วันศุกร์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

การเสด็จขึ้นสวรรค์ของพระเยซูเจ้า



การเสด็จขึ้นสวรรค์ของพระเยซูเจ้า
วันอาทิตย์
สมโภชพระเยซูเจ้าเสด็จขึ้นสวรรค์
ปี C
กจ 1:1-11
อฟ 1:17-23
ลก 24:46-53
บทนำ
ใครที่เคยไปแสวงบุญแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ที่ประเทศอิสราแอล คงไม่พลาดที่จะไปดูมัสยิดเล็กๆ แห่งหนึ่งที่เชื่อกันว่าเป็นจุดที่พระเยซูเจ้าเสด็จขึ้นสวรรค์ต่อหน้าบรรดาอัครสาวก สถานที่แห่งนี้ปัจจุบันกลายเป็นมัสยิดของมุสลิม ซึ่งยังคงแสดงรอยเท้าที่พระเยซูเจ้าประทับไว้ก่อนเสด็จจากโลกนี้ไป กล่าวกันว่า นี่คือรอยเท้าสุดท้ายของพระเยซูเจ้าบนโลกที่ผู้แสวงบุญจากทุกมุมโลกต่างพากันไปเยี่ยมชม
พูดถึงเรื่องรอยเท้าของพระเยซูเจ้า มีเรื่องเล่าว่า คืนหนึ่งชายคนหนึ่งฝันว่าเขากำลังเดินกับพระเยซูเจ้าบนพื้นทราย เขามองดูและเห็นรอยเท้าสองคู่บนพื้นทราย คู่หนึ่งเป็นของเขาและอีกคู่หนึ่งเป็นของพระเยซูเจ้า แต่ในช่วงเวลาที่เขาพบกับความยากลำบากในชีวิตเขามองเห็นรอยเท้าบนพื้นทรายเพียงคู่เดียว ซึ่งเขาแน่ใจว่านั่นคือรอยเท้าของเขา ด้วยความแปลกใจเขาจึงถามพระเยซูเจ้าว่า
“พระเจ้าข้า พระองค์บอกลูกให้ติดตามพระองค์และพระองค์จะอยู่เคียงข้างลูกทุกแห่งที่ไป แต่ลูกพบว่าในช่วงเวลาที่ลูกมีความทุกข์ระทม ลูกเห็นรอยเท้าเพียงคู่เดียว ทำไมในช่วงเวลาที่ลูกต้องการพระองค์มากที่สุดพระองค์จึงทอดทิ้งลูก” พระเยซูเจ้าตรัสตอบเขาว่า “ลูกเอ๋ย เรารักลูกมากและไม่ได้ทิ้งลูกไว้เพียงลำพัง ในช่วงเวลาที่ลูกพบความลำบากที่สุด รอยเท้าคู่นั้นที่ลูกเห็นคือรอยเท้าของเราเองที่ได้อุ้มลูกไว้”
1.      การเสด็จขึ้นสวรรค์ของพระเยซูเจ้า
วันนี้เราสมโภชพระเยซูเจ้าเสด็จขึ้นสวรรค์ เราไม่มีโอกาสเห็นรอยเท้าของพระเยซูเจ้าหรือร่องรอยของพระองค์ในโลกนี้อีกต่อไป เหมือนเมื่อครั้งที่พระองค์ทรงเจริญพระชนม์ชีพกับบรรดาศิษย์เมื่อสองพันปีก่อนอีกต่อไป แต่พระวาจาของพระองค์และศีลศักดิสิทธิ์ที่พระองค์ทรงตั้งขึ้นยังคงอยู่ ทำให้เราแต่ละคนกลายเป็น “เครื่องหมาย” ของพระองค์ในโลกเหมือนที่พระองค์ทรงปรารถนา
พระเยซูเจ้าต้องการให้เราแต่ละคนเป็นเครื่องหมายที่มองเห็นได้ของพระองค์ในโลก เพื่อคนอื่นที่เห็นเราจะได้เห็นพระองค์ พันธกิจของพระองค์ในโลกนี้ได้สำเร็จเสร็จสิ้นแล้ว และเวลานี้เป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องสานต่อพันธกิจของพระองค์ และนำข่าวดีแห่งความรอดของพระองค์ไปสู่มนุษยชาติ จะต้องประกาศในพระนามของพระองค์ให้นานาชาติกลับใจเพื่อรับอภัยบาป (ลก 24:47)
