วันเสาร์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ความเมตตากรุณาของพระเจ้า


ความเมตตากรุณาของพระเจ้า

วันอาทิตย์
สัปดาห์ที่ 10 เทศกาลธรรมดา
ปี C
1 พกศ 17:17-24
กท 1:11-19
ลก 7:11-17

บทนำ

เด็กหญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งได้ไปที่บ้านเพื่อนของเธอที่เสียชีวิตซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก เมื่อกลับมาถึงบ้านคุณพ่อได้ถามเธอว่า “ทำไมลูกไปที่บ้านคนตายละ” เธอตอบว่า “หนูไปให้กำลังใจแม่ของเพื่อน ที่เพิ่งสูญเสียลูกชาย” คุณพ่อถามต่อไปด้วยความฉงนว่า “อย่างลูกนี่จะให้กำลังใจแม่ของเขาได้อย่างไร” เด็กหญิงตอบประสาซื่อว่า “หนูก็คลานไปนั่งบนตักของเธอและร้องไห้กับเธอ”

ความเศร้าโศกเสียใจและความผิดหวังเป็นส่วนหนึ่งแห่งชีวิตของเรามนุษย์ ในความเป็นจริงเราไม่อยากให้ปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้นในชีวิตเรา แต่ก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ สุภาษิตจีนจึงสอนเราว่า “เราไม่สามารถห้ามนกแสกบินข้ามหัวเราได้ แต่เราสามารถป้องกันไม่ให้มันมาทำรังบนศีรษะของเราได้”

หัวเรื่องของบทอ่านวันนี้แสดงให้เห็นว่า พระเจ้าทรงเอาพระทัยใส่ในความทุกข์โศกเศร้าของเรามนุษย์ พระองค์ทรงแสดงความเห็นอกเห็นใจในความน่าสงสารของเรา และทรงยื่นพระหัตถ์สัมผัสเราเพื่อเยียวยารักษา บทอ่านวันนี้ได้ท้าทายเราให้กลายเป็นท่อธารแห่งความเมตตากรุณาของพระเจ้าในชีวิตประจำวัน เพื่อช่วยคนที่กำลังอยู่ในความทุกข์โศกเศร้า ได้พบกับความรัก ความหวังและความบรรเทาใจ

1.     ความเมตตากรุณาของพระเจ้า

ในสังคมชาวยิวมีกลุ่มคนสามประเภทที่น่าสงสารคือ คนต่างด้าว หญิงม่าย และลูกกำพร้า หญิงม่ายในสังคมชาวยิวไม่เหมือนหญิงสมัยใหม่ในยุคของเรา ที่สามารถทำงานหาเลี้ยงตัวเองได้ แต่ในสังคมชาวยิวผู้หญิงขึ้นอยู่กับสามีทุกอย่าง ทั้งเรื่องเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ เมื่อเธอสูญเสียสามีจึงหมายถึงการสูญเสียความมั่นคงในชีวิตทุกอย่าง ดังนั้น ในหนังสือเฉลยธรรมบัญญัติจึงบอกว่า “เมื่อท่านเกี่ยวข้าวในนาของท่าน และลืมฟ่อนข้าวไว้ในนาฟ่อนหนึ่ง อย่ากลับไปเอาเลย ให้เป็นของคนต่างด้าว ลูกกำพร้าและแม่ม่าย...” (ฉลธ 24:19-22)

เรื่องราวของหญิงม่ายที่เมืองนาอินในพระวรสาร เธอได้สูญเสียสามีและยังมาสูญเสียบุตรชายคนเดียวอีกด้วย เธอจึงเป็นบุคคลที่น่าสงสารที่สุด พระเยซูเจ้าทรงมองเห็นน้ำตาของหญิงม่ายคนนั้น ซึ่งเป็นภาพล่วงหน้าของพระมารดาของพระองค์ ณ แทบเชิงกางเขน ความรู้สึกสงสารจากส่วนลึกของหัวใจทำให้พระองค์ตรัสกับนางว่า “อย่าร้องไห้ไปเลย” ซึ่งเป็นการให้กำลังใจและปลอบโยนคนที่กำลังเป็นทุกข์ และให้ความหวังคนที่กำลังสิ้นหวัง

