การประจักษ์พระวรกายของพระเยซูเจ้า
อาทิตย์
สัปดาห์ที่ 2 เทศกาลมหาพรต
ปี A
|
ปฐก 12:1-4ก
2 ทธ 1:8ข-10
มธ 17:1-9
|
บทนำ
มีเรื่องเล่าว่า คริสตชนคนหนึ่งได้เขียนจดหมายไปถึงบรรณาธิการนิตยสารคาทอลิกฉบับหนึ่ง
ซึ่งได้ตีพิมพ์จดหมายฉบับนี้ในคอลัมน์ “จดหมายจากผู้อ่าน”
เนื้อความพรรณนาถึงความรู้สึกผิดหวังจากการไปวัดวันอาทิตย์ เขาเขียนว่า “ผมไปวัดเป็นประจำทุกอาทิตย์เป็นเวลา
30
ปี ตลอดเวลาผมได้ฟังบทเทศน์มากกว่า 3,000 ครั้ง แต่ผมจำไม่ได้สักบทเดียว ดังนั้น ผมคิดว่าผมเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ และพระสงฆ์กำลังเสียเวลาในการเทศน์สอนเช่นกัน”
หนึ่งสัปดาห์ต่อมา
บรรณาธิการได้รับจดหมายจากผู้อ่านอีกฉบับเขียนว่า “ผมแต่งงานกับภรรยามาเป็นเวลา
30 ปี ตลอดช่วงเวลาดังกล่าวภรรยาได้ทำอาหารให้ผมรับประทานมากกว่า 32,000
ครั้ง ผมจำเมนูอาหารไม่ได้ซักอย่าง
แต่ผมรู้และแน่ใจได้ว่าอาหารเหล่านั้นได้หล่อเลี้ยงชีวิตผมและทำให้ผมมีกำลังในการทำงาน
หากไม่ได้อาหารของภรรยา ผมคงลำบาก สุขภาพแย่และตายในที่สุด” การมาวัดวันอาทิตย์เช่นกัน
พระวาจาของพระเจ้าและการเทศน์สอนได้หล่อเลี้ยงชีวิตฝ่ายจิตของเราให้เติบโตและเข้มแข็ง
พระวาจาของพระเจ้าวันนี้เชื้อเชิญเราให้ร่วมมือกับพระจิตเจ้า ในการเปลี่ยนแปลงชีวิตของตน
ด้วยการฟื้นฟูชีวิตฝ่ายจิตตลอดเทศกาลมหาพรตนี้ และรับแสงแห่งหรรษทานขององค์พระเจ้าที่ได้ประจักษ์พระวรกายแก่บรรดาอัครสาวกทั้งสาม
เพื่อเตือนใจเราว่า หนทางแห่งไม้กางเขนนำไปสู่การกลับคืนพระชนมชีพและชีวิตนิรันดร
อันเป็นความมุ่งหมายของเทศกาลมหาพรต
เราต้องผ่านหนทางแห่งไม้กางเขนก่อนได้รับแสงสว่าง (Per Crucem ad Lucem)
1.
การประจักษ์พระวรกายของพระเยซูเจ้า
พระวรสารวันนี้ ทำให้เราทราบเรื่องราวงดงามเกี่ยวกับการประจักษ์พระวรกายของพระเยซูเจ้า
มัทธิวบอกเราว่า พระเยซูเจ้าทรงพาสาวกที่ทรงรัก 3 คน ได้แก่ เปโตร ยากอบ และยอห์น
ขึ้นไปบนภูเขาสูงแยกจากคนอื่นและทรงประจักษ์พระวรกายให้พวกเขาได้เห็น
พระพักตร์ของพระองค์ส่องประกายเจิดเจ้าเหมือนดวงอาทิตย์และฉลองพระองค์ขาววาววับ โมเสสและประกาศกเอลิยาห์ได้ปรากฏมาสนทนา
เกี่ยวกับพระทรมานและการสิ้นพระชนม์ของพระองค์
นี่เป็นช่วงเวลาพิเศษสำหรับพระเยซูเจ้า เพราะพระองค์กำลังเสด็จไปกรุงเยรูซาเล็มเพื่อรับทรมานและสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน
ทรงต้องการทำให้ศิษย์ของพระองค์เกิดความมั่นใจและมีความเข้มแข็ง
ทำให้พวกเขาได้ทราบถึงความเป็นบุตรพระเจ้าของพระองค์ ผ่านทางพระสุระเสียงของพระบิดาเจ้าที่ตรัสว่า
“ท่านผู้นี้เป็นบุตรสุดที่รักของเรา เราพึงพอใจยิ่งนัก จงฟังท่านเถิด” (มธ 17:5) ซึ่งเป็นพระดำรัสเดียวกันที่ตรัสขณะรับพิธีล้างจากยอห์นบัปติสต์ ก่อนเริ่มพันธกิจของพระองค์
การที่พระพักตร์ของพระเยซูเจ้าเปล่งรัศมีดุจดวงอาทิตย์ และฉลองพระองค์ขาววาววับ
แสดงให้เห็นว่า พระองค์ทรงเป็นแสงสว่างแท้จริงที่ส่องสว่างแก่มนุษย์ทุกคน
อีกทั้งเป็นการบอกล่วงหน้าถึงการกลับคืนพระชนมชีพและครองราชย์นิรันดรของพระองค์ ในฐานะพระเจ้าและกษัตริย์แห่งสากลจักรวาล
การปรากฏมาของโมเสสผู้รับมอบบทบัญญัติจากพระเจ้า
และเอลิยาห์ประกาศกผู้ยิ่งใหญ่ของอิสราเอล เป็นตัวแทนของธรรมบัญญัติและธรรมประเพณี
ที่รับรองการกระทำของพระเยซูเจ้าและสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับพระองค์
2. บทเรียนสำหรับเรา
พระวาจาของพระเจ้าวันนี้ได้ให้บทเรียนสำคัญสำหรับเราหลายประการ
ในการนำไปปฏิบัติในชีวิตประจำวัน
ประการแรก จงอธิษฐานภาวนา
พระเยซูเจ้าทรงพาสาวกสามคนขึ้นบนภูเขาเพื่ออธิษฐานภาวนา การอธิษฐานภาวนาทำให้เราทราบถึงแผนการของพระเจ้าสำหรับเรา
ความรักของพระบิดาเจ้าคือบ่อเกิดแห่งความยินดีและความเข้มแข็งของเรา
ทำให้เราเข้าใจพระวาจาของพระเจ้าได้ดียิ่งขึ้น รวมถึงพระประสงค์ของพระองค์ที่ทรงเรียกเราแต่ละคนสู่ความศักดิ์สิทธิ์
เพื่อร่วมส่วนในพระสิริรุ่งโรจน์ที่พระองค์ทรงเผยแสดงให้เห็น
ประการที่สอง “จงฟังท่านเถิด” ให้เราทำตามพระสุระเสียงของพระพระบิดาเจ้าที่ตรัสกับสาวกทั้งสามคนบนภูเขา
“จงฟังท่านเถิด” การฟังพระเยซูเจ้าคือการฟังสิ่งที่พระองค์ตรัส
พระเจ้าตรัสกับเราหลายวิธีด้วยกัน
ผ่านทางพระวาจาที่เราได้ฟังและคำสอนของพระศาสนจักร ชีวิตของเราต้องมุ่งแสวงหาและปฏิบัติตามแผนการและพระประสงค์ของพระเจ้า
มิใช่น้ำใจของเรา
ประการที่สาม “จงลุกขึ้นเถิด
อย่ากลัวเลย” พระเยซูเจ้าทรงปลุกสาวกทั้งสามให้ตื่นจากภวังค์และเผชิญกับความเป็นจริงแห่งชีวิตคือ
การลงจากภูเขา การมาวัดในแต่ละสัปดาห์ ไม่เพียงเป็นเวลาแห่งความสุขที่เราได้ฟังพระวาจาของพระเจ้าและได้รับพระองค์ในศีลมหาสนิท
แต่เราต้องนำพระองค์กลับออกไปในชีวิตประจำวัน ให้พระองค์นำทางเราและมองเห็นการประทับอยู่ของพระองค์ในเพื่อนมนุษย์ที่เราพบ
บทสรุป
พี่น้องที่รัก เราได้ฟังพระดำรัสของพระบิดาเจ้าสวรรค์ที่ตรัสกับเราว่า พระเยซูเจ้าคือบุตรสุดที่รักของพระองค์
เราต้องฟังพระองค์เพราะพระองค์มีพระวาจาทรงชีวิต และทรงรับพระสิริรุ่งโรจน์ผ่านทาง
“หนทางแห่งไม้กางเขน” ศิษย์พระคริสต์ทุกคนต้องยอมรับหนทางแห่งไม้กางเขนเป็นหนทางชีวิตของตน
ผ่านกางเขนเพื่อได้รับเกียรติรุ่งโรจน์ ให้เราได้น้อมรับความยากลำบากต่าง ๆ
ในชีวิต และมองเห็นการประทับอยู่ของพระเจ้าในโลก
ไม้กางเขนคือ แบบอย่างแห่งความรักและการมอบชีวิตเพื่อไถ่บาปมนุษย์ทั้งหลาย
คริสตชนไม่เพียงเดินรูป 14 ภาคทุกวันศุกร์เท่านั้น แต่ต้องแบกกางเขนของตนและเดินตามรูปแบบชีวิตพระเยซูเจ้าบนไม้กางเขนทุกวันตลอดชีวิตของเรา
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในความรักและการให้อภัยเพื่อนมนุษย์ด้วยใจกว้าง เพราะนี่คือการดำเนินชีวิตคริสตชนแท้บนหนทางแห่งไม้กางเขนที่พระเยซูเจ้าทรงมอบแก่เรา
ซึ่งพระศาสนจักรเรียกร้องเป็นพิเศษในเทศกาลมหาพรตนี้ ขวัญ ถิ่นวัลย์, เทศกาลมหาพรต 40 วันแห่งการฟื้นฟูชีวิตคริสตชน, (สกลนคร : สมศักดิ์การพิมพ์ กรุ๊ป, 2561), หน้า 38-41.
ภาพ : การประจักษ์พระวรกาย, วัดแห่งการประจักษ์พระวรกาย, ภูเขาทาบอร์, กาลิลี, อิสราเอล; 2018-4-23
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น