นี่คือ “พันธกิจสุดท้าย” ที่ทรงมอบหมายก่อนที่พระองค์จะเสด็จจากโลกนี้ไป พระองค์ทรงมอบหมายให้เราออกไปหาทุกคนทั่วโลก สอนพวกเขาให้กลับใจและบอกพวกเขาให้ทราบว่าพระเยซูเจ้าทรงอภัยบาปทุกคนด้วยความตายบนไม้กางเขน นี่คือภารกิจอันยิ่งใหญ่ของพระศาสนจักรและของเราทุกคน ผ่านทางการเจริญชีวิตตามแบบอย่างของพระองค์ในความรักต่อกัน “ถ้าท่านมีความรักต่อกัน ทุกคนจะรู้ว่าท่านเป็นศิษย์ของเรา” (ยน 13:35)
การเสด็จขึ้นสวรรค์คือการสิ้นสุดภารกิจของพระเยซูเจ้าในโลกนี้ และเริ่มต้นงานของพระศาสนจักรซึ่งหมายถึงงานของเราแต่ละคนด้วย ในการสานต่อพันธกิจของพระองค์เพื่อการนำความรอดไปสู่ทุกคน ผ่านทางกิจการดีและการเป็นพยานถึงพระองค์ด้วยชีวิตของเราในแต่ละวัน ในการปฏิบัติตามพระวาจาของพระองค์ด้วยการรักกันและกัน การให้อภัยความผิดของกันและกัน การช่วยเหลือพึงพากันด้วยใจกว้าง อาศัยความช่วยเหลือของพระจิตเจ้า หากเราดำเนินชีวิตเช่นนี้ เราจะมีบุญได้อยู่ในสวรรค์
2.      ความหมายสำหรับเรา
ชาวยิวมีความเชื่อว่ามีสถานที่ 3 แห่งในจักรวาล ได้แก่ สถานที่ที่อยู่เหนือฟ้าซึ่งเป็นที่อยู่ของพระเจ้า ส่วนโลกเป็นที่อยู่ของมนุษย์ และสุดท้าย “ใต้บาดาล” (Sheol) เป็นที่อยู่ของผู้ตาย ซึ่งเป็นที่ที่พระเยซูเจ้าเสด็จไปเพื่อปลดปล่อยวิญญาณต่างๆ ให้เป็นอิสระหลังจากทรงกลับเป็นขึ้นมาจากความตาย นี่เป็นภาษาสัญลักษณ์ซึ่งเราต้องไม่เข้าใจตามตัวอักษร เพราะสวรรค์ไม่ใช่สถานที่ที่อยู่บนหรือล่าง
สวรรค์คือที่ที่พระเจ้าประทับอยู่ เป็นที่ที่สามารถเห็นพระเจ้าและมีประสบการณ์เกี่ยวกับพระองค์อย่างครบบริบูรณ์ ดังนั้น เมื่อพูดถึงการเสด็จขึ้นสวรรค์ของพระเยซูเจ้า จึงเป็นการใช้ภาษาแบบมนุษย์เพื่อจะอธิบายให้เราได้เข้าใจว่า พระเยซูเจ้าประทับอยู่กับพระเจ้า และพระองค์ทรงมีส่วนในสิริมงคลรุ่งเรืองของพระบิดาเจ้าอย่างครบถ้วน นี่คือความเชื่อพื้นฐานและความยินดีของเราว่า พระเยซูเจ้าทรงได้รับสิริมงคลรุ่งเรือง และเราจะมีส่วนในสิริมงคลรุ่งเรืองนี้เช่นเดียวกันในวาระสุดท้าย
เราคริสตชนจะต้องสำนึกเสมอว่า การอยู่ในสวรรค์หมายถึงการอยู่กับพระเจ้า ดังนั้น ทุกครั้งที่เราอยู่กับพระเจ้าและสำนึกถึงการประทับอยู่ของพระองค์ จึงเป็นสวรรค์สำหรับเรา ซึ่งเริ่มแล้วตั้งแต่ในโลกนี้ ในเวลาที่เรามาวัดร่วมในพิธีบูชาขอบพระคุณหรือในเวลาที่เราภาวนาร่วมกันในกลุ่ม BEC หรือในครอบครัว พระเยซูเจ้าเคยตรัสว่า “ที่ใดมีสองหรือสามคนชุมนุมกันในนามของเรา เราอยู่ที่นั่นท่ามกลางพวกเขา” (มธ 18:20)
การเสด็จขึ้นสวรรค์ของพระเยซูเจ้า ไม่ได้ทำให้คำสัญญาของพระองค์ที่ว่า “เราจะอยู่กับท่านเสมอไปจนสิ้นพิภพ” (มธ 28:20) จบลงหรือไร้ความหมาย แต่ทำให้เราเข้าใจดียิ่งขึ้นว่า พระองค์ทรงอยู่กับเราและทุกครั้งที่เราตระหนักว่าพระเจ้าอยู่กับเรา นั่นคือสวรรค์ เราจึงมีคำพูดในลักษณะที่ว่า “สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ” โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาที่เรามีความรักต่อกัน และมองเห็นการประทับอยู่ของพระองค์ในผู้อื่น
บทสรุป
พระเยซูเจ้าได้แสดงให้เราเห็นว่า โลกนี้เป็นแต่เพียงที่พักชั่วคราวที่เราจะต้องผ่านไปสู่บ้านแท้นิรันดร์คือเมืองสวรรค์ พระองค์ตรัสว่า “เราต้องกลับไปหาพระบิดา” เราเช่นเดียวกันต้องกลับไปหาพระบิดา นี่คือความมุ่งหวังและความปรารถนาของเรา การสมโภชการเสด็จขึ้นสวรรค์ในวันนี้บอกเราว่า “จงมองดูเป้าหมายที่แท้จริงแห่งชีวิตของเรา  เพ่งสายตาของเราตรงไปยังพระบิดาเจ้าสวรรค์ พระผู้สร้างของเรา”
พระเยซูเจ้าได้มอบแบบอย่างแก่เรา ชีวิตทั้งหมดของพระองค์มุ่งตรงไปยังพระบิดาเจ้า ชีวิตของเรากำลังมุ่งไปไหน กำลังพาเราไปนรกหรือไปสวรรค์ สิ่งต่างๆ ที่เรากำลังกระทำอยู่นำเราไปไหน ไปหาพระเจ้าหรือไปหาปีศาจ แน่นอนว่า การทะเลาะเบาะแว้ง ความเห็นแก่ตัว ความอิจฉาริษยา และการเอารัดเอาเปรียบผู้อื่น คงไม่สามารถทำให้เราเป็นหนึ่งเดียวกับพี่น้องและนำเราไปสวรรค์หาพระเจ้าได้
ข่าวดีเรื่องการเสด็จขึ้นสวรรค์ของพระเยซูเจ้า ควรได้รับการประกาศผ่านทางชีวิตของเรา ด้วยการเป็นพยานถึงความรักเมตตาของพระเยซูเจ้า อีกทั้ง กระตุ้นให้เราบอกกล่าวแก่ทุกคนว่า พระเยซูเจ้าคือเจ้าแห่งสวรรค์และโลก พระองค์ทรงประสงค์ให้มนุษย์ทุกคนได้รอด ดังนั้น การเสด็จขึ้นสวรรค์จึงเป็นเฉลิมฉลองแห่งความหวังและความจริงที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของเรา เพื่อมุ่งสู่ความสมบูรณ์คือการอยู่ร่วมสุขกับพระเจ้าในสวรรค์ อันเป็นเป้าหมายสุดท้ายของเราทุกคน
คุณพ่อขวัญ ถิ่นวัลย์
danielkhuan@hotmail.com
วัดพระคริสตประจักษ์ นาบัว
15 พฤษภาคม 2010

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น