วันศุกร์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ผู้นำข่าวดีของพระคริสตเจ้า

ผู้นำข่าวดีของพระคริสตเจ้า
วันอาทิตย์
สัปดาห์ที่ 14 เทศกาลธรรมดา
ปี C
อสย 66:10-14
กท 6:14-18
ลก 10:1-12, 17-29
บทนำ
นักบุญฟรังซิส อัสซีซี เกิดในครอบครัวชาวอิตาเลียนที่มั่งคั่ง ขณะที่อยู่ในวัยหนุ่มได้ใช้ชีวิตเหลวแหลกและสุรุ่ยสุร่าย ด้วยความที่เป็นคนใจกว้างในการกินดื่มทำให้มีเพื่อนฝูงมากมาย ต่อมาฟรังซิสเกิดความรักและสนใจคนไร้ที่อยู่และถูกทอดทิ้ง ซึ่งได้แรงผลักดันมาจากข้อความในพระคัมภีร์ หนังสือปฐมกาลที่บอกว่า ทุกคนถูกสร้างมาตามพระฉายาของพระเจ้า (ปฐก 1:27) และพระวรสารนักบุญมัทธิวที่ว่า ทุกสิ่งที่เราทำกับพี่น้องที่ต่ำต้อย เรากำลังทำกับพระเยซูเจ้า (มธ 25:40)
เหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของฟรังซิสอย่างสิ้นเชิงคือ วันหนึ่งขณะที่ท่านกำลังถวายมิสซา และได้อ่านพระวรสารตอนเดียวกันกับที่เราได้ยินในวันนี้ ท่านรู้สึกสะกิดใจจากคำแนะนำของพระเยซูเจ้า ให้ประกาศข่าวดีโดยไม่นำสิ่งใดติดตัวไป แม้กระทั่งอาหารและเงินทอง คำแนะนำของพระเยซูเจ้าคือแนวทางในการดำเนินชีวิตของท่านและหมู่คณะ ในการเดินทางไปประกาศข่าวดีในความยากจนตามหมู่บ้านต่างๆ
พระวรสารวันนี้ได้บรรยายให้เราทราบถึงวิธีการที่พระเยซูเจ้าทรงส่งศิษย์ 72 คนไปยังเมืองและหมู่บ้านต่างๆ เพื่อประกาศข่าวดีและเตรียมทางสำหรับพระองค์ที่จะเสด็จไปภายหลัง อีกทั้งได้ให้คำแนะนำสำหรับพวกเขาในการปฏิบัติตนขณะประกาศข่าวดี นี่จึงเป็นเหมือนกับพันธกิจที่คริสตชนทุกคนที่ได้รับศีลล้างบาปต้องนำไปปฏิบัติ ในการประกาศข่าวดีของพระคริสตเจ้ากับผู้ที่มิใช่คริสตชนหรือพี่น้องที่นับถือศาสนาอื่น
1.     ผู้นำข่าวดีของพระคริสตเจ้า
มีเพียงนักบุญลูกาเท่านั้นที่พูดถึงพันธกิจในการส่งศิษย์ 72 คนไปประกาศข่าวดี เหมือนกับโมเสสได้เลือกผู้อาวุโส 72 คนเพื่อนำทางและปกครองประชาชนในพันธสัญญาเดิม ในพระวรสารวันนี้ลูกาได้นำเสนอพระเยซูเจ้าในฐานะโมเสสคนใหม่ จำนวนศิษย์ 72 คนจึงเป็นตัวแทนของชนชาติต่างๆ ในโลกสมัยพระเยซูเจ้า เพื่อบ่งบอกถึงความมุ่งมั่นของพระองค์ ที่ทรงประสงค์ให้ข่าวดีเรื่องพระอาณาจักรพระเจ้าไปสู่มนุษย์ทุกคน ทุกชาติ ทุกเผ่าพันธุ์ แน่นอนว่า พระประสงค์ของพระองค์จะสำเร็จได้โดยอาศัยเราแต่ละคน ซึ่งเป็นผู้นำข่าวดีแห่งสันติสุขของพระองค์
บรรดาศิษย์ได้รับคำแนะนำว่าจะต้องปฏิบัติตัวอย่างไรในการกระทำพันธกิจนี้ เช่น “อย่านำถุงเงิน ย่ามหรือรองเท้าไปด้วย อย่าเสียเวลาทักทายผู้ใดตามทาง” (ลก 10:4) มีการบอกล่วงหน้าด้วยว่าพวกเขาถูกส่งไปดุจ “ลูกแกะในฝูงสุนัขป่า” (ลก 10:3) โดยให้แนวทางอย่างง่ายๆ คือไปยังบ้านที่ต้อนรับพวกเขา “จงพักอยู่ที่นั่น กินและดื่มของที่พวกเขาจะนำมาให้” (ลก 10:7)  นี่จึงเป็นสิ่งที่ช่วยพวกเขาให้หลีกเลี่ยงการแสวงหาประโยชน์สำหรับตนเอง ความคิดพื้นฐานในคำแนะนำนี้คือ พวกเขาถูกส่งไปเป็นพยาน ดังนั้น พวกเขาจึงไม่ขึ้นอยู่กับสิ่งใดหรือบุคคลใด นอกจากพระจิตเจ้าและพระญาณสอดส่องของพระองค์
พันธกิจนี้จึงมิใช่โครงการของมนุษย์ แต่เป็นแผนการของพระเจ้าซึ่งพวกเขาจะต้องอาศัยพละกำลังจากพระองค์ในการปฏิบัติงาน ถือเป็นการร่วมส่วนในงานของพระเจ้า เป็นองค์พระเจ้าที่ทรงทำงานในเราและผ่านทางเรา พระองค์ทรงประทานพละกำลังในการประกาศการประทับอยู่ของพระองค์ในชีวิตเรา ดังนั้นการมีความสัมพันธ์กับพระเจ้า (ผู้เป็นเจ้าของแท้จริง) จึงเป็นสิ่งจำเป็น นั่นหมายความว่าเราจะต้องเป็นบุคคลแห่งการภาวนา เพื่อจะได้มีชีวิตที่สนิทสัมพันธ์กับพระองค์
