วันเสาร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2560

ยุติธรรมและเมตตา

ยุติธรรมและเมตตา
วันอาทิตย์
สัปดาห์ที่ 25 เทศกาลธรรมดา
ปี A
อสย 55:6-9
ฟป 1:20-24,27
มธ 20:1-26
บทนำ
ฤดูเก็บผลองุ่นในปาเลสไตน์เริ่มปลายเดือนสิงหาคมถึงต้นกันยายนของทุกปี เป็นห้วงเวลาที่เจ้าของสวนต้องการคนงานมากที่สุด เพราะต้องเร่งเก็บผลองุ่นให้เสร็จก่อนฤดูฝนช่วงกลางเดือนกันยายน เวลาทำงานสำหรับชาวยิวเริ่มต้นตั้งแต่หกโมงเช้าถึงหกโมงเย็น นายจ้างอาจจ้างคนมาทำงานตอนหกโมงเช้า เก้าโมงเช้า เที่ยงวัน บ่ายสามโมง และห้าโมงเย็น  เป็นไปได้ที่เจ้าของสวนใช้คนออกไปหาคนงานในตอนห้าโมงเย็น หากต้องเร่งเก็บผลองุ่นให้เสร็จ
คำอุปมาเรื่องคนงานในสวนองุ่น เป็นคำอุปมาที่ดีและมีชื่อเสียงที่สุดเรื่องหนึ่งของพระเยซูเจ้า ซึ่งมีแต่เฉพาะในพระวรสารนักบุญมัทธิวเท่านั้น คำอุปมาได้สะท้อนภาพความเป็นจริงในระยะเริ่มแรกของพระศาสนจักร ชาวยิวที่กลับใจเป็นคริสตชนมีความรู้สึกว่าคนต่างศาสนาที่กลับใจทีหลัง อยู่ในฐานะเท่าเทียมกับพวกเขาซึ่งมาก่อนและคิดว่าตนควรได้รับสิทธิพิเศษ ความรู้สึกนี้ได้กลายเป็นปัญหาโต้แย้งในหมู่อัครสาวก และคำอุปมานี้ได้ให้คำตอบต่อปัญหานี้
ความอิจฉาริษยามักสร้างปัญหาให้กับปัจเจกบุคคลและหมู่คณะทุกยุคสมัย อย่างที่เราได้ยินในคำอุปมาวันนี้ คนงานที่มาทำงานก่อนเกิดความรู้สึกไม่พอใจ “ทำไมเจ้าของสวนจ่ายค่าจ้างแก่คนงาน ที่ทำงานมาตลอดทั้งวัน (12 ชั่วโมง) กับคนที่ทำงานเพียงชั่วโมงเดียวในจำนวนเท่ากัน ดูไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย เพราะคนที่ทำงานมากกว่าสมควรได้รับค่าจ้างมากกว่า” นี่เป็นวิธีคิดและการตัดสินแบบมนุษย์ในสังคมปัจจุบันที่เราคุ้นเคย
1.        ยุติธรรมและเมตตา
คำอุปมาได้แสดงให้เห็นถึงความยุติธรรมและความใจดีของเจ้าของสวนองุ่น ที่ให้โอกาสคนว่างงานมาทำงานในสวนองุ่น โดยตกลงค่าจ้าง 1 เหรียญซึ่งเป็นค่าจ้างสำหรับเลี้ยงตนเองและครอบครัวในหนึ่งวัน อีกทั้งยังรับอีกหลายกลุ่มให้มาทำงาน เมื่อถึงเวลาจ่ายค่าจ้างได้จ่ายให้คนละ 1 เหรียญเท่ากัน เป็นความยุติธรรมตามที่ได้ตกลง รวมถึงคนมาทีหลังทำงานเพียงชั่วโมงเดียว เป็นความใจดีมีเมตตาต่อคนที่ต้องเลี้ยงตนเองและครอบครัวด้วยเงินจำนวนดังกล่าว
คำอุปมานี้ได้เปิดเผยให้ทราบถึงพระยุติธรรมและพระทัยเมตตาของพระเจ้า ที่เปิดต่อทุกคนเท่าเสมอกัน พระเจ้าทรงเป็นเหมือนบิดาที่ใจดีมีเมตตา บิดาย่อมไม่รักบุตรคนโตมากกว่าคนเล็ก แม้คนโตเกิดก่อนและอายุมากกว่า ความรักไม่สามารถคิดคำนวณเป็นตัวเลขมาก-น้อย สมาชิกของครอบครัวย่อมเป็นที่รักของบิดาเท่ากัน เพราะต่างเป็นบุตรชาย-หญิงของบิดาเหมือนกัน ดังนั้น ในครอบครัวของพระเจ้า ทุกคนเป็นที่รักของพระเจ้าเท่าเสมอกัน
คนงานที่ไม่พอใจและอิจฉาริษยาเพราะความเห็นแก่ตัวของพวกเขา ที่ไม่เปิดใจต่อพระทัยเมตตาของพระเจ้า ซึ่งสะท้อนชีวิตของบรรดาธรรมาจารย์และชาวฟาริสี ที่คิดว่าพวกเขาต้องเป็นพวกแรกในพระอาณาจักรและดีกว่าคนอื่น ทำให้พวกเขาแยกตัวออกไปจากคนอื่นและหมู่คณะ อีกทั้ง ยังตำหนิชาวยิวที่คิดว่าตนเองเป็นชนชาติที่ได้รับเลือกสรรจากพระเจ้า และควรได้รับสิทธิพิเศษ พวกเขารู้สึกไม่พอใจที่พระเจ้าให้สิทธิพิเศษแก่คนต่างชาติที่มาทีหลัง
