การกลับคืนพระชนมชีพของพระเยซูเจ้า
ในสายตาของศิษย์ที่ทรงรัก
ยอห์น บทที่ 20 (สมโภชปัสกา) |
ยน 20:1-31 |
บทนำ
ปิรามิดแห่งอียิปต์ถือเป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกที่ทุกคนรู้จักดี
แต่ในความเป็นจริง ปิรามิดคือสุสานขนาดใหญ่ที่ใช้ฝังร่างของกษัตริย์ฟาโรห์แห่งอียิปต์ในลักษณะแบบมัมมี
เช่นเดียวกับสุสานเวสมินสเตอร์แห่งอังกฤษ
ที่ใช้ฝังร่างของบุคคลที่มีชื่อเสียงอย่างนักเขียน นักปรัชญา และนักการเมือง
มีผู้คนและนักท่องเที่ยวจำนวนมากไปเยี่ยมชม เพื่อคารวะหลุมศพของบุคคลที่พวกเขาเคารพนับถือ
ต่างจากวิหารสุสานศักดิ์สิทธิ์แห่งเยรูซาเล็ม
ซึ่งผู้แสวงบุญจากทั่วโลกพากันไปคารวะหลุมศพว่างเปล่า ที่มีเพียงข้อความสั้น ๆ
ตรงทางเข้าว่า “พระองค์ไม่ได้อยู่ที่นี่” สิ่งที่ทำให้สุสานแห่งนี้มีชื่อเสียงเพราะเชื่อกันว่า
ครั้งหนึ่งสุสานแห่งนี้เคยฝังพระศพของพระเยซูเจ้า เมื่อพระองค์ทรงกลับคืนพระชนมชีพคูหาจึงว่างเปล่า
พระองค์ได้ทรงกระทำอัศจรรย์ยิ่งใหญ่ ทรงฝืนกฎธรรมชาติและพิสูจน์ว่า พระองค์เป็นพระเจ้า
ปัสกาคือการสมโภชการกลับคืนพระชนมชีพของพระเยซูเจ้า
เป็นเหตุการณ์สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ของโลก ปัสกาเป็นการฉลองสำคัญและยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับคริสตชน
ด้วยเหตุผลที่ว่า :
1) การกลับคืนพระชนมชีพของพระเยซูเจ้าเป็นความเชื่อพื้นฐานของเราคริสตชน ถือเป็นศูนย์กลางของพิธีกรรมและการฉลองทั้งหมดตลอดปี
ความเชื่อ ความหวังและความหมายแห่งชีวิตคริสตชนอยู่ที่การกลับคืนพระชนมชีพนี้
ดังที่นักบุญเปาโลเขียนเอาไว้ว่า “ถ้าพระคริสตเจ้ามิได้ทรงกลับคืนพระชนมชีพ การเทศน์สอนของเราก็ไร้ประโยชน์
และความเชื่อของท่านก็ไร้ประโยชน์เช่นเดียวกัน” (1 คร 15:14)
2)
ปัสกาเป็นหลักประกันแห่งการกลับคืนชีพของเรา พระเยซูเจ้าได้ให้ความมั่นใจกับมาร์ธา ณ ที่ฝังศพของลาซารัสว่า “เราเป็นการกลับคืนชีพและเป็นชีวิต ใครเชื่อในเรา
แม้ตายไปแล้วก็จะมีชีวิต และทุกคนที่มีชีวิตและเชื่อในเราจะไม่มีวันตายเลย...” (ยน 11:25-26) อีกทั้งเป็นการฉลองที่ให้ความหวังและกำลังใจในโลกที่เจ็บปวดและโศกเศร้า
เพราะพระเยซูเจ้าทรงกลับคืนพระชนมชีพและประทับท่ามกลางเรา
1.
