วันศุกร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

เกลือดองแผ่นดิน แสงสว่างส่องโลก

สัปดาห์ที่ 5 เทศกาลธรรมดา ปี A
อสย 58:7-10
1 คร 2:1-5
มธ 5:13-16

บทนำ

“เกลือ” และ “แสงสว่าง” เป็นสิ่งที่มีความสำคัญในชีวิตประจำวันของมนุษย์ ที่ทุกคนล้วนเข้าใจถึงประโยชน์และความสำคัญของสองสิ่งนี้เป็นอย่างดี เราใช้เกลือในการถนอมอาหารไม่ให้เน่าเสีย ดังสำนวนที่ว่า “ฆ่าควายอย่าเสียดายเกลือ” เกลือจึงเป็นสิ่งที่มีค่ามาก ถึงขนาดที่บางเผ่าในแอฟริกากำหนดให้ฝ่ายชายต้องจ่ายค่าสินสอดเป็นเกลือ มิฉะนั้นจะไม่ยอมยกลูกสาวให้ ขณะที่กองทัพโรมันใช้เกลือเป็นค่าจ้างจ่ายให้กับทหารในแต่ละเดือน อันเป็นที่มาของคำว่า “Salary” ในภาษาอังกฤษที่แปลว่า เงินเดือน

ส่วนแสงสว่างทำให้เรามองเห็นสิ่งต่างๆ และเป็นสิ่งที่ทำให้สิ่งมีชีวิตอยู่ได้ ไม่ว่าจะเป็นพืช สัตว์ และมนุษย์ โดยเฉพาะสิ่งมีชีวิตจำพวกพืชซึ่งใช้แสงแดดในการสังเคราะห์แสง เพื่อการเจริญเติบโต ชาวโรมันจึงมีสำนวนว่า “ไม่มีสิ่งไหนที่มีประโยชน์มากเท่ากับดวงอาทิตย์และเกลือ” (Nil utilius sole et sale) เพราะหากไม่มีดวงอาทิตย์ เราจะไม่เห็นแสงสี ความสวยงาม และการเปลี่ยนแปลงในชีวิต หากไม่มีเกลืออาหารจะเน่าเสียและขาดรสชาติไป

พระเยซูเจ้าทรงใช้ภาพพจน์ของ “เกลือ” และ “แสงสว่าง” ซึ่งชาวยิวทั่วไปในสมัยของพระองค์คุ้นเคยและเข้าใจดีเพื่อสอนศิษย์ของพระองค์ พระวรสารตอนนี้เป็นตอนที่ต่อจากคำเทศนาบนภูเขาเรื่อง “บุญลาภ” ที่เราได้ฟังในสัปดาห์ที่ผ่านมา พระองค์ต้องการบอกผู้ที่เป็นศิษย์ของพระองค์ให้เจริญชีวิตแบบบุญลาภในแต่ละวัน คริสตชนมีพันธกิจในการนำคำสอนของพระเยซูเจ้าไปปฏิบัติ นั่นคือ การเป็นเกลือดองแผ่นดินและแสงสว่างส่องโลก

1. เกลือดองแผ่นดิน

เมื่อพระเยซูเจ้าทรงใช้ภาพพจน์ของ “เกลือ” พระองค์ต้องการหมายถึงการดำเนินชีวิตอย่างมีคุณค่าและเป็นแบบอย่างที่ควรแก่การยกย่อง ดังนั้น เมื่อพระองค์ตรัสว่า “ท่านทั้งหลายเป็นเกลือดองแผ่นดิน” จึงเป็นการเน้นให้เห็นคุณค่าและประโยชน์ที่ศิษย์ของพระองค์พึงตระหนักอยู่เสมอ เกลือมีคุณสมบัติที่เป็นประโยชน์หลายอย่าง

ประการแรก ทำให้บริสุทธิ์ ชาวโรมันถือว่าเกลือเป็นสิ่งที่บริสุทธิ์มากกว่าสิ่งอื่นทั้งหลาย เนื่องจากเป็นผลผลิตที่ผ่านความร้อนของแสงอาทิตย์ ที่แผดเผาน้ำทะเลให้เหือดแห้งจนเหลือเพียงเกลือที่บริสุทธิ์ ดังนั้น ชาวโรมันจึงใช้เกลือเป็นเครื่องบูชาเทพเจ้า เมื่อพระเยซูเจ้าทรงใช้ภาพพจน์ของเกลือ พระองค์ทรงต้องการให้ผู้ติดตามพระองค์และคริสตชนเป็นต้นแบบของความบริสุทธิ์ ดุจดังเกลือ

