วันพฤหัสบดีที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ความถ่อมตนในการภาวนา



ความถ่อมตนในการภาวนา
วันอาทิตย์
สัปดาห์ที่ 30 เทศกาลธรรมดา
ปี C
บสร 35:12-14, 16-18
2 ทธ 4:6-8; 16-18
ลก 18:9-14
บทนำ
ครั้งหนึ่ง ผู้สื่อข่าวได้ถามคุณแม่เทเรซาแห่งกัลกัตตาว่าเคยถูกผจญในเรื่องความภูมิใจในตนเองไหม แม่เทเรซายิ้มและตอบว่า “ให้ภูมิใจเรื่องอะไรละ” ผู้สื่อข่าวตอบว่า “ก็ภูมิใจในสิ่งดีงามทั้งหลายที่ได้ทำเพื่อคนที่ยากจนที่สุดไง” คุณแม่เทเรซาตอบว่า “ฉันไม่เคยทราบเลยว่าฉันได้ทำอะไร นั่นเป็นงานของพระเจ้าทั้งนั้น ที่ทำงานผ่านทางสมาชิกในคณะและอาสาสมัครของฉัน” ความสุภาพแท้คือสิ่งที่ทำให้เราเห็นถึงความแตกต่างระหว่างนักบุญกับคนบาป
คำอุปมาเรื่องฟาริสีกับคนเก็บภาษี เป็นคำอุปมาที่งดงามอีกเรื่องหนึ่งซึ่งมีแต่เฉพาะในพระวรสารของบุญลูกาเท่านั้น พระเยซูเจ้าทรงเล่าถึงลักษณะที่แตกต่างกันในการภาวนาระหว่างฟาริสีกับคนเก็บภาษี
ฟาริสี หมายถึง “คนที่แยกตัวออกจากผู้อื่น” เป็นกลุ่มที่เคร่งครัดในการรักษาความบริสุทธิ์ทางศาสนา มุ่งเน้นการรักษาธรรมบัญญัติและธรรมประเพณีอย่างเคร่งครัดทุกกระเบียดนิ้ว การแยกตัวออกจากคนอื่นทำให้เขาคิดว่า ฉันบริสุทธิ์กว่าคนอื่น (ดีกว่าคนอื่น) ในทัศนะของฟาริสี “ถ้าจะมีคนดีสองคนในโลก คนนั้นคือฉันและลูกชายของฉัน แต่ถ้ามีเพียงคนเดียวคนนั้นคือตัวฉันเอง” ท่าทีแบบนี้ทำให้พวกฟาริสีเป็นที่รังเกียจ ความหยิ่งจองหองและการถือปฏิบัติตามกฎมากกว่าความรักเมตตาต่อผู้อื่น ทำให้พระเยซูเจ้าตำหนิพวกเขาในพระวรสาร
ส่วน “คนเก็บภาษี” เป็นชาวยิวที่เก็บภาษีให้รัฐบาลโรมันและเก็บส่วนที่เหลือไว้เป็นของตน อาชีพเก็บภาษีจึงสร้างรายได้มหาศาล โดยเฉพาะภาษีการใช้สะพาน การใช้ถนนและการเป็นเจ้าของเกวียน สามารถจะเรียกเก็บที่ไหนก็ได้ สำหรับคนจนที่ไม่มีเงินจ่าย คนเก็บภาษีจะจ่ายล่วงหน้าและเรียกเก็บดอกเบี้ยในอัตราที่สูง คนเก็บภาษีจึงเป็นที่รังเกียจของคนทั่วไป เป็น “พวกขี้ฉ้อ ขูดเลือดขูดเนื้อและขายชาติ” เพราะทำงานให้กับรัฐบาลโรมัน คนเก็บภาษีจึงจัดอยู่ในระนาบเดียวกันกับโจร ฆาตกรและหญิงโสเภณี

1.         ความถ่อมตนในการภาวนา
ในพระวรสารวันนี้ พระเยซูเจ้าทรงเล่าคำอุปมาเกี่ยวกับชาวฟาริสีและคนเก็บภาษีที่เข้าไปภาวนาในพระวิหารเพื่อสอนเราเกี่ยวกับความถ่อมตนในการภาวนา พระองค์ทรงหยิบยกเรื่องราวชีวิตจริงของชาวยิวที่ภาวนาวันละ 4 ครั้ง ได้แก่ เวลาเก้าโมงเช้า เที่ยงวัน บ่ายสามโมงและหกโมงเย็น จากวิธีภาวนาของฟาริสีและคนเก็บภาษีได้สะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่พวกเขามีต่อพระเจ้าและต่อเพื่อนมนุษย์
ฟาริสีได้ยืนขึ้นภาวนากับตนเอง ดูเหมือนเขากำลังขอบคุณพระเจ้า แต่ในความเป็นจริงขอบคุณตนเอง ที่ไม่ได้เป็นขโมยหรือล่วงประเวณี เขารู้สึกพอใจกับสิ่งที่ตนเองทำเป็นพิเศษ เช่น การอดอาหารสัปดาห์ละสองวัน (วันจันทร์กับวันพฤหัสบดีซึ่งมีตลาดนัดเพื่อให้คนเห็น) และได้ถวายหนึ่งในสิบของรายได้ทั้งหมด (ทำมากกว่าที่กฎหมายกำหนด) เขามีเจตนาที่จะเปรียบเทียบความดีของตนกับข้อเสียของคนอื่น เขาจึงไม่ใช่คนที่น่ายกย่อง เขามิได้ภาวนาถึงพระเจ้า แต่กำลังสรรเสริญตนเอง โอ้อวดและดูหมิ่นคนอื่น
ส่วนคนเก็บภาษีซึ่งเป็นคนบาปสาธารณะและเป็นที่เกลียดชังของชาวยิว เขารู้ความจริงเกี่ยวกับตนเองและสำนึกผิด เขาจึงยืนอยู่ห่างๆ ไม่กล้าเงยหน้า ได้แต่ตีอกชกตัวและกล่าวว่า “ข้าแต่พระเจ้า โปรดทรงพระกรุณาต่อข้าพเจ้าคนบาปด้วยเถิด” (God, have mercy on me, a sinner) นี่คือคำภาวนาที่สั้นที่สุดในพระคัมภีร์ และเป็นคำภาวนาที่ลึกซึ้งที่สุดด้วย เพราะคนเก็บภาษีสำนึกในความบาปผิดของตน เขาตระหนักในความรักเมตตาของพระเจ้าที่ทรงให้อภัยคนบาป ทำให้เขาเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า 

