วันเสาร์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2556

อิตาลีรำลึก2


 
2.     โรม อมตะนคร

กรุงโรม (Roma) ได้รับการเรียกขานว่าเป็น “อมตะนคร” หรือนครที่ไม่มีวันตาย เนื่องจากเป็นศูนย์กลางแห่งอารยธรรม ศิลปวัฒนธรรมและการปกครองของอาณาจักรโรมันในอดีต ในห้วงเวลาที่โรมันเรืองอำนาจ กรุงโรมคือมหาอำนาจและศูนย์กลางของโลก จึงเป็นที่มาของสำนวนที่ว่า “ถนนทุกสายมุ่งสู่กรุงโรม” (Tutte le strade portano a Roma) โดยเฉพาะในยุคของจูลิอุส เชซาร์   (Julius Caesar: 100 BC-44 BC) ซึ่งอาณาจักรโรมันยิ่งใหญ่ถึงขีดสุด ครอบครองทวีปยุโรป แอฟริกาตอนเหนือและแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียนทั้งหมด ถึงขนาดที่เชซาร์ได้กล่าวอมตะวาจาเอาไว้ว่า “VENI, VIDI, VICI: ข้ามา ข้าเห็น ข้าชนะ”  
 อนุสรณ์สถานแห่งชาติและสุสานทหารนิรนามสัญลักษณ์ของอิตาลียุคใหม่

ปัจจุบันอาจได้ยินการอ้างอิงคำพูดของเชซาร์ว่า “VENI, VIDI, CREDI: ข้ามา ข้าเห็น ข้าเชื่อ” ซึ่งเป็นมุมมองของผู้ที่มีความเชื่อ เนื่องจากอมตะนครแห่งนี้เต็มไปด้วยสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อาทิ พระธาตุนักบุญ รูปเคารพ สักการสถานและวิหารที่ผู้คนเคารพศรัทธา กรุงโรมจึงได้ชื่อว่าเป็นนครแห่งความเชื่อ ส่วนจะเป็นอย่างที่บางคนพูดว่า ที่เต็มไปด้วยความเชื่อเพราะบรรดาผู้แสวงบุญและนักท่องเที่ยวทิ้งมันเอาไว้หรือเปล่า ย่อมขึ้นอยู่กับมุมมองและพื้นฐานความเชื่อของแต่ละคน
 รูปปั้นจักรพรรดิเชซาร์บนถนนบริเวณซากอาณาจักรโรมันโบราณที่เรียกว่า "โรมันโฟรั่ม"
นอกนั้น กรุงโรมยังเป็นสวรรค์ของนักเดินทางและนักแสวงโชค จึงมีผู้คนมากมายจากทุกมุมโลกเดินทางมาเพื่อชื่นชมผลงานชิ้นโบว์แดงของบรรดาศิลปินเอกของโลก ที่ได้ฝากผลงานชั้นเยี่ยมมากมายไว้ตามโบสถ์วิหาร หัวมุมถนน สะพานและลานสาธารณะ มีอีกเป็นจำนวนมากที่เดินทางมาเพื่อชีวิตที่ดีกว่า กรุงโรมและเมืองต่างๆ ทั่วอิตาลีจึงเต็มไปด้วยคนทุกประเภท อีกทั้งเป็นที่รวมของมิจฉาชีพทุกรูปแบบ สิ่งที่พึงระวังเป็นพิเศษคือ “การล้วงกระเป๋า” อย่าได้นำเอกสารสำคัญและของมีค่าติดตัวไปเป็นอันขาด เพราะท่านอาจตกเป็นเหยื่อได้ หากระวังตัวอย่างดีแล้วยังเจอดีเข้าจนได้ก็อย่าได้แปลกใจ เพราะนั่นแสดงว่า “ท่านได้มาถึงกรุงโรมแล้ว”
 กรุงโรมปัจจุบันได้กลายเป็นสวรรค์ของนักเดินทางและนักแสวงโชค

