วันศุกร์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

เราต้องเป็นชาวสะมาเรียผู้ใจดี


เราต้องเป็นชาวสะมาเรียผู้ใจดี

วันอาทิตย์
สัปดาห์ที่ 15 เทศกาลธรรมดา
ปี C
ฉธบ 30:10-14
คส 1:15-20
ลก10:25-37

บทนำ

บ๊อบ บัตเลอร์ ได้สูญเสียขาทั้งสองข้างเพราะเหยียบกับระเบิดในสงครามเวียดนามในปี ค.ศ. 1965 และเดินทางกลับบ้านเยี่ยงวีรบุรุษ หลังจากนั้นยี่สิบปีเขาได้พิสูจน์ความเป็นวีรบุรุษนี้อีกครั้ง วันหนึ่งขณะที่เขากำลังทำงานในโรงรถของเขาที่เมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งในรัฐอลิโซนา เขาได้ยินเสียงกรีดร้องจากในบ้านที่อยู่ใกล้ๆ เขารีบรุดไปยังบ้านหลังนั้นด้วยรถเข็นคู่ชีพ เมื่อไปถึงสระน้ำ เขาพบเด็กหญิงวัยสามขวบคนหนึ่งกำลังจมน้ำ เธอไม่มีแขนทั้งสองข้าง คงพลัดตกลงไปและว่ายน้ำไม่เป็น แม่ของเธอยืนกรีดร้องปิ่มว่าจะขาดใจ

บัตเลอร์กระโจนลงไปในสระนำเด็กหญิงนั้นกลับขึ้นมา หน้าเธอซีด ชีพจรไม่เต้นและไม่มีลมหายใจแล้ว เขารีบทำการผายปอดเพื่อช่วยชีวิต ขณะที่แม่เด็กรีบโทรศัพท์ไปที่หน่วยฉุกเฉินแต่ไม่มีใครอยู่เลย เธอรู้สึกสิ้นหวัง ซบไหล่เขาและสะอื้นไห้ เขาบอกเธอว่า “อย่ากังวลไปเลย ผมได้อุ้มเธอขึ้นมาจากน้ำ เป็นแขนให้เธอ ไม่เป็นไรแล้ว ตอนนี้ผมกำลังเป็นปอดให้เธอ เราต้องทำได้” ไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น เด็กหญิงสำลัก รู้สึกตัวและเริ่มร้องไห้ แม่ของเด็กหญิงสวมกอดเขาด้วยความยินดี

แม่ของเด็กถามบัตเลอร์ว่าทราบได้อย่างไรว่า “จะไม่เป็นไร” เขาบอกเธอว่า ความจริงคือเขาไม่รู้ แต่เมื่อขาทั้งสองข้างของเขาขาดเพราะแรงระเบิด ไม่มีใครอยู่บริเวณนั้นนอกจากเด็กหญิงชาวเวียดนามคนหนึ่ง เธอพยายามลากเขาเข้าไปในหมู่บ้านและกระซิบที่หูว่า “ไม่เป็นไรแล้ว คุณยังไม่ตาย หนูจะเป็นขาให้คุณ” คำพูดนี้ทำให้เขามีความหวังและพยายามที่จะทำเช่นเดียวกันกับเด็กหญิงคนนี้ มีบางครั้งในชีวิตที่เราไม่สามารถยืนโดยลำพัง เราต้องการชาวสะมาเรียผู้ใจดี เราต้องการใครสักคนที่เป็นแขน เป็นขาและเป็นเพื่อนเรา

1.  เราต้องเป็นชาวสะมาเรียผู้ใจดี

นักกฎหมายได้ถามคำถามพื้นฐานทางศาสนาคำถามหนึ่งกับพระเยซูเจ้าว่า “ข้าพเจ้าจะต้องทำสิ่งใดเพื่อจะได้ชีวิตนิรันดร” ในคำตอบพระเยซูเจ้าได้นำความสนใจของนักกฎหมายไปที่พระคัมภีร์ นั่นคือ “รักพระเจ้าและแสดงออกในการรักเพื่อนมนุษย์” แต่สำหรับนักกฎหมายคำว่า “เพื่อนมนุษย์” หมายถึงนักกฎหมายหรือชาวฟาริสีด้วยกัน มิใช่ชาวสะมาเรียหรือคนต่างศาสนา และขอให้พระองค์ขยายความคำว่าเพื่อนมนุษย์ พระองค์จึงได้ตรัสคำอุปมาเรื่อง “ชาวสะมาเรียผู้ใจดี” ให้เขาฟัง

ในจำนวนคำอุปมาของพระเยซูเจ้า  คำอุปมาเรื่อง “ชาวสะมาเรียผู้ใจดี” ถือเป็นคำอุปมาที่งดงามและเกี่ยวข้องกับภาคปฏิบัติมากที่สุด  ถือเป็นบทสรุปคำสอนในภาคปฏิบัติของพระเยซูเจ้าก็ว่าได้  และได้ให้คำตอบต่อปัญหาของนักกฎหมาย 2 ข้อด้วยกัน