การกลับคืนพระชนมชีพของพระเยซูเจ้า
พระธรรมล้ำลึกปัสกาจะไม่มีความหมายและเป็นจริง
หากพระเยซูเจ้าผู้ได้สิ้นพระชม์มิได้กลับคืนพระชนมชีพ พระเจ้าทรงเป็นองค์ความรัก
ความตายไม่อาจหยุดยั้งความรักของพระองค์ได้ และการกลับคืนพระชนมชีพเป็นชัยชนะเหนือความตาย
1.1
พระคูหาว่างเปล่า
(ยน 20:1-10)
วันต้นสัปดาห์หมายถึงวันขององค์พระผู้เป็นเจ้า
หรือวันอาทิตย์ของคริสตชน พระเยซูเจ้าทรงเป็นรุ่งอรุณใหม่แห่งชีวิต
มารีย์ชาวมักดาลาศิษย์ใกล้ชิด ติดตาม และรักพระเยซูเจ้าได้ออกไปที่พระคูหาขณะที่ยังมืด
เห็นหินที่ปิดพระคูหาเคลื่อนออกไป ความตายที่โอบรัดพระเยซูเจ้าถูกเปิดออก นางจึงวิ่งไปหาซีโมนเปโตรและศิษย์ที่พระเยซูเจ้าทรงรัก
“เขานำองค์พระผู้เป็นเจ้าไปจากพระคูหาแล้ว
พวกเราไม่รู้ว่าเขานำพระองค์ไปไว้ที่ไหน” (ยน 20:2) ใช้สรรพนาม “พวกเรา” ขณะที่มารีย์พูดคนเดียว
นักบุญยอห์นแสดงให้เห็นว่า มารีย์ชาวมักดาลาเป็นตัวแทนของประชากรอิสราเอล
หรือพระศาสนจักรกำลังรอคอยพระเยซูเจ้าผู้กลับคืนพระชนมชีพ จึงใช้คำว่า “พวกเรา”
เปโตรกับศิษย์ที่ทรงรักวิ่งไปด้วยกัน “แต่ศิษย์คนนั้นวิ่งเร็วกว่าเปโตร
จึงมาถึงพระคูหาก่อน” (ยน 20:4) เราพบคำว่า “วิ่ง” สามครั้ง การวิ่งไปหาพระเยซูเจ้าผู้กลับคืนพระชนมชีพ
เราต้องเป็นหมู่คณะ หรือพระศาสนจักรที่กระตือรือร้น วิ่งไปด้วยกันสู่พระเยซูเจ้าผู้กลับคืนพระชนมชีพ
ทำไมศิษย์ที่ทรงรักมาถึงก่อน
ก้มลงมองเห็นผ้าพันพระศพ แต่ไม่ได้เข้าไปข้างใน เปโตรเป็นเสาหลักแห่งความเชื่อ ส่วนยอห์นเป็นตัวแทนแห่งความรัก
ไม่แปลกที่ความรักจะวิ่งเร็วกว่าความเชื่อ การวิ่งของพระศาสนจักรเป็นการวิ่งของความรัก
บนหลักประกันแห่งความเชื่อที่มั่นคง
เปโตรเมื่อมาถึงพระคูหาได้เข้าไปข้างในเห็นผ้าพันพระศพวางอยู่ที่พื้น
และผ้าพันพระเศียรพับแยกไว้ต่างหาก (ดู ยน 20:6-7) แสดงว่า ไม่มีการขโมยพระศพ ตามที่ชาวยิวเล่าขาน ผ้าพันพระเศียรถูกพับแยกไว้ แสดงว่า ไม่มีการเร่งรีบ ยอห์นได้เข้าไปข้างในด้วย
“เขาได้เห็นและมีความเชื่อ” (ยน 20:8) หลักฐานสำคัญคือพระคูหาว่างเปล่า
1.2
พระเยซูเจ้าทรงแสดงพระองค์แก่มารีย์ชาวมักดาลา
(ยน 20:11-18)
นักบุญยอห์นทำให้เราทราบว่า มารีย์ชาวมักดาลาเป็นศิษย์ที่รักและซื่อสัตย์ต่อพระเยซูเจ้าที่สุด
เธอติดตามพระองค์ไปทุกที่ก่อนสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนและถูกฝังที่พระคูหา
ความรักเป็นพลังผลักดันให้เธอรีบรุดไปที่พระคูหาเพื่อชโลมพระศพ มีเพียงสิ่งเดียวที่เธอแสวงหาและต้องการที่สุดคือพระเยซูเจ้า มารีย์เป็นเครื่องหมายของพระศาสนจักรที่แสวงหาพระเยซูเจ้า
กระตือรือร้นและว่องไว เราได้รักและแสวงหาพระเยซูเจ้ามากเพียงใดในชีวิต
โดยเฉพาะในคนทุกข์จนและคนชายขอบของสังคม
มารีย์ชาวมักดาลาเสียใจร้องไห้เมื่อพบพระคูหาว่างเปล่า
