วันพฤหัสบดีที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2557

กฎหมายมิใช่ตัวความยุติธรรม



กฎหมายมิใช่ตัวความยุติธรรม
เราคงเคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า “กินขี้หมาดีกว่าค้าความ” เป็นคำเปรียบเปรยที่สะท้อนให้เห็นถึงความคิดและทัศนคติของคนในสังคมที่มีต่อระบบยุติธรรม เพราะการที่ต้องเป็นคดีความฟ้องร้องขึ้นโรงขึ้นศาลนั้นเป็นเรื่องที่ไม่สนุกเลย นอกจากจะเสียเงิน เสียเวลา เสียโอกาสทำมาหาเลี้ยงชีพแล้ว ยังเสียสุขภาพจิตด้วย หากเลือกได้ บางคนอาจยอมกินอาจมดีกว่า
แต่ในความเป็นจริง มีคนอีกจำนวนไม่น้อยที่ไม่มีแม้แต่โอกาสเลือกด้วยซ้ำ พวกเขาไร้ทุกสิ่งที่เป็นปัจจัยอันเอื้อต่อการชนะคดีความ ไม่ว่าจะเป็นเงินทอง โอกาสและความรู้พื้นฐานด้านกฎหมาย ทำให้ตกเป็นเหยื่อของคนโลภและคนที่รู้ช่องกฎหมายมากกว่า นโยบายที่บอกว่า “จะทำให้ทุกคนเท่าเทียมกันทางกฎหมาย” จึงไม่มีวันเป็นจริงได้ในทางปฏิบัติ
อย่างกรณีของตายายคู่หนึ่งที่ลูกชายพามาขึ้นศาล คุณตาน่าจะอายุเกิน 80 ปี บุตรชายต้องพยุงเข้ามาในห้องพิจารณาคดีและไม่อยู่ในสภาพที่รับรู้รับฟังอะไรได้ ส่วนคุณยายอายุอ่อนวัยกว่า ยังพอเดินเหินและพูดจาได้ แต่หูไม่ค่อยได้ยินแล้ว ทั้งสองตกเป็นจำเลยเกี่ยวกับที่ดินที่ตนเองถือครองและทำกินมาแต่อ้อนแต่ออก
คุณยายยกมือท่วมหัวพูดจาด้วยภาษาถิ่นอีสาน “ข้าแต่ศาลผู้สูงสุด ขอได้ให้ความยุติธรรมแก่ผู้ข่าแน่เถิด พะยะคะ” พร้อมกับย้อนความหลังว่าเมื่อสิบกว่าปีก่อนยายมีความจำเป็นต้องใช้เงิน จึงได้ไว้วานคนที่ไว้ใจกันให้พาเอาที่ดินไปจำนองธนาคาร เขาได้ขอบัตรประชาชนขึ้นไปเปิดบัญชีธนาคารให้พร้อมกับเงินในบัญชี 5 หมื่นบาท ไม่นานหลังจากนั้น ที่ดิน 10 ไร่ผืนนั้นได้ตกเป็นของอีกคนหนึ่ง ที่ได้ฟ้องร้องให้ยายและครอบครัวย้ายออก ยายมั่นใจว่าที่ดินนี้เป็นของยายจึงไม่ได้ทำอะไร
ผู้พิพากษาได้แสดงคำสั่งศาลให้ยายได้เห็นว่า คดีนี้ถึงที่สุดแล้ว ศาลพิพากษาให้ยายย้ายออกตั้งแต่ปี 2546 เมื่อยายไม่ได้อุทธรณ์ภายในกำหนดเวลา คดีนี้จึงถึงที่สุด ยายต้องออกจากที่ดินสถานเดียว หากยายไม่ออกจะต้องถูกจับขัง แต่ยายก็ยืนยันว่าจะให้ยายออกไปไหน นี่เป็นที่ดินของยาย เขาโกงเอาของยายไป และขอความเมตตาจากศาลได้โปรดให้ความยุติธรรมกับยายด้วย ยายต้องดูแลตาและหลานอีก 4 คน
ผู้พิพากษาดูจะเห็นใจและเข้าใจถึงความอยุติธรรมที่ยายได้รับ แต่ไม่สามารถจะทำอะไรได้มากกว่าขอให้โจทก์ได้ให้เวลาแก่ยายในการย้ายออก ทนายฝ่ายโจทก์ได้เสนอให้โจทก์ให้เวลา 2 เดือน พร้อมค่ารื้อถอนบ้าน 2 หมื่นบาท แต่ยายยังยืนยันว่าไม่มีที่ไปแล้ว หลานอีก 4 คนจะให้ไปอยู่ไหน จึงต่อรองขอที่ดินให้ยายได้อยู่กับหลานและทำกิน 5 ไร่ เมื่อโจทก์ไม่ยอม เลยขอ 2 ไร่ โจทก์ยอมตามคำขอ แต่ยายต้องจ่ายค่าที่ดินไร่ละ 7.5 หมื่นบาท ที่สุด ยายได้ขอที่ดิน 1 ไร่เท่านั้น ตรงที่บ้านปลูกอยู่และทำกินเล็กๆ น้อย แต่ก็ไม่ได้รับตามที่ขอ
