วันศุกร์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2556

การสำนึกพระคุณ



การสำนึกพระคุณ
วันอาทิตย์
สัปดาห์ที่ 28 เทศกาลธรรมดา
ปี C
2 พกษ 5:14-17
2 ทธ 2:8-13
ลก 17:11-19
บทนำ
อาจารย์ชาวยิว (Rabbi) คนหนึ่งถามประกาศกว่า “ฉันจะพบพระแมสซิยาห์ได้ที่ไหน” ประกาศกตอบว่า “ที่ประตูเมืองท่ามกลางคนโรคเรื้อน” อาจารย์ชาวยิวถามต่อว่า “พระองค์ไปทำอะไรที่นั่น” ประกาศกตอบว่า “พระองค์ทรงเปลี่ยนผ้าพันแผลให้พวกเขา” นี่คือมุมมองเกี่ยวกับพันธกิจของพระผู้ไถ่ในทัศนะของ ลอเรนซ์ คุสชเนอร์ (Laurence Kushner) นักเขียนและอาจารย์ชาวยิวในอเมริกา เราเห็นภาพพจน์นี้อย่างเด่นชัดในตัวพระเยซูเจ้าที่เสด็จมาตามหาคนบาป เป็นเพื่อนกับคนถูกทอดทิ้งและถูกตัดขาดจากสังคม
สมัยก่อน โรคเรื้อนถือเป็นโรคติดต่อที่ร้ายแรงมาก เป็นโรคที่สังคมรังเกียจ (ยิ่งกว่าโรคเอดส์ในสมัยนี้เสียอีก) คนเป็นโรคเรื้อนเป็นบุคคลที่น่าสงสาร เหมือนตายทั้งเป็นเพราะต้องตัดขาดจากครอบครัว เพื่อนฝูงและสังคม ต้องแยกตัวออกไปอยู่ในที่เฉพาะ กฎหมายของโมเสสกำหนดว่า “ให้บุคคลที่เป็นโรคเรื้อนสวมเสื้อผ้าที่ขาด และให้ปล่อยผม... แล้วร้องว่า มีมลทิน มีมลทิน (ลนต 13:45) เพื่อให้คนอื่นรู้ และ ต้องแยกไปอยู่นอกค่าย (ลนต 13:46; กดว 5:3) เพื่อป้องกันคนอื่นติดเชื้อ
คำว่า “โรคเรื้อน” ในพระคัมภีร์หมายถึงโรคผิวหนังทุกชนิดที่มีอาการพุพอง ในพันธสัญญาเดิมถือว่านี่คือการลงโทษของพระเจ้า อันเนื่องมาจากบาปที่เขาทำ ในสมัยพระเยซูเจ้า คนโรคเรื้อนยังอยู่ในสภาพตายทั้งเป็น ไม่สามารถไปไหนมาไหนได้ เห็นได้จากเมื่อมีโอกาสเข้าเฝ้าพระเยซูเจ้า พวกเขายังต้อง ยืนอยู่ห่างพระองค์ (ลก 17:12) เพราะกฎหมายยิวห้ามคนโรคเรื้อนเข้าใกล้เกินกว่า 6 ฟุต
ที่น่าสังเกตคือ ในบรรดาคนโรคเรื้อนสิบคนที่มาหาพระเยซูเจ้า มีอย่างน้อยหนึ่งคนเป็นชาวสะมาเรีย (ลก 17:16) โดยทั่วไปชาวยิวจะไม่คบค้ากับชาวสะมาเรีย เพราะถือว่าชาวสะมาเรียเป็นยิวที่ไม่บริสุทธิ์ เนื่องจากแต่งงานกับคนต่างศาสนา นอกนั้น คำว่า ชาวสะมาเรีย ยังเป็นคำที่ใช้แสดงความเกลียดชังและเหยียดหยามคนที่ละเมิดบทบัญญัติ ใครที่ไม่รักษาธรรมบัญญัติจะถูกตราหน้าว่าเป็น ชาวสะมาเรีย แต่เมื่อเป็นโรคร้ายเหมือนกัน ไม่มีการแบ่งแยกเชื้อชาติเช่นว่านี้ สิ่งเดียวที่ทุกคนต้องการคือการรักษาให้หาย