มารีย์เป็นตัวแทนของพระศาสนจักรที่โหยหาพระเยซูเจ้า มารีย์เห็นทูตสวรรค์สององค์ตรงที่วางพระศพ
องค์หนึ่งนั่งอยู่เบื้องพระเศียรและองค์หนึ่งเบื้องพระบาท นักบุญยอห์นบอกให้ทราบว่า
พระเยซูเจ้าทรงกลับคืนพระชนมชีพจริง ๆ มารีย์เห็นพระเยซูเจ้าแต่ไม่รู้ว่าเป็นพระองค์
(ยน 20:14) ไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะเมื่อกลับคืนพระชนมชีพพระเยซูเจ้าทรงอยู่ในสภาพใหม่
ศิษย์สองคนที่เอมาอูสเป็นเช่นเดียวกัน จำพระองค์ไม่ได้ มาจำได้ตอนพระองค์บิขนมปัง
แม้พระเยซูเจ้าทรงสนทนาด้วย
มารีย์ยังจำพระองค์ไม่ได้ คิดว่าเป็นคนสวน เราไม่สามารถเห็นอะไรได้ชัดเจนขณะกำลังร้องไห้
หรืออยู่ในความทุกข์ กระทั่งพระเยซูเจ้าตรัสเรียกชื่อ “มารีย์” มารีย์จำได้ทันที พระวรสารนักบุญยอห์น
บทที่ 10 บอกเราว่า พระเยซูเจ้าเป็นผู้เลี้ยงแกะที่ดี จำชื่อมารีย์ได้ และมารีย์ก็จำพระองค์ได้ทันที และทูลพระองค์ว่า “รับโบนี” เป็นคำเรียกอาจารย์ที่สง่ากว่าคำว่า “รับบี”
มักใช้เมื่อกราบทูลพระเจ้าและประกาศยืนยันความเชื่ออย่างโทมัส (ยน 20:28)
พระเยซูเจ้าตรัสกับมารีย์ว่า “อย่าหน่วงเหนี่ยวเราไว้เลย เพราะเรายังไม่ได้ขึ้นไปเฝ้าพระบิดา
แต่จงไปหาพี่น้องของเรา” (ยน 20:17) นักบุญยอห์นได้ประกาศว่า ศิษย์ของพระเยซูเจ้าเป็นพี่น้องของพระองค์
ใครที่มีความเชื่อในพระเยซูเจ้าเป็นพี่น้องของพระองค์ นี่เป็นธรรมล้ำลึกเกี่ยวกับพระศาสนจักร (Ecclesiology) เราทุกคนกลายเป็นพี่น้องของพระเยซูเจ้าและเป็นพี่น้องกัน
นี่คือแก่นแท้ของพระศาสนจักร
พระดำรัสที่ว่า “เรากำลังขึ้นไปเฝ้าพระบิดาของเรา และพระบิดาของท่านทั้งหลาย” บอกให้เราทราบว่า ทุกคนเป็นลูกของพระบิดาเจ้าองค์เดียวกัน และยังตรัสอีกว่า “ไปเฝ้าพระเจ้าของเรา
และพระเจ้าของท่านทั้งหลาย” (ยน 20:17) นี่เป็นการประกาศว่า พระเจ้าของพระเยซูเจ้าทรงเป็นพระเจ้าของเรา
นี่เป็นสัจธรรมสามประการที่นักบุญยอห์นบอกให้เราทราบ
ได้แก่ 1) ทุกคนเป็นพี่น้องกัน 2)
ทุกคนเป็นลูกของพระบิดาเจ้าองค์เดียวกัน และ 3) ทุกคนมีพระเจ้าองค์เดียวกัน เรื่องราวของมารีย์ชาวมักดาลาทำให้เราตระหนักว่า
ต้องแสวงหาพระเยซูเจ้า เปิดตาใจของตน
และเชื่อในพระองค์ เพื่อจำพระองค์ได้ในคนต่ำต้อยและต้องการความช่วยเหลือ
1.3
พระเยซูเจ้าทรงแสดงพระองค์กับบรรดาศิษย์ (ยน 20:19-23)
บรรดาศิษย์ยังอยู่ในบรรยากาศของความวิตกและหวาดกลัว
พวกเขาชุมนุมกันในห้องที่ปิดประตูแน่นหนาเพราะกลัวชาวยิว
ท่ามกลางความสับสนพระเยซูเจ้าเสด็จเข้ามาประทับยืนอยู่ตรงกลางแม้ว่าประตูปิด
และตรัสกับเขาทั้งหลายว่า “สันติสุขจงสถิตอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด” (ยน 20:19) เป็นคำทักทายแบบชาวยิว