นี่คือเรื่องราวที่ได้รับรู้ ก่อนที่คดีความขอตนเองจะถูกหยิบยกขึ้นมาพิจารณา (คดีอาญา ฐานความผิด ขับรถโดยประมาทหรือน่าหวาดเสียว อันอาจเกิดอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สิน, การกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย และทรัพย์สินเสียหาย) ถึงตอนนี้เจ้าหน้าที่ได้มาใส่กุญแจมือ นี่เป็นครั้งแรกที่รับรู้และมีประสบการณ์ของการเป็นผู้ต้องหา ก่อนที่ผู้พิพากษาจะนัดตัดสินคดีในอีก 1 เดือน
จากนั้นได้ถูกควบคุมตัวพร้อมกุญแจมือไปยังห้องควบคุมตัว เจ้าหน้าที่ได้มาไขกุญแจมือ ก่อนจะนำตัวไปกรมคุมประพฤติเพื่อสืบเจาะข้อมูลประวัติทั้งหมดและเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ต้องรอเพราะเป็นเวลาพักเที่ยงพอดี จึงได้มาพักที่ห้องพักทนายและติดต่อเรื่องประกันตัว ซึ่งต้องหาหลักทรัพย์หรือเงินสดในวงเงิน 1.2 แสนบาทเพื่อประกันตัว หากไม่มีจะต้องถูกคุมขัง ได้เตรียมเงินมาบ้างแต่ไม่นึกว่าจะมากอย่างนี้ จึงได้ติดต่อขอให้สัตบุรุษวัดมุกดาหารได้นำเงินสดมาประกันตัว
ต้องขอขอบคุณสัตบุรุษวัดมุกดาหารท่านนี้เป็นอย่างมากที่รีบมาทันที ไม่เช่นนั้นคงได้มีประสบการณ์ของการนอนห้องกรงเป็นแน่ อีกทั้ง ขอขอบคุณทนายที่ได้ทำหน้าที่ดูแลเป็นอย่างดี ถึงตรงนี้ยังอดคิดถึงเรื่องของคุณยายคนนั้นไม่ได้ ไม่เพียงไม่รู้ข้อกฎหมายแต่ยังไม่มีทนายแก้ต่างให้เลย ความอยุติธรรมในโลกนี้ยังมีอีกมาก ทำให้นึกถึงกล่าวของโทมัส เจฟเฟอร์สันที่ว่า “เมื่อความอยุติธรรมกลายเป็นกฎหมาย การลุกขึ้นต่อต้านก็กลายเป็นหน้าที่”
รู้สึกใจชื้นขึ้นมาบ้าง เมื่อเห็นพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ใส่กรอบสีทองติดข้างฝาเด่นเป็นสง่าในห้องพักทนาย ที่ทรงพระราชทานแก่ผู้สอบไล่ได้ตามหลักสูตรของสำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภา เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2522 ว่า
“...กฎหมายมิใช่ตัวความยุติธรรม หากแต่เป็นเพียงบทบัญญัติหรือปัจจัยที่ตราไว้เพื่อรักษาความยุติธรรม ผู้ใดก็ตามแม้ไม่รู้กฎหมาย แต่ถ้าประพฤติปฏิบัติด้วยความสุจริตแล้ว ควรจะได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายเต็มที่ ตรงข้าม คนที่รู้กฎหมายแต่ใช้กฎหมายในทางทุจริต ควรต้องถือว่าทุจริต และกฎหมายจะไม่คุ้มครองจนเกินไป เพราะฉะนั้นจึงไม่สมควรจะถือว่า การรักษาความยุติธรรมในแผ่นดินมีวงกว้างอยู่เพียงแค่ขอบเขตของกฎหมาย จำเป็นต้องขยายออกไปถึงศีลธรรม จรรยา ตลอดจนเหตุและผลตามเป็นจริงด้วย...”
คุณพ่อขวัญ ถิ่นวัลย์
danielkhuan@hotmail.com
โรงเรียนเซนต์ยอแซฟกุฉินารายณ์
24 กันยายน 2014

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น