ประการที่สอง ถนอมอาหาร ผู้คนตั้งแต่โบราณกาลใช้เกลือในการถนอมอาหารมิให้เน่าเสียหรือป้องกันมิให้อาหารเสื่อมสภาพ สามารถเก็บรักษาไว้ได้นาน ในห้วงเวลาที่ยังไม่มีตู้เย็น เกลือเป็นสิ่งที่มีค่ามาก ดังนั้น ผู้ติดตามพระคริสตเจ้า จะต้องมีคุณสมบัติเหมือนกับเกลือ ที่การเจริญชีวิตและการปรากฏตัวของพวกเขาจะต้องช่วยกระตุ้นคนอื่นให้มีใจร้อนรนในความรักของพระเจ้าเสมอ

ประการที่สาม เพิ่มรสชาติ อาหารที่ขาดเกลือเหมือนขาดรสชาติ เกลือจึงทำให้อาหารมีรสดียิ่งขึ้น จิตตารมณ์ของพระเยซูเจ้าทำให้ชีวิตคริสตชนมีชีวิตชีวา ถ้าเกลือจืดเสียแล้วจะกลายเป็นสิ่งไร้ค่า เช่นเดียวกับชีวิตคริสตชนที่ไม่ได้ดำเนินชีวิตตามคุณค่าพระวรสาร ดังนั้น ผู้เป็นศิษย์ติดตามพระคริสตเจ้าจึงถูกเรียกร้องให้เป็นเกลือดองแผ่นดิน ที่นำความมีชีวิตชีวา ความกระตือรือร้น และความบริสุทธิ์มาสู่ครอบครัว สังคม หรือหมู่คณะที่เราอยู่

2. แสงสว่างส่องโลก

ภาพพจน์เรื่อง “แสงสว่าง” พบบ่อยมากในพระคัมภีร์ ในพระวรสารวันนี้พระเยซูเจ้าได้อธิบายให้เห็นภาพพจน์ของ “เมืองที่ตั้งบนภูเขา” ไม่สามารถปิดบังได้ ในสมัยโบราณมักสร้างเมืองบนเขา เพื่อจะได้มองเห็นศัตรูจากระยะไกลและสามารถป้องกันได้ง่าย นอกนั้นยังตรัสถึง “ตะเกียงที่ใช้จุดภายในบ้าน” เมื่อจุดแล้วย่อมตั้งไว้บนเชิงตะเกียงเพื่อส่องสว่างแก่ทุกคนในบ้าน มิใช่เอาถังครอบไว้

เมื่อพระเยซูเจ้าตรัสว่า “ท่านเป็นแสงสว่างส่องโลก” พระองค์หมายความว่าเราจะต้องเป็นแหล่งพลังสำหรับคนอื่น เราจะต้องฉายแสงเพื่อให้คนอื่นได้เห็นกิจการดีในตัวเรา หน้าที่ของแสงอาทิตย์หรือแสงสว่างมีหลายอย่าง

ประการแรก ส่องสว่าง ช่วยขจัดความมืดให้หมดสิ้นไปและทำให้เกิดความสว่าง พระเยซูเจ้าต้องการให้ผู้ติดตามพระองค์และคริสตชนมีชีวิตที่ศักดิ์สิทธิ์ เพื่อนำคนอื่นให้มาพบพระเจ้า เป็นเหมือนประภาคารที่ไม่จำเป็นต้องส่งเสียงให้ใครได้ยิน เพียงแต่ส่องสว่างให้ผู้เดินทางได้เห็น ชีวิตของคริสตชนต้องส่องสว่างให้คนอื่นได้เห็นกิจการดีที่เรากระทำ

ประการที่สอง นำทาง ช่วยให้คนอื่นได้มองเห็นทางและเดินตรงไปยังเป้าหมายอย่างปลอดภัย ข่าวดีแห่งพระวรสารและการเป็นคริสตชนจึงมิใช่การเก็บไว้กับตัวเองหรืออยู่โดยลำพัง แต่จะต้องประกาศบนดาดฟ้าหลังคาเรือน เพื่อแสดงให้ทุกคนได้เห็นถึงการประทับอยู่ของพระเจ้า