1.         การสำนึกพระคุณ
เรื่องราวที่เราได้ยินในพระคัมภีร์วันนี้ พูดถึงคนโรคเรื้อน 11 คนที่ได้รับการรักษาให้หาย คนหนึ่งคือนาอามานชาวซีเรียในหนังสือพงษ์กษัตริย์ และอีกสิบคนในพระวรสาร แต่มีเพียง “นาอามาน” และ “ชาวสะมาเรีย” ที่กลับมาขอบพระคุณพระเจ้า ทั้งสองเป็นชาวต่างชาติที่ชาวยิวถือว่าเป็นคนบาป บ่อยครั้งคนที่เรามองว่าเป็นคนไม่ดี กลับสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระเจ้ามากกว่าคนที่ถือว่าเป็นคนชอบธรรม
นักบุญเปาโลในบทอ่านที่สอง ได้แนะนำทิโมธีให้สำนึกในพระคุณของพระเจ้า แม้ในห้วงเวลาแห่งความทรมานด้านร่างกายและในท่ามกลางความยากลำบากต่างๆ อันเนื่องมาจากการประกาศข่าวดี ในพระวรสาร พระเยซูเจ้าทรงรู้สึกยินดีที่ได้ยินชาวสะมาเรียสรรเสริญพระเจ้า สำหรับสิ่งยิ่งใหญ่ที่เกิดขึ้นในชีวิตของเขา แต่พระองค์ทรงคาดหวังว่าอีกเก้าคนจะทำเช่นเดียวกัน แต่พวกเขาไม่ได้สำนึกในพระคุณของพระองค์ สิ่งที่พวกเขาต้องการคือใบรับรองจากพระสงฆ์ว่าหายจากโรคเรื้อนแล้วเท่านั้น
ไมสเตอร์ เอ็คคาร์ต (Meister Eckhart) นักเทววิทยาชาวเยอรมัน เขียนว่า “คำภาวนาที่สำคัญที่สุดในโลกยาวเพียงสองพยางค์คือคำว่า ขอบคุณ แต่ดูเหมือนในสังคมที่เราอยู่จะใช้คำนี้น้อยมาก ไม่ใช่แต่กับพระเจ้าเท่านั้นแต่กับคนอื่นด้วย” บรรดาปิตาจารย์สอนว่า “พระเจ้ามีที่ประทับอยู่สองแห่ง คือในสวรรค์และในใจคนที่สำนึกพระคุณ” เราคริสตชนจึงควรขอบพระคุณพระเจ้า เราภาวนาถึงพระองค์ทุกวันเพราะตระหนักว่า เราได้รับพระพรจากพระองค์มากมาย 

