย่างเพื่อตนเอง โดยไม่เคยคิดถึงความลำบากเดือดร้อนของคนอื่น หัวใจของเขาว่างเปล่าเพราะเขาขาดความรัก ตาของเขาบอดมือเพราะมองไม่เห็นความต้องการของพี่น้อง

ในทางตรงข้าม ลาซารัส มีชีวิตอยู่อย่างยากจนน่าสังเวช มีแผลเต็มตัว ไม่มีแรงแม้แต่จะไล่สุนัขที่กำลังเลียแผล เขาถูกนำมาทิ้งไว้ที่ประตูบ้านเศรษฐีและรอสิ่งที่ตกจากโต๊ะอาหาร เขาไม่ต้องการสิ่งที่มีค่าใด นอกจากเศษอาหารเพื่อประทังชีวิตซึ่งเศรษฐีไม่ต้องการแล้ว เศรษฐีจึงเป็นตัวแทนของคนมั่งมีที่เห็นแก่ตัว ขณะที่ลาซารัส เป็นตัวแทนของเสียงกรีดร้องของคนจนหลากหลายรูปแบบที่ไม่มีใครได้ยินทุกยุคทุกสมัย

คำว่า “ลาซารัส” เป็นชื่อภาษากรีกแปลว่า “พระเจ้าทรงเป็นผู้ช่วย” เพื่อเน้นให้เห็นความจริงที่ว่า แม้คนชอบธรรมจะยากจนไม่มีใครช่วยเหลือ แต่พระเจ้าทรงเป็นผู้ช่วยเขาเสมอ เราจึงได้เห็นสถานการณ์ที่กลับกันหลังความตาย เศรษฐีกลายเป็นคนจนน่าสมเพชในเปลวไฟ (นรก) ที่ร้องขอความช่วยเหลือจากลาซารัส ขณะที่ลาซารัสกลายเป็นคนร่ำรวยมีความสุข (สวรรค์) เพราะได้อยู่ในอ้อมอกของอับราฮัม
ลาซารัส ผู้น่าสงสาร ผลงานของ มัตเทอุส เมเรียน เดอะ เอลเดอร์
 2. บทเรียนสำหรับเรา

คำอุปมานี้ได้ให้บทเรียนสำคัญแก่เราว่า เราจะได้รับในสิ่งที่ต้องการ แต่ก็ต้องชดเชยตามราคาของสิ่งนั้น เวลามีชีวิตอยู่ในโลกเราอาจได้ทุกสิ่งที่ปรารถนา แต่อาจต้องสูญเสียวิญญาณหรือความสุขนิรันดรกับพระเจ้าในบั้นปลาย “สิ่งที่ทำให้เศรษฐีต้องทรมานในไฟ(นรก) ไม่ใช่สิ่งที่เขาทำลงไป แต่เป็นสิ่งที่เขาไม่ได้ทำต่างหาก” โดยเฉพาะการแบ่งปันสิ่งที่เขามีกับชายยากจนที่อยู่ต่อหน้า ดังนั้น ความรักที่เรามีต่อพระเจ้าจึงต้องแสดงออกต่อเพื่อนพี่น้องของเรา เพราะเป็นพระเจ้าเองที่ปรากฏพระองค์ให้เราเห็นในตัวคนยากจน

คุณแม่เทเรซาแห่งกัลกัตตา กล่าวเอาไว้ว่า “โรคที่มนุษย์เป็นมากที่สุดในโลกปัจจุบันคือ ความรู้สึกว่าตนเองไม่เป็นที่ต้องการ และความเลวร้ายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกปัจจุบันคือการขาดความรัก” เราคริสตชนจะต้องเป็นปากเสียงแทนคนยากจนและคนที่ถูกเอารัดเอาเปรียบในสังคมเหล่านี้ ความสนใจของเราจะต้องแสดงออกให้เห็นยิ่งกว่าคำพูด มิฉะนั้นแล้วเราก็ไม่ต่างอะไรจากเศรษฐีในคำอุปมา

ทรัพย์สมบัติหรือความร่ำรวยที่เรามีถือเป็นพระพรของพระเจ้า ที่เราต้องสำนึกเสมอว่ามิใช่สมบัติส่วนตัวของเราเพียงคนเดียว เราจะต้องแบ่งปันให้ผู้ที่ไม่มี เพื่อให้เขาสามารถเจริญชีวิตสมศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ซึ่งเป็นบุตรของพระเจ้า เราจะทำเป็นทองไม่รู้ร้อนกับพี่น้องที่ขัดสนหรือเดือดร้อนเจียนตายไม่ได้เป็นอันขาด มิฉะนั้นชะตากรรมของเราในชีวิตหน้าก็จะเป็นเช่นเดียวกับเศรษฐีในวันพระวรสารวันนี้