“Shalom” นักบุญยอห์นเปิดเผยว่า พระวาจา หรือพระวจนาตถ์คือคำตอบ พระวาจาคือชีวิตและความรอด พระเยซูเจ้าทรงเป็นพระวจนาตถ์ แสงสว่าง และสันติสุขผ่านทางพระวาจาที่พระองค์ตรัส
บรรดาศิษย์พบสันติสุขเมื่อพระเยซูเจ้าประทับอยู่ท่ามกลาง หากมีพระเยซูเจ้าประทับอยู่ ที่นั่นมีสันติสุข ชีวิตที่มีพระเจ้าคือชีวิตที่มีสันติสุข พระองค์ทรงให้บรรดาศิษย์ดูรอยแผลที่พระหัตถ์และสีข้าง
รอยแผลเหล่านี้สะท้อนความรักมนุษย์หาที่สุดมิได้จนยอมสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน
ทรงชนะความตายอย่างเด็ดขาด เป็นรอยระลึกที่บอกให้ทราบว่า
พระองค์ทรงเป็นองค์เดียวกันที่พวกเขาต้องจดจำความรักของพระองค์ตลอดไป
พระเยซูเจ้าทรงมอบพันธกิจแก่บรรดาศิษย์ “พระบิดาทรงส่งเรามาฉันใด เราก็ส่งท่านทั้งหลายไปฉันนั้น” (ยน 20:21) การส่ง หรือการมอบเป็นเครื่องหมายของสันติสุขและความรักที่พระเจ้าประทานให้
จากนั้นทรงเป่าลมเหนือบรรดาศิษย์เป็นสัญลักษณ์ของการมอบพระจิตเจ้า
พระเจ้าไม่เคยห่างจากมนุษย์ โดยเฉพาะพระจิตเจ้าที่มีบทบาทสำคัญ
ทำให้พระศาสนจักรเติบโต
สิ่งที่ทำให้เรามีสันติสุขแท้คือการให้อภัย “ท่านทั้งหลายอภัยบาปของผู้ใด บาปของผู้นั้นก็ได้รับการอภัย
ท่านทั้งหลายไม่อภัยบาปของผู้ใด บาปของผู้นั้นก็ไม่ได้รับการอภัยด้วย” (ยน 20:24) การให้อภัยเป็นอำนาจเดียวที่พระเยซูเจ้าทรงมอบให้กับบรรดาศิษย์
พระศาสนจักรมีอำนาจยิ่งใหญ่นี้ การให้อภัยจึงเป็นชัยชนะเหนือตนเอง ความโกรธ
ความเกลียดชัง น้ำใจตนเอง และก่อให้เกิดสันติสุข เพราะการให้อภัยเป็นผลที่มาจากความรัก “ไม่ให้อภัยไม่ได้ไปสวรรค์”
1.4
ความเชื่อและการประกาศความเชื่อของโทมัส
(ยน 20:24-29)
นักบุญโทมัสเป็นเครื่องหมายของความสงสัย
ความกระตือรือร้น และความกล้าหาญเด็ดเดี่ยว
โทมัสไม่ได้อยู่เมื่อพระเยซูเจ้าเสด็จมา บ่อยครั้งความเชื่อสัมพันธ์กับการสัมผัส “ถ้าข้าพเจ้าไม่ได้เห็นรอยตะปูที่พระหัตถ์
และไม่ได้เอานิ้วแยงเข้าไปที่รอยตะปู
และไม่ได้เอามือคลำที่ด้านข้างพระวรกายของพระองค์ ข้าพเจ้าจะไม่เชื่อเป็นอันขาด” (ยน 20:25)
แปดวันต่อมา
พระเยซูเจ้าเสด็จเข้ามาประทับยืนอยู่ตรงกลาง และตรัสเป็นครั้งที่สาม “สันติสุขจงสถิตอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด” (ยน 20:26)
ถ้ามีพระเยซูเจ้าต้องมีสันติสุข เครื่องหมายยืนยันความเชื่อของเราคือความสุขของคนรอบข้าง บนไม้กางเขนแม้พระเยซูเจ้าทรงสิ้นพระชนม์
แต่สันติสุขได้ปรากฏบนแผ่นดิน ชีวิตคริสตชนหากมีพระเยซูเจ้า
ต้องมีสันติสุข เราต้องนำสันติสุขไปสู่ผู้อื่น นำความแตกแยกไม่ได้
พระเยซูเจ้าตรัสกับโทมัสว่า “จงเอานิ้วมาที่นี่และดูมือของเรา จงเอามือมาที่นี่คลำที่สีข้างของเรา
อย่าสงสัยอีกต่อไป จงเชื่อเถิด” (ยน 20:27) นี่เป็นการเรียกให้มาสัมผัสประสบการณ์พระทรมานของพระเยซูเจ้า