3.     นครรัฐวาติกัน

นครรัฐวาติกัน (Città del Vaticano หรือ The Holy See) เป็นศูนย์กลางของคริสต์ศาสนา นิกายโรมันคาทอลิก เป็นรัฐอิสระเล็กๆ ตั้งอยู่ใจกลางกรุงโรมบนเนินวาติกัน ซึ่งแต่เดิมเป็นที่ตั้งของสนามกีฬาคาลิโกลา (Caligola) สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 33 ตามพระนามของจักรพรรพิคาลิโกลา นักบุญเปโตรถูกประหารด้วยการตรึงกางเขนกลับหัวบนเนินแห่งนี้ และถูกฝังไว้ในบริเวณซึ่งเป็นที่ตั้งของมหาวิหารนักบุญเปโตรในปัจจุบัน รัฐเล็กๆ แต่มีความสำคัญแห่งนี้มีพระสันตะปาปาเป็นผู้ปกครอง ไม่มีกองทัพ มีแต่ทหารอารักขาที่รู้จักกันในชื่อ “กองทหารสวิส” (Swiss Guards) ซึ่งมีชื่อเสียงในเรื่องความมีระเบียบวินัยและความจงรักภักดี และได้ทำหน้าที่อารักขาพระสันตะปาปามาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1506
 นครรัฐวาติกัน รััฐเล็กๆ ใจกลางกรุงโรม ศูนย์กลางของคริสตศาสนานิกายโรมันคาทอลิก
รัฐวาติกันเกิดขึ้นเป็นทางการในปี ค.ศ. 1929 มีอาณาเขตประมาณ 0.44 ตารางกิโลเมตร ประชากร 832 คน  (ข้อมูลปี 2011) อย่างไรก็ตาม รัฐวาติกันยังคงมีอาณาเขตพิเศษเป็นของตนด้วย เช่น มหาวิหารสำคัญๆ ในกรุงโรม อาคารและที่ดินบางแห่งในกรุงโรม ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1960 เป็นต้นมารัฐบาลอิตาลีได้ลงนามที่จะปกป้องรักษาดินแดนแห่งนี้เป็นพิเศษ เนื่องจากเป็นที่ประทับของสมเด็จพระสันตะปาปา ซึ่งคริสตชนให้ความเคารพรักในฐานะที่เป็น บิดาผู้ศักดิ์สิทธิ์(Santo Padre) และเมื่อพระองค์ทรงสอนในเรื่อง “ความเชื่อ” และ “ศีลธรรม” ที่เรียกว่า Ex Cathedra ถือเป็นคำสอนที่ไม่รู้จักผิดพลาด เป็นข้อความเชื่อที่เราต้องเชื่อ
 เยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์วาติกัน แหล่งรวมศิลปะวิทยาการจากทุกมุมโลก
พิพิธภัณฑ์วาติกัน (Musei Vaticani) คือเครื่องบ่งบอกถึงอำนาจและความยิ่งใหญ่ของพระศาสนจักรในอดีต เพราะในพิพิธภัณฑ์วาติกันเต็มไปด้วยสิ่งที่หาค่ามิได้ ไม่ว่าจะเป็นรูปวาด รูปปั้นและรูปแกะสลัก ซึ่งเป็นผลงานของศิลปินต่างยุคต่างสมัยที่นำมาจากที่ต่างๆ ทั่วโลก ผู้ที่รักงานศิลปะ โบราณคดีและประวัติศาสตร์ไม่ว่าจะเป็นยุดใดสามารถศึกษาได้ในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ ภายในยังมีพิพิธภัณฑ์ย่อยหลายแห่ง โดยเรียกตามถิ่นที่มา เช่น พิพิธภัณฑ์อียิปต์ พิพิธภัณฑ์เอทรูสกัน มีห้องแสดงภาพ (Galleria) อยู่หลายแห่ง และเมื่อเดือนกันยายน ค.ศ. 2007 ได้เปิดพิพิธภัณฑ์ย่อยอีก 2 แห่ง ได้แก่ พิพิธภัณฑ์แสตมป์และพิพิธภัณฑ์เหรียญกษาปณ์
 ผู้ที่รักงานศิลปะ โบราณคดีและประวัติศาสตร์ต้องไม่พลาดเข้าเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์แห่งนี้
วัดน้อยซิสติน (Cappella Sistina) ถือเป็นเป้าหมายสำคัญของการเข้าชมพิพิธภัณฑ์วาติกันที่จะพลาดไม่ได้ เพราะมีภาพวาดบนเพดานผลงานชั้นยอดของไมเกิ้ล อันเจโล (Michelangelo: 1475-1564) และเป็นสถานที่ที่บรรดาพระคาร์ดินัลที่มีสิทธิเลือกพระสันตะปาปา (อายุไม่เกิน 80 ปี) ใช้ประชุมเพื่อเลือกตั้งพระสันตะปาปาที่เรียกว่า Conclave แปลว่า ประชุมภายในห้องที่ใส่กุญแจ (ประชุมลับจนกว่าจะได้ผู้ดำรงตำแหน่งพระสันตะปาปา) ทำให้โบสถ์แห่งนี้มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก โบสถ์แห่งนี้สร้างขึ้นตามขนาดของพระวิหารที่กรุงเยรูซาเล็มที่กษัตริย์ซาโลมอนทรงสร้างในพันธสัญญาเก่า (ยาว 134 ฟุต กว้าง 44 ฟุต และสูง 68 ฟุต) 
 วัดน้อยซีสตินที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลกและเป็นที่ประชุมเลือกพระสันตะปาปา