2.         บทเรียนสำหรับเรา
พระวาจาของพระเจ้าวันนี้ได้ให้บทเรียนที่สำคัญสำหรับเราคริสตชนหลายประการ ในการนำไปปฏิบัติในชีวิตประจำวัน
ประการแรก เราต้องถ่อมตนในการภาวนา คนเก็บภาษีภาวนาด้วยความถ่อมตนและพระเจ้าทรงฟังคำภาวนาของเขา ซึ่งตรงข้ามกับชาวฟาริสี “เพราะว่าผู้ใดยกตนขึ้นจะถูกกดให้ต่ำลง ผู้ใดที่ถ่อมตนลง จะได้รับการยกย่องให้สูงขึ้น” (ลก 18:14) โดยทั่วไปเรามักจะภาวนาด้วยการวอนขอสิ่งที่จำเป็นจากพระเจ้า แต่เราลืมที่จะถวายเกียรติ สรรเสริญและขอบพระคุณพระเจ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระพรแห่งชีวิต สุขภาพ หน้าที่การงานและชีวิตที่ราบรื่นในแต่ละวัน บ่อยครั้งเรามักลืมขอบคุณพระเจ้าสำหรับสิ่งเหล่านี้
ประการที่สอง เราต้องสำนึกผิดในความไม่ดีที่ได้กระทำ คำอุปมานี้สอนเราว่า คนที่สำนึกในความผิดของตนจะได้รับพระเมตตาจากพระเจ้า เป็นที่น่าสังเกตว่า คนที่ได้ชื่อว่าเป็นนักบุญผู้ศักดิ์สิทธิ์กลับเป็นคนที่สำนึกในความบาปของตนมากที่สุด นักบุญเปาโลได้เขียนถึงตัวเองว่า “ข้าพเจ้าเป็นคนแรกในบรรดาคนบาปเหล่านี้” (1 ทม 1:15) นักบุญฟรังซิส อัสซีซี พูดถึงตัวท่านเองว่า “ไม่มีใครอีกแล้วที่จะน่าเกลียด น่าชิงชังและน่าสังเวชเท่าตัวข้าพเจ้า” คนหยิ่งจองหองและดูหมิ่นคนอื่นไม่อาจเข้าถึงพระเจ้าได้
ประการที่สาม เราต้องตระหนักในความรักเมตตาและการให้อภัยของพระเจ้า คนเก็บภาษีเข้าใจอย่างถ่องแท้ เขาตระหนักในความรักเมตตาอันหาขอบเขตมิได้ของพระเจ้าที่ทรงให้อภัยคนบาป ทำให้เขาเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า ด้วยเหตุนี้เราจึงมารวมตัวกันทุกวันอาทิตย์ในพิธีบูชาขอบพระคุณ เพื่อขอบคุณสำหรับความรักที่ไม่มีเงื่อนไข และร่วมส่วนในการถวายบูชาบนไม้กางเขนของพระเยซูเจ้า แด่พระบิดาเจ้าเพื่อลบล้างบาปเราทั้งหลาย อีกทั้ง ดำเนินชีวิตเป็นเครื่องหมายแห่งความรักที่ไม่มีเงื่อนไขนี้ในชีวิตประจำวัน

บทสรุป
พี่น้องที่รัก พระวรสารวันนี้สอนเราถึงท่าทีที่ถูกต้องที่เราควรมีเมื่อภาวนา เราจะต้องมีความถ่อมตนและสำนึกในความผิดของเราเหมือนคนเก็บภาษี ที่ตระหนักในความผิดของตนเองโดยไม่เปรียบเทียบ ดูหมิ่นดูแคลน หรือกล่าวโทษคนอื่น อีกทั้งไม่ยกตนและสรรเสริญความดีของตนเองเหมือนฟาริสี เพราะเราแต่ละคนต่างเป็นคนบาปที่ต้องการการให้อภัยจากพระเจ้าด้วยกันทั้งนั้น
คำอุปมาของพระเยซูเจ้าสอนเราว่า เราควรมีท่าทีที่ถูกต้องต่อตนเอง ต่อพระเจ้า และต่อเพื่อนพี่น้อง ความหยิ่งจองหองและความภูมิใจในความชอบธรรมของตนเอง เป็นอุปสรรคขวางกั้นระหว่างเรากับพระเจ้า และระหว่างเรากับเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน มีคำกล่าวว่า ประตูสวรรค์นั้นเตี้ยมาก ไม่มีใครเข้าไปได้เว้นแต่จะได้คุกเข่าเข้าไปเท่านั้น ฉะนั้น ขอให้เรามีความถ่อมตน สำนึกว่าเราเป็นคนบาป ไม่กล่าวโทษหรืออวดตัวว่าดีกว่าคนอื่น
คุณพ่อขวัญ ถิ่นวัลย์
danielkhuan@hotmail.com
โรงเรียนเซนต์ยอแซฟกุฉินารายณ์
24 ตุลาคม 2013

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น