วันศุกร์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2554

สิทธิพิเศษของมนุษย์


 สิทธิพิเศษของมนุษย์ 

วันอาทิตย์
สัปดาห์ที่ 27 เทศกาลธรรมดา
ปี A
อสย 5:1-7
ฟป 4:6-9
มธ 21:33-43

บทนำ

วันหยุดวันหนึ่งพี่น้องสองคนได้ไปทำงานเก็บไข่ในฟาร์ม คนพี่เกิดนึกสนุกจึงพูดกับน้องชายว่า “พี่จะให้เงินแกห้าสิบบาท หากแกยอมให้พี่ตีไข่ที่หน้าผากสามฟอง” น้องคนเล็กทราบดีว่าหากทำเช่นนั้นคงเจ็บปวดและเปรอะเปื้อน แต่ด้วยความอยากได้เงินห้าสิบบาทจึงยอมตามข้อเสนอของพี่ชาย เมื่อพี่ชายใช้ไข่ฟองแรกตีที่หน้าผากเขารู้สึกเจ็บ จากนั้นพี่ชายได้ใช้ไข่ใบที่สองตีที่หน้าผากอีก เขารู้สึกเจ็บปวดยิ่งกว่าครั้งแรก แต่กัดฟันยอมทนเพื่อเงินห้าสิบบาทและบอกให้พี่ชายตีไข่ใบสุดท้าย แต่พี่ชายหัวเราะและเดินจากไป พร้อมกับบอกน้องว่า “พอแค่นี้แหละ แกจะได้ไม่เจ็บตัวเพิ่มและพี่ก็ไม่ต้องเสียเงินห้าสิบบาท”

เรื่องราวของพี่น้องสองคนนี้ฟังดูเป็นเรื่องขบขัน แต่สะท้อนความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในสังคม นั่นคือ การบิดพลิ้วไม่ถือตามสัญญา ไม่รักษาสัจจะหรือขาดความรับผิดชอบ  มีผู้คนจำนวนมากที่ดำเนินชีวิตเหมือนพี่คนโตเอารัดเอาเปรียบคนอื่น เอาเปรียบสังคมหรือแม้แต่พระเจ้า เช่นเดียวกับคำอุปมาเรื่องคนเช่าสวนชั่วร้าย ที่แสวงหาประโยชน์และเอาเปรียบเจ้าของสวน ไม่ยอมจ่ายค่าเช่าหรือผลตอบแทนที่ควรได้แก่เจ้าของสวน ซ้ำยังจับคนใช้ที่เจ้าของสวนใช้มาทุบตีและฆ่าเสีย ไม่เว้นแม้บุตรชายของเจ้าของสวน

การทำสวนองุ่นเป็นวิธีดำรงชีพธรรมดาทั่วไปในดินแดนปาเลสไตน์ แต่สถานการณ์และความยากลำบากในปาเลสไตน์สมัยนั้น (ไม่ต่างจากปัจจุบันเท่าใดนัก) ทำให้เจ้าของที่ดินไปหาที่อยู่ ณ ดินแดนใหม่ที่สงบสุขมากกว่า โดยปล่อยให้คนเช่าสวนทำประโยชน์และตนเองคอยเก็บค่าเช่า ซึ่งอาจกำหนดเป็นตัวเงินหรือส่วนแบ่งพืชผลที่เก็บได้ตามแต่จะตกลงกัน เหตุการณ์ที่กล่าวถึงในคำอุปมาจึงเป็นไปได้ว่า คนเช่าสวนไม่ยอมจ่ายค่าเช่า ทุบตีและฆ่าผู้แทนเจ้าของสวนด้วยวิธีรุนแรง เพื่อยึดที่ดินมาเป็นกรรมสิทธิ์ของตน

1.  สิทธิพิเศษของมนุษย์

คำอุปมาเรื่องคนเช่าสวนที่ชั่วร้าย เป็นการเล่าเรื่องคนที่ได้รับเลือกให้เป็นผู้ดูแลสวนองุ่น ที่ปฏิบัติไม่ดีต่อคนใช้ของเจ้าของสวน และในต้อนท้ายถึงกับฆ่าลูกชายของเจ้าของ นับเป็นเหตุการณ์ปกติทั่วไปที่เกิดขึ้นในสมัยของพระเยซูเจ้า ซึ่งผู้ฟังต่างเข้าใจสาระสำคัญของเรื่องนี้อย่างชัดแจ้ง สวนองุ่นหมายถึงชนชาติอิสราแอล เจ้าของสวนคือพระเจ้า ผู้เช่าสวนคือพวกมหาสมณะและผู้ปกครอง คนใช้ที่ถูกส่งมาคือบรรดาประกาศกที่พระเจ้าทรงส่งมา ส่วนบุตรคือพระเยซูเจ้า

คำอุปมานี้บอกให้เราทราบถึง “สิทธิพิเศษของมนุษย์” มัทธิวได้ให้รายละเอียดว่าเจ้าของสวนได้ทำสิ่งที่จำเป็นทุกอย่างสำหรับสวนองุ่น ทำรั้วล้อมป้องกันสัตว์ร้าย สร้างบ่อย่ำองุ่นซึ่งเป็นบ่อหินขุดลึกลงไปในดินเพื่อจะได้ย่ำและสกัดน้ำองุ่น นอกจากนี้ยังสร้างหอเฝ้าเพื่อป้องกันโจรผู้ร้าย (มธ 21:33) นั่นหมายความว่า พระเจ้าได้ทำทุกอย่างสำหรับชนชาติอิสราแอลเพื่อเตรียมพวกเขาให้รู้จักพระบุตรที่จะเสด็จมา แต่พวกเขาได้กระทำความผิดและปฏิเสธพระองค์ สิทธิพิเศษนี้จึงถูกเพิกถอนและมอบให้กับคนต่างชาติ

เราในฐานะคริสตชนได้รับสิทธิพิเศษของการเป็นบุตรพระเจ้า เราทุกคนเป็นลูกของพระบิดาองค์เดียวกัน มีคุณค่าและศักดิ์ศรีเท่าเสมอกันต่อหน้าพระเจ้า การเดินทางไปแดนไกลของเจ้าของสวนคือ เครื่องหมายว่าพระเจ้าทรงมอบหมายงานและความรับผิดชอบให้แก่เราด้วยความเชื่อใจ ดังนั้น เราจึงมีอิสรภาพที่จะร่วมมือกับพระเจ้าหรือต่อต้านพระองค์ และมีอิสระในการเลือกว่าจะทำหรือไม่ทำก็ได้ นี่คือสิทธิพิเศษที่มนุษย์ได้รับ

นอกนั้น คำอุปมานี้ยังแสดงให้เห็นถึง “ความอดทนของพระเจ้า” ที่มีต่อความผิดพลาดของมนุษย์ เจ้าของสวนองุ่นได้ให้โอกาสคนเช่าสวนครั้งแล้วครั้งเล่า ด้วยหวังว่าเขาจะปรับปรุงตัวเองเสียใหม่ พระเจ้าได้ให้โอกาสทุกคนเท่าเทียมกัน ไม่ทรงลงโทษใครในทันที แต่ทรงให้เวลาและรอคอยด้วยหวังว่าเขาจะกลับใจเปลี่ยนแปลงชีวิต หันกลับมาหาพระองค์อีกครั้งหนึ่ง ความอดทนของพระเจ้าจึงเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์ ในทางกลับกัน หากพระเจ้าทรงเป็นมนุษย์และทรงกระทำอย่างมนุษย์ โลกและมนุษย์คงถูกทำลายย่อยยับไปนานแล้ว

2.  บทเรียนสำหรับเรา

คำอุปมาเรื่องคนเช่าสวนที่ชั่วร้ายในพระวรสาร ได้ให้บทเรียนที่สำคัญสำหรับเราคริสตชนในการดำเนินชีวิตหลายประการ

ประการแรก จงรับผิดชอบต่อสิทธิพิเศษที่พระเจ้าทรงประทานให้ การเป็นคริสตชนไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นแผนการของพระเจ้าตั้งแต่เริ่มแรก อาณาจักรของพระเจ้าถูกมอบหมายให้เราดูแลด้วยความไว้วางใจ เราควรใช้สิทธิพิเศษแห่งการเป็นบุตรพระเจ้าที่เราได้รับด้วยความรับผิดชอบ ดำเนินชีวิตด้วยสำนึกในความรักอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าทุกวัน มิฉะนั้นแล้ว สิทธิพิเศษนี้จะถูกมอบแก่คนอื่น

ประการที่สอง จงอดทนต่อความผิดของกันและกัน เมื่อพระเจ้าทรงอดทนและให้โอกาสเราแต่ละคนครั้งแล้วครั้งเล่า  เราจึงต้องอดทนต่อความผิดบกพร่องของกันและกัน ไม่พิพากษาหรือตัดสินคนอื่นโดยเบาความ แต่ปฏิบัติต่อกันด้วยความรักและให้โอกาสคนที่หลงผิดให้ได้กลับตัวกลับใจ เป็นต้นในครอบครัว สังคมและหมู่คณะของเรา หินที่ช่างก่อสร้างขว้างทิ้ง อาจกลายเป็นศิลาหัวมุม เหมือนอย่างพระเยซูเจ้าที่เป็นศิลาหัวมุมของพระศาสนจักร ที่ทำให้พระศาสนจักรเติบโตและมั่นคง

ประการที่สาม จงทำให้เกิดผล เราเป็นคนงานในสวนองุ่นของพระเจ้า มิใช่เจ้าของสวน เราจึงไม่มีอะไรที่จะต้องโอ้อวดหรือภาคภูมิใจ เราต้องใช้โอกาสและพระพรมากมายที่ได้รับจากพระเจ้าในแต่ละวันให้เกิดผล นั่นคือ การทำตามหน้าที่ของตนเองอย่างเต็มที่ ไม่เอารัดเอาเปรียบหรือแสวงหาประโยชน์ส่วนตน จนลืมนึกถึงความรักต่อเพื่อนพี่น้อง

บทสรุป

พี่น้องที่รัก เราเป็นประชากรของพระเจ้า เป็นคนงานในสวนองุ่นของพระองค์ ซึ่งพระองค์ทรงคาดหวังให้เราเกิดผลที่ยั่งยืน ทุกอาทิตย์เราได้รับการเชื้อเชิญให้มารอบโต๊ะศักดิ์สิทธิ์ เพื่อฟังพระวาจาของพระองค์และนำไปปฏิบัติในชีวิตประจำวัน เราได้รับการเรียกให้เป็นหนึ่งเดียวกับกลุ่มคริสตชนและพระศาสนจักร ผ่านทางพระกายทิพย์ของพระคริสตเจ้าที่เราได้รับ

เราได้รับสิทธิพิเศษผ่านทางศีลล้างบาปให้มาทำงานในสวนองุ่นของพระเจ้า ซึ่งสิทธิพิเศษนี้มาพร้อมกับความรับผิดชอบเสมอ ดังนั้น เราจึงต้องรับผิดชอบต่องานและหน้าที่ต่างๆ ที่ได้รับมอบหมาย และตระหนักว่าเราไม่ได้ทำงานโดยลำพัง พระเยซูเจ้า ผู้เป็นศิลาหัวมุมของพระศาสนจักร พร้อมยื่นมือออกช่วยเหลือให้บังเกิดผลสมบูรณ์ ขอเพียงเราตระหนึกถึงการประทับอยู่และร่วมมือกับพระหรรษทานของพระองค์
คุณพ่อขวัญ ถิ่นวัลย์
danielkhuan@hotmail.com
วัดพระคริสตประจักษ์ นาบัว
30 กันยายน 2011

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น