นักบุญลูกาได้แสดงให้เห็นว่า พระเยซูเจ้าทรงเป็นบุคคลที่มีความรู้สึกและเห็นอกเห็นใจคนอื่นอย่างลึกซึ้ง ทรงรู้สึกเสียใจกับหญิงม่ายและทรงเอาพระทัยใส่ในความทุกข์ระทมที่เธอกำลังเผชิญอยู่ ทรงบรรเทาใจเธอด้วยการคืนชีวิตแก่บุตรชายคนเดียวของเธอ “หนุ่มเอ๋ย เราบอกเจ้าว่าจงลุกขึ้นเถิด” และทรงมอบคืนแก่เธอ การสัมผัสของพระองค์ไม่เพียงทำให้ชีวิตของบุตรชายหญิงม่ายคืนมา แต่ได้นำอิสรภาพและความครบครันมาสู่วิญญาณและร่างกายเขา พระองค์ไม่เพียงมีความเมตตาสงสาร แต่ยังได้แสดงออกให้เห็นในกิจการ

2.     บทเรียนสำหรับเรา

พระวาจาของพระเจ้าในวันนี้ ได้ให้บทเรียนที่สำคัญสำหรับเราคริสตชนในการนำไปปฏิบัติในชีวิตประจำวัน

ประการแรก เราต้องเป็นท่อธารแห่งความเมตตากรุณาของพระเจ้า ความรักและความเมตตาสงสารของพระเยซูเจ้าต่อคนที่กำลังทุกข์โศกเศร้า ได้แสดงออกให้เห็นในกิจการ เราจะต้องช่วยให้คนที่กำลังหัวใจแตกสลายได้มีประสบการณ์การประทับอยู่ของพระเจ้า และเจริญชีวิตเลียนแบบพระองค์ทั้งในคำพูดและกิจการ เพื่อช่วยทุกคนที่กำลังทุกข์โศกได้มีกำลังใจ ได้รับการปลอบโยนและพบความหวังในชีวิต

ประการที่สอง เราต้องฟื้นฟูชีวิตฝ่ายจิตของเรา เรื่องราวของหญิงม่ายที่เมืองนาอิน ช่วยเราให้มองไปที่สถานการณ์แห่งชีวิตของเราว่าจะเจริญชีวิตอย่างไร หากปล่อยตัวในบาปหนัก นั่นแสดงว่าเรากำลังปล่อยให้ชีวิตฝ่ายจิตของเราตาย เราจะต้องฟื้นฟูชีวิตฝ่ายจิตของเราให้กลับคืนมาผ่านทางศีลอภัยบาป นักบุญเอากุสตินกล่าวว่า “พระศาสนจักรมารดาของเราจะชื่นชมยินดีเสมอ เมื่อเราได้รับการยกขึ้นอีกครั้งทางศีลศักดิ์สิทธิ์”

ประการสุดท้าย เราต้องมอบปัญหาทุกอย่างไว้กับพระเยซูเจ้า เราไม่อาจหลีกเลี่ยงความเลวร้ายในโลกได้ แต่เราสามารถภาวนาและวางใจในพระเจ้าได้เสมอ เพื่อให้พระองค์เปลี่ยนสถานการณ์ที่เลวร้ายในชีวิตของเรา ทรงเยียวยารักษาดวงใจที่บอบช้ำและทำให้เราเข้มแข็ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผ่านทางศีลมหาสนิทในพิธีบูชาขอบพระคุณทุกวันอาทิตย์ที่เรามาร่วม เพื่อเราจะได้รับการหล่อเลี้ยงและเติบโตยิ่งขึ้นในชีวิตคริสตชน

บทสรุป

พี่น้องที่รัก หญิงม่ายที่เมืองนาอินกำลังอยู่ในสภาพที่สิ้นหวัง เธอไม่ได้ร้องขอการอัศจรรย์จากพระเยซูเจ้า แต่พระเยซูเจ้าทรงล่วงรู้ถึงความทุกข์ระทมที่อยู่ในส่วนลึกของหัวใจเธอ ดวงพระหฤทัยของพระองค์เต็มเปี่ยมไปด้วยความเมตตากรุณา ความปรารถนาแต่อย่างเดียวของพระองค์คือเพื่อช่วยมนุษย์ให้รอด และบอกเราถึงท่าทีแห่งความเห็นอกเห็นใจที่พึงมีต่อคนที่กำลังเดือดร้อนและทุกข์ระทม

เราจะต้องเป็นเครื่องมือที่แสดงให้เห็นถึง พระทัยเมตตากรุณาของพระเจ้าทุกวันในชีวิตของเรา เพื่อช่วยคนที่กำลังอยู่ในความทุกข์โศกเศร้า สิ้นหวังและหมดกำลังใจ ซึ่งมีอยู่ทั่วไปในสังคมและทุกยุคทุกสมัย ให้ได้พบกับความรัก ความหวังและความบรรเทาใจ เป็นต้นในครอบครัว  สังคม หมู่คณะและหมู่บ้านของเรา

คุณพ่อขวัญ ถิ่นวัลย์
danielkhuan@hotmail.com
โรงเรียนเซนต์ยอแซฟกุฉินารายณ์
08 มิถุนายน 2013

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น