ประการที่สาม เตือนภัย ช่วยเตือนให้ผู้เดินทางได้รู้ถึงอันตรายข้างหน้า คริสตชนจึงต้องเป็นเหมือนสัญญาณไฟที่เตือนให้ทราบถึงอันตรายที่จะเกิดขึ้น ดังนั้น จึงต้องมีลักษณะของการเป็นผู้นำ ที่ร้อนรนไม่มีความกลัวใดๆ เพื่อเราจะได้เป็นต้นแบบและเตือนผู้อื่นให้เดินในหนทางที่ถูกต้อง

พระเยซูเจ้าทรงต้องการให้เราเป็นทั้งเกลือและแสงสว่าง คุณสมบัติของเกลือคือความเค็ม ไม่มีวันที่เกลือจะสูญเสียความเค็ม นั่นหมายความว่า เราคริสตชนไม่สามารถหยุดทำกิจการดีได้ มิฉะนั้นเราไม่คู่ควรที่จะได้ชื่อว่าเป็นคริสตชน เช่นเดียวกับแสงสว่างที่มีหน้าที่ต้องส่องสว่าง นั่นคือ ฉายแสงให้คนอื่นได้เห็นแสงสว่างขององค์พระคริสตเจ้า ให้ความสว่างแก่ทุกคนในบ้านให้สามารถมองเห็นทุกสิ่งได้

บทสรุป

พี่น้องที่รัก พระเยซูเจ้าไม่ได้บอกเราว่า “ท่านสามารถเป็นเกลือและแสงสว่างได้” แต่พระองค์ตรัสกับเราอย่างชัดเจนว่า “ท่านเป็นเกลือและเป็นแสงสว่าง” ดังนั้น เราจะต้องดำเนินชีวิตเป็นพยานถึงองค์พระคริสตเจ้า ฉายแสงเพื่อนำความสว่างไปสู่ชีวิตของผู้อื่น ช่วยให้พวกเขามีชีวิตชีวา มีคุณค่าและความชื่นชมยินดี “แสงสว่างของท่านต้องส่องแสงต่อหน้ามนุษย์ เพื่อให้คนทั้งหลายได้เห็นกิจการดีของท่าน และสรรเสริญพระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์” (มธ 5:16)

ให้เราดูชีวิตของคุณแม่เทเรซาแห่งกัลกัตตา ที่สละชีวิตที่สะดวกสบายในยุโรป เพื่อมาทำงานกับคนที่ยากจนที่สุดในอินเดีย แม่เทเรซาไม่ได้ทำสิ่งนี้เพื่อเป็นตัวอย่างสำหรับผู้อื่น แต่เพื่อปฏิบัติตามคำแนะนำของพระเยซูเจ้าที่ว่า “ให้ท่านทั้งหลายรักกัน เหมือนอย่างที่เรารักท่าน” (ยน 15:12) สิ่งที่แม่เทเรซาทำจึงเป็นการทำให้ความเชื่อเกิดผลในภาคปฏิบัติ นั่นคือ “ความรักที่มีต่อกันและกัน” และความรักนี้ได้กลายเป็นเกลือดองแผ่นดินและแสงสว่างส่องโลก

ดังนั้น ชีวิตของเรา สิ่งที่เราทำ และวิธีการที่เราใช้ จะต้องเป็นที่มาแห่งแสงสว่าง และมีความหมายสำหรับผู้อื่น กิจการที่เรากระทำจะต้องเป็นเครื่องหมายที่มองเห็นได้แห่งการประทับอยู่ของพระเจ้าในโลก คริสตชนจะต้องโดดเด่นต่อหน้าผู้อื่นผ่านทางการกระทำและชีวิตของเรา เป็นต้น ในความรักต่อกัน การให้อภัยซึ่งกันและกันด้วยใจกว้าง ความเห็นอกเห็นใจกัน ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และแบ่งปันสิ่งที่เรามีแก่ผู้อื่น เช่นนี้เอง เราถึงจะได้ชื่อว่าเป็น "เกลือดองแผ่นดินและแสงสว่างส่องโลก"
คุณพ่อขวัญ ถิ่นวัลย์
danielkhuan@hotmail.com
วัดพระคริสตประจักษ์ นาบัว
4 กุมภาพันธ์ 2011

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น