หลายคนอาจคิดว่าคำอุปมานี้ไม่เกี่ยวกับฉัน เพราะ “ฉันไม่ใช่คนรวย ไม่ได้มีเงินมากพอที่จะแบ่งหรือช่วยเหลือใคร” สิ่งที่พระเยซูเจ้าตรัสไม่ได้หมายถึงทรัพย์สินเท่านั้น เราสามารถแบ่งปันสิ่งที่เรามีกับคนที่ต้องการความช่วยเหลือ ดังนั้น เราจึงต้องมองดูว่า “มีใครที่กำลังนั่งอยู่ที่ประตูบ้านของเรา” ที่ต้องการคำพูดให้กำลังใจ ต้องการความเป็นเพื่อนชั่วขณะ ต้องการความรักและความเข้าใจสักเล็กน้อย หรือต้องการการให้อภัยจากเรา บางทีคนเหล่านี้อาจเป็นคนในบ้านของเราเองที่เรามองข้าม ไม่ได้ให้ความสนใจเท่าที่ควร
วิถีชีวิตที่แตกต่างกันระหว่าง "คนรวย" กับ "คนจน" ในสังคมปัจจุบัน
บทสรุป

พี่น้องที่รัก พระเยซูเจ้าสอนเราในคำอุปมาว่า เราต้องแบ่งปันและรับผิดชอบต่อคนที่ขัดสน เศรษฐีในคำอุปมาได้รับการลงโทษเพราะเขาปฏิเสธที่จะช่วยเหลือพี่น้องที่ต้องการความช่วยเหลือ เราจะต้องรับรู้ถึงความอยุติธรรมที่ผู้คนกำลังเผชิญอยู่ต่อหน้า เราไม่สามารถจะเป็นเพียงผู้ดูเฉยๆ แล้วปล่อยให้เรื่องราวความอยุติธรรมในสังคมผ่านเลยไป เราจะต้องทำบางสิ่งบางอย่าง นั่นคือ แบ่งปันสิ่งที่เรามีกับบุคคลเหล่านี้

ชีวิตของเราคือของประทานอันล้ำค่าของพระเจ้า และเราต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่พระเจ้ามอบความไว้วางใจให้เราดูแล ต้องใช้มันเพื่อพระเกียรติมงคลของพระเจ้าและเพื่อผู้อื่น ชีวิตของเราในโลกนี้เป็นการเตรียมสำหรับชีวิตในโลกหน้า ความหรูหราฟุ่มเฟือยไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นสำหรับชีวิต เราต้องแสวงหาสิ่งที่มีคุณค่ามากกว่าซึ่งนำไปสู่ชีวิตนิรันดร แน่นอนว่า เราไม่สามารถจะใช้ชีวิตอย่างสุขสบายได้ ขณะที่ยังมีคนอย่างลาซารัสนั่งคอยเราอยู่ที่ประตูบ้าน

ชีวิตของเศรษฐีเป็นชีวิตที่ไร้ค่า เขาใช้ความร่ำรวยที่เขามีเพื่อตนเองเท่านั้นและปฏิเสธผู้อื่น ตาของเขาบอดมืดต่อคนที่ต้องการความช่วยเหลือ เขาเจริญชีวิตในโลกนี้โดยปราศจากพระเจ้า เขาจึงสูญเสียพระองค์ไปตลอดกาล รวมถึงทุกสิ่งที่เขามี ขณะที่ลาซารัสคือแบบอย่างของคนที่เชื่อและไว้ใจในพระเจ้า ขอให้เรารู้จักแบ่งปันสิ่งที่เรามีกับผู้อื่น เพราะเงื่อนไขที่ขาดไม่ได้สำหรับการเข้าในอาณาจักรของพระเจ้าคือ ความเชื่อไว้ใจในพระเจ้าและการใส่ใจในคนยากจน

คุณพ่อขวัญ ถิ่นวัลย์
danielkhuan@hotmail.com
วัดพระคริสตประจักษ์ นาบัว
24 กันยายน 2010

1 ความคิดเห็น: