วันเสาร์ที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2557

การประจักษ์พระวรกายของพระเยซูเจ้า



การประจักษ์พระวรกายของพระเยซูเจ้า
วันอาทิตย์
สัปดาห์ที่ 2 ปี A
วันที่ 12 เทศกาลมหาพรต
ปฐก 12:1-4
2ทธ 1:8ข-10
มธ 17:1-9
บทนำ
มีเรื่องเล่าว่า คริสตชนคนหนึ่งได้เขียนจดหมายไปถึงบรรณาธิการนิตยสารคาทอลิกฉบับหนึ่ง และได้ตีพิมพ์จดหมายฉบับนี้ในคอลัมน์ “จดหมายจากผู้อ่าน” เนื้อความในจดหมายพรรณนาถึงความรู้สึกผิดหวังจากการไปวัดวันอาทิตย์ เขาเขียนว่า “ผมไปวัดเป็นประจำทุกอาทิตย์เป็นเวลา 30 ปี ตลอดเวลาผมได้ฟังบทเทศน์มากกว่า 3,000 ครั้ง แต่ผมจำไม่ได้สักบทเดียว ดังนั้น ผมคิดว่าผมกำลังเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ และพระสงฆ์กำลังเสียเวลาในการเทศน์สอนเช่นกัน”
หนึ่งอาทิตย์ต่อมา บรรณาธิการได้รับจดหมายจากผู้อ่านอีกฉบับ เขียนว่า “ผมแต่งงานกับภรรยามาเป็นเวลา 30 ปีแล้ว ตลอดช่วงเวลาดังกล่าวภรรยาของผมได้ทำอาหารให้ผมรับประทานมากกว่า 32,000 ครั้ง ผมจำเมนูอาหารไม่ได้ซักอย่างเดียว แต่ผมรู้และแน่ใจได้ว่า อาหารเหล่านั้นได้หล่อเลี้ยงชีวิตผมและทำให้ผมมีกำลังแข็งแรงในการทำงาน หากภรรยาไม่ทำอาหารให้ผมเสมอมา ผมคงลำบาก สุขภาพย่ำแย่และตายในที่สุด” การมาวัดวันอาทิตย์เป็นเช่นเดียวกัน พระวาจาของพระเจ้าและคำเทศน์สอนที่เราได้ยินได้ฟัง ได้หล่อเลี้ยงชีวิตฝ่ายจิตของเราให้เติบโตและเข้มแข็ง
เราได้เดินทางมาถึงสัปดาห์ที่ 2 ในเทศกาลมหาพรต ซึ่งพระวาจาของพระเจ้าได้พูดถึงการเรียกของพระเจ้า ในบทอ่านแรก พระเจ้าทรงเรียกอับราฮัมให้ออกจากบ้านเมืองของตน และอับราฮัมเชื่อแม้จะต้องเดินทางไปยังดินแดนที่ไม่รู้จัก ทำให้อับราฮัมกลายเป็น “บิดาของผู้มีความเชื่อ”  ในบทอ่านที่สอง นักบุญเปาโลได้ย้ำเตือนว่า พระเจ้าได้ทรงเรียกเราแต่ละคนสู่ความศักดิ์สิทธิ์  เพื่อให้เราเชื่อไว้ใจในพระเจ้าและเกียรติมงคลที่รอคอยเราอยู่ งานของเราคือการเปลี่ยนแปลงจิตใจ เป็นทุกข์ถึงบาป และกลับใจมาหาพระเจ้า เพื่อเตรียมตัวเองสำหรับเกียรติรุ่งโรจน์แห่งธรรมล้ำลึกปัสกา ที่เราจะได้รับพร้อมกับพระคริสตเจ้า

1.         การประจักษ์พระวรกายของพระเยซูเจ้า
พระวรสารวันนี้ ทำให้เราทราบถึงเรื่องราวที่งดงามเกี่ยวกับการประจักษ์พระวรกายของพระเยซูเจ้า มัทธิวบอกเราว่า พระเยซูเจ้าทรงพาศิษย์ที่ทรงรัก 3 คน ได้แก่ เปโตร ยากอบและยอห์น ขึ้นไปบนภูเขาสูงแยกจากคนอื่น และทรงประจักษ์พระวรกายให้พวกเขาได้เห็น พระพักตร์ของพระองค์ส่องประกายเจิดเจ้าเหมือนดวงอาทิตย์และฉลองพระองค์ขาววาววับ โมเสสและประกาศกเอลิยาห์ได้ปรากฏมาสนทนากับพระองค์ ถึงพระทรมานและการสิ้นพระชนม์ที่พระองค์กำลังจะได้รับ
สำหรับพระเยซูเจ้า นี่คือช่วงเวลาที่พิเศษ เพราะพระองค์กำลังจะเดินทางไปกรุงเยรูซาเล็มเพื่อรับทรมานและถูกตรึงตายบนไม้กางเขน พระองค์ทรงต้องการทำให้ศิษย์ของพระองค์เกิดความมั่นใจและมีความเข้มแข็ง ทำให้พวกเขาได้ทราบถึงความเป็นบุตรพระเจ้าของพระองค์ ผ่านทางพระสุระเสียงของพระบิดาเจ้าที่ตรัสว่า “ท่านผู้นี้เป็นบุตรสุดที่รักของเรา เราพึงพอใจยิ่งนัก จงฟังท่านเถิด” ซึ่งเป็นพระดำรัสเดียวกันที่ตรัสขณะที่พระองค์รับพิธีล้างจากยอห์น บัปติสต์ ก่อนจะเริ่มภารกิจของพระองค์
การที่พระพักตร์ของพระองค์เปล่งรัศมีดุจดวงอาทิตย์และฉลองพระองค์ขาววาววับ แสดงให้เห็นว่าพระองค์ทรงเป็นแสงสว่างที่แท้จริงที่ส่องสว่างแก่มนุษย์ทุกคน อีกทั้ง เป็นการบอกล่วงหน้าถึงการกลับคืนชีพและครองราชย์นิรันดรของพระองค์ ในฐานะพระเจ้าและกษัตริย์แห่งสากลจักรวาล การปรากฏมาของโมเสสผู้รับมอบบัญญัติจากพระเจ้า และเอลิยาห์ประกาศกผู้ยิ่งใหญ่ของอิสราแอล เป็นตัวแทนของธรรมบัญญัติและธรรมประเพณี ที่รับรองการกระทำของพระเยซูเจ้าและสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นกับพระองค์

2.         บทเรียนสำหรับเรา
พระวาจาของพระเจ้าในวันนี้ ได้ให้บทเรียนที่สำคัญสำหรับเราคริสตชนหลายประการ ในการนำไปปฏิบัติในชีวิตประจำวัน
ประการแรก จงอธิษฐานภาวนา พระเยซูเจ้าทรงพาสาวกสามคนขึ้นบนภูเขาเพื่ออธิษฐานภาวนา ผ่านทางการภาวนาทำให้เราสามารถทราบถึงแผนการของพระเจ้าสำหรับเรา ในการภาวนาพระเจ้าได้แสดงให้เราทราบถึงความรักของพระบิดาเจ้า บ่อเกิดแห่งความยินดีและความเข้มแข็งของเรา อาศัยการภาวนาทำให้เราสามารถเข้าใจพระวาจาของพระเจ้าได้ดียิ่งขึ้น รวมถึงพระประสงค์ของพระองค์ที่ทรงเรียกเราแต่ละคนสู่ความศักดิ์สิทธิ์ เพื่อร่วมส่วนในเกียรติมงคลรุ่งเรืองที่พระองค์ทรงเผยแสดงสาวกทั้งสามได้เห็น
ประการที่สอง “จงฟังท่านเถิด” ให้เราทำตามพระสุระเสียงของพระพระบิดาเจ้าที่ตรัสกับสาวกทั้งสามคนบนภูเขาที่ว่า จงฟังท่านเถิด การฟังพระเยซูเจ้าคือการฟังสิ่งที่พระองค์ตรัส พระเจ้าตรัสกับเราหลายวิธีด้วยกัน ผ่านทางพระวาจาที่เราได้ยินได้ฟังและคำสอนของพระศาสนจักร ชีวิตของเราจะต้องมุ่งแสวงหาและปฏิบัติตามแผนการและพระประสงค์ของพระเจ้า มิใช่น้ำใจของเรา
ประการที่สาม “จงลุกขึ้นเถิด อย่ากลัวเลย” พระเยซูเจ้าทรงปลุกศิษย์ทั้งสามให้ตื่นจากภวังค์และเผชิญกับความเป็นจริงแห่งชีวิต นั่นคือ การลงจากภูเขา ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งการประทับอยู่ของพระเจ้า  ทั้งนี้ การมาวัดในแต่ละอาทิตย์จึงไม่เพียงเป็นเวลาแห่งความสุขที่เราได้ฟังพระวาจาของพระเจ้า ได้รับศีลมหาสนิทและอยู่กับพระองค์ในวัด เราจะต้องนำพระองค์กลับออกไปพร้อมกับเราในชีวิตประจำวัน ให้พระองค์นำทางเราและมองเห็นถึงการประทับอยู่ของพระองค์ท่ามกลางเราในเพื่อนพี่น้อง

บทสรุป
พี่น้องที่รัก เราได้ฟังพระดำรัสของพระบิดาเจ้าสวรรค์ที่ตรัสกับเราว่า พระเยซูเจ้าคือบุตรสุดที่รักของพระองค์ เราจะต้องฟังพระองค์เพราะพระองค์มีพระวาจาทรงชีวิต และทรงรับเกียรติมงคลรุ่งเรืองผ่านทาง “หนทางแห่งไม้กางเขน” ศิษย์ของพระคริสตเจ้าทุกคนจะต้องยอมรับว่า หนทางแห่งไม้กางเขน เป็นหนทางชีวิตของเรา นั่นคือ เราต้องผ่านกางเขนเพื่อจะได้รับเกียรติรุ่งโรจน์ ให้เราได้น้อมรับความยากลำบากต่างๆ ในชีวิตและมองเห็นการประทับอยู่ของพระเจ้าในโลก
ไม้กางเขนคือแบบอย่างแห่งความรักและการมอบชีวิตเพื่อไถ่บาปมนุษย์ทั้งหลาย ขอให้ชีวิตของเราไม่เพียงแต่เดินรูป 14 ภาคที่วัดทุกวันศุกร์เท่านั้น แต่เราจะต้องแบกกางเขนของเรา และเดินตามรูปแบบชีวิตพระเยซูเจ้าบนกางเขนทุกวันตลอดชีวิตของเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในความรักและการให้อภัยเพื่อนพี่น้องด้วยใจกว้าง เพราะนี่คือ การดำเนินชีวิตคริสตชนที่แท้จริง บนหนทางแห่งไม้กางเขนที่พระเยซูเจ้าทรงมอบไว้ให้แก่เรา ซึ่งพระศาสนจักรเรียกร้องเป็นพิเศษในเทศกาลมหาพรตนี้

คุณพ่อขวัญ ถิ่นวัลย์
โรงเรียนเซนต์ยอแซฟกุฉินารายณ์
  14 มีนาคม 2014

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น