2.     บทเรียนสำหรับเรา
คริสตชนแต่ละคนเป็นผู้นำข่าวดีของพระคริสตเจ้า เพื่อสานต่องานของพระองค์ในการช่วยมนุษย์ให้รอด ซึ่งพระวาจาของพระเจ้าวันนี้ได้ให้แนวทางและบทเรียนสำหรับเราหลายประการ
ประการแรก เราต้องวางใจในพระเจ้า ศิษย์ของพระเยซูเจ้าจะต้องไม่วิตกทุกข์ร้อนเรื่องเงินทอง อาหารและเครื่องนุ่งห่ม ไม่ติดใจกับวัตถุสิ่งของภายนอก ดังพระดำรัสที่ว่า อย่านำถุงเงิน ย่ามหรือรองเท้าไปด้วย (ลก 10:4) เพื่อว่าในทางกายภาพ สัมภาระจะได้เบา มีความคล่องตัวในการเดินทางและการทำงาน ส่วนทางจิตใจ พระองค์ตรัสไว้ชัดเจนว่า ทรัพย์สมบัติของท่านอยู่ที่ใด ใจของท่านก็จะอยู่ที่นั่นด้วย (มธ 6:21)
ประการที่สอง เราต้องเป็นผู้นำข่าวดีแห่งความรักและสันติสุข ศิษย์ของพระเยซูเจ้าไม่เพียงเป็นผู้กล่าวคำอวยพรผู้คนที่พบเห็นและบ้านที่ตนเองไปให้มีสันติสุข แต่จะต้องเป็นผู้นำความรักและสร้างสันติสุขให้บังเกิดขึ้นทุกแห่งทุกเวลา เราคงไม่สามารถจะแบ่งปันสันติสุขกับใครได้ หากสันติสุขของพระคริสตเจ้าไม่ได้ครอบครองใจเราและหมู่คณะที่เราสังกัดอยู่
ประการที่สาม เราต้องไม่แสวงหาผลประโยชน์ อย่าเข้าบ้านนี้ออกบ้านโน้น (ลก 10:7) ชาวยิวถือว่าการต้อนรับแขกเป็นหน้าที่อันศักดิ์สิทธิ์ จึงมีประกาศกบางคนฉวยโอกาสแสวงหาความสะดวกสบาย หนังสือ คำสอนของอัครสาวกทั้งสิบสอง (The Teaching of the Twelve Apostles) ได้กำหนดไว้ว่า หากประกาศกผู้ใดพำนักอยู่ที่หนึ่งที่ใดเกิน 3 วันโดยไม่ทำงาน ให้ถือว่าเป็นประกาศกเท็จเทียม และหากประกาศกผู้ใดอ้างพระเจ้าเพื่อรับบริจาคเงินหรืออาหาร ก็ให้ถือว่าเป็นประกาศกเท็จเทียมเช่นเดียวกัน
ประการสุดท้าย เราต้องไม่กลัวสิ่งใด ศิษย์ของพระเยซูเจ้าไม่ได้ดำเนินชีวิตโดยลำพัง พระองค์จะอยู่กับเราจนสิ้นพิภพ อีกทั้ง ต้องไม่ชื่นชมยินดีใน ผลงานของตน เพราะเราเป็นเพียงเครื่องมือของพระเจ้า งานของเราคือเตรียมทางให้พระคริสเจ้าได้พบกับบุคคลนั้น สิ่งที่เราควรชื่นชมยินดีคือ ชื่อของเราได้รับการจารึกไว้ในสวรรค์แล้ว อันเป็นความชื่นชมยินดีแท้และเกียรติสูงส่งของผู้นำข่าวดีแห่งพระอาณาจักรพระเจ้า
บทสรุป
พี่น้องที่รัก การเป็นคริสตชนหมายถึง การมอบตนเองทั้งครบแด่พระคริสตเจ้า นี่คือวิธีเดียวเท่านั้นที่เราจะสามารถมีประสบการณ์ถึงสันติสุขและความยินดีของพระคริสตเจ้าได้ หน้าที่คริสตชนคือ การทำให้ชีวิตของตนและของทุกคนเป็นเหมือนพระเจ้า ด้วยการดำเนินชีวิตเป็นพยานและทำตามพระประสงค์ของพระองค์ เพื่อทำให้พระอาณาจักรพระเจ้าปรากฏเป็นจริงในโลก
“ข้าวที่จะต้องเก็บเกี่ยวนั้นมีมาก แต่คนงานมีน้อย” (ลก 10:2) แผนการแห่งความรอดของพระเจ้านั้นไม่ได้มีไว้เฉพาะประชาชนในดินแดนปาเลสไตน์เท่านั้น แต่สำหรับทุกคน ทุกชาติ ทุกภาษา เราจึงมีหน้าที่นำข่าวดีแห่งความรักและสันติสุขของพระคริสตเจ้าไปยังทุกคน ด้วยการเจริญชีวิตเป็นคริสตชนที่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในความรักต่อกัน เพื่อว่าคนอื่นที่เห็นกิจการดีในตัวเราจะได้ชมสรรเสริญพระเจ้าของเรา
คุณพ่อขวัญ ถิ่นวัลย์
danielkhuan@hotmail.com
โรงเรียนเซนต์ยอแซฟกุฉินารายณ์
5 กรกฎาคม 2013

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น