2.         บทเรียนสำหรับเรา
พระวาจาของพระเจ้าในวันนี้ได้ให้บทเรียนที่สำคัญสำหรับเราคริสตชนหลายประการ ในการนำไปปฏิบัติในชีวิตประจำวัน
ประการแรก เราต้องสำนึกพระคุณของพระเจ้า ทุกสิ่งที่เรามีและทุกอย่างที่เราเป็นล้วนแล้วแต่เป็นของประทานจากพระเจ้าทั้งสิ้น ดังนั้น เราจึงขอบคุณพระองค์สำหรับความรักอันยิ่งใหญ่ที่มีต่อเราแต่ละคน เราไม่สามารถทำอะไรให้สำเร็จได้โดยลำพัง “เพราะถ้าไม่มีเรา ท่านก็ทำอะไรไม่ได้เลย” (ยน 15:5) อีกทั้ง ต้องสำนึกพระคุณของพระเจ้าด้วยการให้อภัยผู้อื่น แสดงให้เห็นถึงความรักและความเมตตากรุณาของพระองค์ต่อผู้อื่น ในความกตัญญูต่อบิดา-มารดา ครูบาอาจารย์และผู้มีพระคุณต่อเรา
ประการที่สอง เราต้องมั่นมาร่วมพิธีมิสซาวันอาทิตย์ เพื่อเฉลิมฉลองศีลมหาสนิท (Eucharist) ซึ่งหมายถึง “การขอบพระคุณ” (Thanksgiving) พิธีมิสซาจึงเป็นการขอบพระคุณพระเจ้า ขอบพระคุณความรักอันยิ่งใหญ่ของพระเยซูเจ้าที่มอบพระองค์เป็นอาหารเลี้ยงวิญญาณของเรา ทำให้เรากลายเป็นประชากรของพระเจ้า อีกทั้ง ขอบพระคุณพระจิตเจ้าที่นำพระพรแห่งการประทับอยู่ของพระองค์ไปสู่ผู้อื่น ด้วยการแบ่งปันเวลาและความรู้ความสามารถต่างๆ กับทุกคนในวัดและหมู่คณะของเรา
ประการที่สาม เราต้องการการรักษาโรคเรื้อนฝ่ายจิตใจ เราอาจจะไม่ได้ป่วยเป็นโรคเรื้อนทางด้านร่างกาย แต่บางทีเราอาจกำลังทนทุกข์เพราะโรคเรื้อนฝ่ายจิตใจ ซึ่งเป็นผลของบาปที่เรากระทำ ทำให้เราเป็นมลทินกลายเป็นผู้ไม่บริสุทธิ์ พระเยซูเจ้า พระผู้ไถ่ของเราทรงต้องการรักษาเราให้หายจากโรคเรื้อนแห่งบาปนี้ เราจึงต้องมาหาพระองค์ผ่านทางศีลแห่งการคืนดี เพื่อขอให้พระองค์เยียวยารักษาเราให้หายจากโรคเรื้อนแห่งบาป ความอยุติธรรม ความเกลียดชังและอคติในใจเรา


บทสรุป
พี่น้องที่รัก วันนี้เราได้ยินเรื่องราวของคนโรคเรื้อน และการได้รับการรักษาให้หายอย่างอัศจรรย์ สาระสำคัญของพระวาจาของพระเจ้าในสัปดาห์นี้คือ “การสำนึกพระคุณ” ข้อที่น่าสังเกตคือ มีเพียงชาวต่างชาติที่สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณและขอบพระคุณพระเจ้า นั่นคือ นาอามานชาวซีเรียที่สำนึกว่าพระยาห์เวห์ พระเจ้าแห่งอิสราแอลคือพระเจ้าแท้ และชาวสะมาเรียที่สำนึกพระคุณของพระเยซูเจ้า ขณะที่คนโรคเรื้อนอีกเก้าคนไม่ได้มาขอบพระคุณพระองค์
พระเจ้าทรงรักและดูแลเอาใจใส่เราตลอดนิรันดร์ สิ่งเดียวที่เราจะตอบสนองความรักอันหาขอบเขตมิได้ของพระองค์ได้คือ การสำนึกพระคุณ เช่นเดียวกับนาอามานชาวซีเรียและชาวสะมาเรียคนนั้น เราจะต้องขอบพระคุณพระเจ้าอยู่เสมอ สำหรับการประทับอยู่ของพระองค์ในชีวิตของเรา ด้วยการประกาศถึงการให้อภัยไม่สิ้นสุดและความรักอันหาขอบเขตมิได้ของพระองค์ ในท่ามกลางเพื่อนพี่น้องที่อยู่รอบข้าง ในครอบครัว ในที่ทำงาน ในหมู่คณะและในวัดของเรา
คุณพ่อขวัญ ถิ่นวัลย์
danielkhuan@hotmail.com
โรงเรียนเซนต์ยอแซฟกุฉินารายณ์
11 ตุลาคม 2013

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น