พระสันตะปาปา จูลีอุส ที่ 2 (ค.ศ. 1503-1513) ซึ่งชื่นชอบการก่อสร้างและงานศิลปะได้เชิญไมเกิ้ล อันเจโล ปติมากรหนุ่มที่มีชื่อเสียงด้านการแกะสลักให้มาจับพู่กันวาดภาพซึ่งเขาไม่เคยทำมาก่อน แต่ไมเกิ้ล อันเจโลได้รังสรรค์ผลงานชั้นเยี่ยมบนเพดานของโบสถ์ซิสตินอย่างวิจิตรบรรจง โดยจินตนาการจากเรื่องราวใน 11 บทแรกของหนังสือปฐมกาล ประกอบด้วยภาพต่างๆ กว่า 300 ภาพ แบ่งออกเป็นสามส่วนคือ การสร้างโลกของพระเจ้า การสร้างมนุษย์และความตกต่ำของมนุษย์ และเรื่องราวของโนอาห์และน้ำท่วมโลก เขาใช้เวลาวาดอยู่นานถึง 4 ปีจึงแล้วเสร็จ (ค.ศ. 1508-1512)
ภาพการพิพากษาครั้งสุดท้าย ผลงานชิ้นโบว์แดงของไมเกิ้ลอันเจโล
 
นอกนั้น ภายในโบสถ์ซิสตินยังมีผลงานของจิตรกรระดับโลกอีกหลายคน แต่ที่เป็นผลงานชิ้นโบว์แดงคือภาพวาด การพิพากษาครั้งสุดท้าย บนผนังโบสถ์เหนือแท่นบูชาของไมเกิ้ล อันเจโล ซึ่งเป็นภาพที่แสดงถึงการเสด็จมาครั้งที่สองของพระเยซูเจ้าเพื่อพิพากษาโลก ทั้งผู้เป็นและผู้ตายตามความเชื่อ ภาพนี้จึงเต็มไปด้วยความหมายและความเชื่อของคริสตศาสนา ไมเกิ้ล อันเจโลวาดภาพชิ้นเอกนี้ในสมัยพระสันตะปาปา เปาโล ที่ 3 ระหว่างปี ค.ศ. 1536-1541 ใช้เวลาในการวาดภาพขนาดยักษ์นี้ 5 ปี คือหลังการวาดภาพบนเพดาน 20 ปี
 ภาพวาดบนเพดานผลงานของไมเกิ้ล อันเจโลและบันไดก้นหอยลงจากพิพิธภัณฑ์
มีเรื่องเล่าว่า พระคาร์ดินัลที่ควบคุมงานจิตกรรมนี้รู้สึกไม่พอใจที่ไมเกิ้ล อันเจโลทำงานอย่างล่าช้า จึงไปฟ้องพระสันตะปาปา ไมเกิ้ล อันเจโลโกรธมากจึงได้วาดรูปใบหน้าของพระคาร์ดินัลองค์นี้เป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่อยู่ในนรก เมื่อพระคาร์ดินัลมาตรวจความก้าวหน้าของการวาดภาพอีกครั้ง ได้เห็นรูปตนเองอยู่ในนรกจึงโกรธและได้นำเรื่องไปฟ้องพระสันตะปาปาอีกครั้ง เพื่อขอให้ทรงรับสั่งให้แก้ไขภาพใหม่ แต่พระสันตะปาปาได้ตรัสกับพระคาร์ดินัลองค์นั้นว่า “หากตัวท่านอยู่ในนรกอย่างที่บอกจริง คงไม่มีใครสามารถช่วยท่านได้แล้วละ แม้แต่ตัวเราเอง” พระคาร์ดินัลองค์นั้นจึงกลับไปด้วยความเศร้า
 จัตุรัสสาธารณะรัฐ (Piazza della repubblica) ยามค่ำคืน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น