เราสามารถสัมผัสพระเยซูเจ้าได้ผ่านทางพระวาจา การอธิษฐานภาวนา การร่วมพิธีกรรม และการรับศีลศักดิ์สิทธิ์
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในธรรมล้ำลึกปัสกา
ที่สุด โทมัสได้ประกาศความเชื่อว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้า และพระเจ้าของข้าพเจ้า” (ยน 20:28) เป็นคำสารภาพเมื่อได้รู้จักพระเยซูเจ้า
เป็นการประกาศความเชื่อในพระเยซูเจ้า ผู้เป็นพระเจ้าและเจ้านายสูงสุดแห่งชีวิตของเรา
(My Lord and My God) ยอมศิโรราบให้กับองค์ความดีสูงสุด
ความจริงยิ่งใหญ่ ความรักหาที่สุดมิได้ ผู้ทรงรักเราถึงเพียงนี้
และคำสารภาพนี้ได้นำมาใช้ในพิธีบูชาขอบพระคุณ
พระเยซูเจ้าได้ตรัสกับโทมัสว่า “ท่านเชื่อเพราะได้เห็นเรา ผู้ที่เชื่อแม้ไม่ได้เห็นก็เป็นสุข” (ยน 20:29) เป็นเหมือนบุญลาภ
“ความสุขแท้แก่ผู้ที่เชื่อ แม้ไม่เห็น” นักบุญยอห์นได้แสดงให้เห็นว่า ความสงสัยของโทมัสเป็นแบบอย่างของคนแสวงหาความจริงและมีประสบการณ์ด้วยตนเอง
คริสตชนแม้ไม่ได้เห็นพระองค์ด้วยตา แต่เชื่อเพราะสิ่งที่ได้ยิน อย่างที่นักบุญเปาโลบอก
“ความเชื่อมาจากการฟัง” (รม 10:17) และมีประสบการณ์ส่วนตัวกับพระองค์
ซึ่งนักบุญยอห์นได้พูดถึงตั้งแต่แรก “ผู้ที่เชื่อในพระนามของพระองค์ พระองค์ประทานอำนาจให้ผู้นั้นกลายเป็นบุตรของพระเจ้า” (ยน 1:12)
1.5
บทสรุปครั้งแรก (ยน 20:30-31)
ในบทสรุปครั้งแรกได้ย้ำว่า
พระเยซูเจ้าทรงกระทำเครื่องหมายหลายประการ แต่ไม่ได้บันทึกไว้
พระวรสารนักบุญยอห์นเป็นพระวรสารแห่งเครื่องหมาย
จุดประสงค์ที่บันทึกไว้คือท่านทั้งหลายจะได้เชื่อในพระเยซูเจ้าว่า 1) เป็นพระคริสต์เจ้า
ผู้รับเจิมและผู้ช่วยให้รอด และ 2) เป็นพระบุตรของพระเจ้า
เจ้านายสูงสุด นี่คือจุดประสงค์สำคัญของนักบุญยอห์น ซึ่งเป็นสองประการที่จำเป็นสำหรับการได้รับความรอด
1.6
ข่าวดีแห่งการกลับคืนพระชนมชีพ
พระเยซูเจ้าทรงกลับคืนพระชนมชีพแล้ว นี่คือ “ข่าวดีแห่งปัสกา” ที่เราเฉลิมฉลองในวันปัสกา ซึ่งมีแง่มุมที่น่าสนใจหลายประการ
ประการแรก พระเยซูเจ้าได้ทำนายล่วงหน้าถึงการกลับคืนพระชนมชีพของพระองค์ ถือเป็นเครื่องหมายที่บอกให้เราได้ทราบถึงความเป็นพระเจ้าของพระองค์
“จงทำลายพระวิหารนี้แล้วเราจะสร้างขึ้นใหม่ภายในสามวัน” (ยน 2:19)
ประการที่สอง ไม่มีศาสดาคนใดที่หลุมฝังศพว่างเปล่าเหมือนพระเยซูเจ้า เราได้เห็นการทำให้พระสัญญาของพระองค์บรรลุความสมบูรณ์บนไม้กางเขนและพระคูหาว่างเปล่า
“ถ้าพระคริสตเจ้ามิได้ทรงกลับคืนพระชนมชีพ
การเทศน์สอนของเราก็ไร้ประโยชน์ และความเชื่อของท่านก็ไร้ประโยชน์เช่นเดียวกัน” (1 คร 15:14)
ประการที่สาม พระเยซูเจ้าได้ปรากฏมาให้บรรดาศิษย์ได้เห็นหลายครั้ง นี่คือเครื่องพิสูจน์เรื่องการกลับคืนพระชนมชีพ พวกเขาได้เห็น เป็นพยาน และประกาศการกลับคืนพระชนมชีพของพระองค์ด้วยชีวิตของตน
2.