2.        บทเรียนสำหรับเรา
คำอุปมาเรื่องคนงานในสวนองุ่น ได้ให้บทเรียนสำคัญสำหรับเราคริสตชนหลายประการ ในการนำไปปฏิบัติในชีวิตประจำวัน
ประการแรก พระเจ้าทรงความยุติธรรม พระเจ้าไม่ได้มองดูที่งานหรือความดีที่เราทำ แต่ทรงมองดูที่ความจำเป็นของเรา เจ้าของสวนจ่ายค่าจ้างให้คนงานคนละหนึ่งเหรียญตามที่ตกลง นี่คือความยุติธรรม เจ้าของสวนคิดถึงคนและใช้เงินที่มีอยู่เพื่อช่วยเหลือทุกคน เงินหนึ่งเหรียญคือค่าจ้างที่จำเป็นสำหรับการเลี้ยงตัวเองและครอบครัวในหนึ่งวัน หากได้น้อยกว่านี้ จะทำให้ครอบครัวของเขาต้องหิวโหยในคืนนั้นและวันรุ่งขึ้นอย่างแน่นอน
ประการที่สอง พระเจ้าทรงพระทัยเมตตา สิ่งที่พระเจ้าประทานแก่เรานั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับตัวเรา แต่เป็นพระทัยเมตตาอย่างล้นเหลือของพระองค์ที่แสดงออกต่อทุกคน แม้คนบาปและคนต่างศาสนา พระหรรษทานของพระเจ้าจำเป็นสำหรับการเข้าในอาณาจักรของพระองค์ และทรงประทานให้ทุกคนเท่าเสมอกัน มากกว่าที่เราสมควรได้รับด้วยซ้ำ ดังนั้น เราควรตอบสนองในลักษณะเดียวกัน ด้วยการยื่นมือช่วยเหลือคนขัดสน ไม่ควรบ่นว่าหรืออิจฉาริษยากัน
ประการที่สาม พระเจ้าทรงรักทุกคน  ความรักของพระเจ้าไม่แบ่งแยก ไม่มีเงื่อนไขและไร้ขีดจำกัด แต่ทรงรักทุกคนโดยเฉพาะคนขัดสนที่ไม่มีสิ่งจำเป็นสำหรับการดำรงชีวิต ทรงพอพระทัยนำเขามาทำงานในอาณาจักรของพระองค์ “จงไปทำงานในสวนองุ่นของฉันเถิด ฉันจะให้ค่าจ้างตามสมควร” (มธ 20:4) เพื่อให้เขาได้มีความสุขกับพระองค์ ดังนั้น ไม่ว่าเราจะเป็นคริสตชนช้าหรือเร็ว เราต่างเป็นที่รักของพระเจ้า ที่ทรงรักเราและต้อนรับทุกคน
บทสรุป
พี่น้องที่รัก คำอุปมาได้แสดงถึงพระความยุติธรรมและพระทัยเมตตาของพระเจ้า ทรงเลือกผู้ที่พอพระทัยอย่างอิสระ ซึ่งเราไม่สามารถเข้าใจด้วยวิธีคิดแบบมนุษย์ ทรงเรียกทุกคนให้มาทำงานในอาณาจักรของพระองค์ด้วยความรัก เพื่อให้ทุกคนได้พบความรอดนิรันดร เราควรทำงานหรือทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย เพื่อการรับใช้พระเจ้าและเพื่อนพี่น้องด้วยความยินดี คุณค่าแห่งการรับใช้ของเราวัดได้จากความรักและความใจกว้างที่เราแสดงออกต่อกัน
ศิษย์พระคริสต์ต้องไม่อิจฉาริษยา โลภ และเห็นแก่ตัว ที่นำไปสู่ความแตกแยกของสังคมและหมู่คณะ แต่ทำงานที่รับมอบหมายด้วยความผิดชอบและทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด เลียนแบบอย่างความใจดีมีเมตตา และความยุติธรรมของพระเจ้า ทั้งในคำพูดและการกระทำในชีวิตประจำวัน เป็นต้นต่อเพื่อนพี่น้องที่เดือดร้อนและต้องการความช่วยเหลือ มีเพียงสิ่งนี้เท่านั้นที่ทำให้เราคู่ควรกับรางวัลที่ทรงสัญญา
คุณพ่อขวัญ ถิ่นวัลย์
khuanthinwan@gmail.com
San Tomasso Ashram, วัดแม่พระแห่งภูเขาการ์แมล ป่าพนาวัลย์
23 กันยายน 2017
ภาพประกอบ: กางเขนใหญ่และหลุมศพพระสังฆราช-พระสงฆ์, สุสานอัครเทวดามีคาแอลท่าแร่; 2004-03-10

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น