คำถามเพื่อการไตร่ตรอง
2.1
เราจะสะท้อนภาพพระเยซูเจ้าผู้กลับคืนพระชนมชีพอย่างไร
คริสตชนแต่ละคนได้รับการเรียกให้ฉายแสงแห่งความรัก
ความเมตตากรุณา ความเห็นอกเห็นใจ และการอุทิศตนรับใช้ตามแบบอย่างของพระเยซูเจ้า ดำเนินชีวิตเป็นพยานให้คนอื่นได้เห็นการประทับอยู่ของพระเยซูเจ้าผู้กลับคืนพระชนมชีพ
ทุกวันต้องเป็นวันปัสกาที่เราเป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูเจ้า ผู้กลับคืนพระชนมชีพ
2.2
เราจะเป็นผู้นำข่าวดีแห่งการกลับคืนพระชนมชีพไปสู่ผู้อื่นอย่างไร
เราต้องนำข่าวดีแห่งความรัก ความหวัง และสันติสุขที่พระเยซูเจ้านำมาไปสู่ผู้อื่นในทุกที่ที่เราอยู่
อีกทั้ง การกลับคืนพระชนมชีพของพระเยซูเจ้าต้องช่วยเราให้ยอมรับสิ่งต่าง ๆ บุคคล และความเป็นจริงแห่งชีวิตด้วยแสงสว่างใหม่
ความทุกข์ยากลำบากต่าง ๆ ที่เราได้รับ นำไปสู่การกลับคืนชีพและความชื่นชมยินดีพร้อมกับพระเยซูเจ้าเสมอ
บทสรุป
การกลับคืนพระชนมชีพของพระเยซูเจ้าเตือนใจเราว่า
เราได้รับมอบพันธกิจเช่นเดียวกับบรรดาอัครสาวกและมารีย์ชาวมักดาลา ในการนำข่าวดีแห่งการกลับคืนพระชนมชีพไปสู่ผู้อื่น
ดำเนินชีวิตในความรักต่อกันตามแบบอย่างพระองค์ เป็นพยานถึงข่าวดีด้วยชีวิตของตน
กลับใจเปลี่ยนแปลงตนเอง ละทิ้งชีวิตเก่า และตายต่อตัวเอง เพื่อกลับคืนชีพและมีชีวิตใหม่พร้อมกับพระองค์
ความเชื่อเรื่องการกลับคืนพระชนมชีพของพระเยซูเจ้า
ความรักในพระองค์ และความรักต่อเพื่อนมนุษย์ ต้องเป็นเหมือนตะเกียงส่องสว่างและนำบุคคลอื่นมาพบพระเยซูเจ้า
ศิษย์พระคริสต์ต้องนำข่าวดีแห่งการกลับคืนพระชนมชีพไปสู่ผู้อื่น
และแสดงออกให้เห็นในชีวิตของตน ในความรักไม่มีเงื่อนไข ความใจดีมีเมตตา
การให้อภัยไม่สิ้นสุด และการรับใช้ด้วยใจยินดี ขอให้เรามีความสุขในความเชื่อ
และเจริญชีวิตในพระนามของพระองค์
คุณพ่อขวัญ
ถิ่นวัลย์
https://dondaniele.blogspot.com/
วัดแม่พระแจกจ่ายพระหรรษทาน ดอนม่วย, สกลนคร
26 กุมภาพันธ์ 2020
ที่มาภาพ : https://scotscollege.org/christ-is-risen-alleluia-alleluia/
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น