1)        ใครเป็นเพื่อนมนุษย์ของข้าพเจ้า คำตอบของคำอุปมาคือ ใครก็ได้ที่ต้องการความช่วยเหลือ สำหรับชาวยิวถือเป็นสิ่งที่สะดุดอย่างมาก เพราะพวกเขาจะช่วยเฉพาะชาวยิวด้วยกันเท่านั้น   เช่น ถ้าในวันสะบาโตเกิดมีกำแพงล้มทับคน เขาจะขุดรากพอให้ดูรู้ว่าคนเจ็บเป็นยิวหรือต่างชาติ  ถ้าเป็นยิวเขาจะได้รับการช่วยชีวิต แต่ถ้าเป็นคนต่างชาติจะถูกทิ้งให้ทนทุกข์ต่อไป

2)        ข้าพเจ้ามีหน้าที่ปฏิบัติต่อเพื่อนมนุษย์ที่เดือดร้อนอย่างไร คำตอบของคำอุปมาคือ จงมีความสงสารที่สำแดงออกในรูปของการช่วยเหลือ คงไม่ต้องสงสัยว่าทั้งสมณะและชาวเลวีได้เกิดความสงสารคนบาดเจ็บเจียนตาย แต่เขาไม่ได้กระทำอะไรที่แสดงความสงสารออกมาในรูปของการช่วยเหลือที่เป็นรูปธรรมเลย

2.  บทเรียนสำหรับเรา

คำอุปมาเรื่องชาวสะมาเรียผู้ใจได้ ได้ให้บทเรียนที่สำคัญสำเราคริสตชนหลายประการ ในการนำไปปฏิบัติในชีวิตประจำวัน

ประการแรก เรามีหน้าที่ที่จะต้องช่วยเหลือผู้อื่น (แม้จะเกิดจากความผิดพลาดของเขาเอง)  เราเห็นชัดว่าคนที่บาดเจ็บเป็นคนประมาท เดินทางโดยลำพังในเส้นทางที่อันตราย เส้นทางจากเยรูซาเล็มสู่เยรีโคคือเส้นทางสู่บ้าน วัด โรงเรียนและที่ทำงานที่เราพบคนที่ถูกโจรปล้น ถูกกดขี่และเดือดร้อนที่ต้องการความช่วยเหลือเสมอ บางที่อาจเป็นในบ้านของเราเองที่เราพบคนกำลัง “บาดเจ็บ” เพราะคำพูดที่ไม่สร้างสรรค์ ดุด่า เฉยเมยเย็นชา หรือการแสดงอารมณ์ความรู้สึกที่เกินขอบเขตของเรา เหนือสิ่งอื่นใด สิ่งที่พระเจ้าทรงประสงค์คือ ให้เราแสดงความรักต่อผู้อื่น

ประการที่สอง การช่วยเหลือคนที่เดือดร้อนคือหลักปฏิบัติสำคัญอันดับแรก เราเห็นสมณะมีใจจดจ่อกับการปฏิบัติหน้าที่ตามจารีตพิธีในพระวิหาร ถือปฏิบัติตามกฎเกณฑ์เรื่องการเป็นมลทินอย่างเคร่งครัด จนลืมความต้องการของเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน  เราได้รับการเชื้อเชิญให้เป็นคนใจกว้าง ใจดีและมีเมตตากรุณาต่อผู้ที่กำลังเดือดร้อน รอยยิ้ม คำทักทาย คำพูดที่ให้กำลังใจและคำขอบคุณที่จริงใจ สามารถก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในใจคนเหล่านี้ได้

ประการที่สาม เราต้องช่วยเหลือคนเดือนร้อนแม้ว่าจะต้องเสี่ยง ชาวเลวีไม่ยอมเสี่ยง เพราะเกรงว่าตนเองจะติดร่างแหไปด้วย  เหตุผลที่เราไม่กล้าเสี่ยงเพราะไม่อยากเดือดร้อน คิดคำนวณดูแล้วไม่คุ้ม ทำให้เสียงาน เสียเวลาและเสียเงิน  แต่พระเยซูเจ้าสอนเราว่า อย่าชั่งน้ำหนัก อย่าคำนวณ แต่จงยอมแพ้ต่อความรัก และถือทุกคนเป็นเพื่อนมนุษย์ของเรา เพราะทุกคนต่างเป็นฉายาของพระเจ้าและได้รับการไถ่ด้วยพระโลหิตของพระองค์เหมือนกัน

ประการสุดท้าย เราต้องเป็นชาวสะมาเรียผู้ใจดี  ที่กระทำในสิ่งที่คนเคร่งศาสนา ชื่อเสียงดี มีเกียรติภูมิไม่ทำกัน เขาเป็นคนธรรมดาที่ไม่มีชื่อ เป็นคนต่างถิ่นที่เดินทางตามลำพัง ไม่ได้มีทรัพย์สินมาก  แต่ ตาของเขาช่างสังเกต และหัวใจของเขาเต้นในจังหวะเดียวกันกับหัวใจของพระเจ้า เขาเป็นคนแปลกหน้า แต่ได้ช่วยเหลือคนบาดเจ็บและทำตัวเป็นผู้ดูแลดุจพี่น้อง เขาตีความพระบัญญัติประการที่ 5 อย่าฆ่าคนว่าหมายถึง ท่านต้องทำสิ่งที่ทำได้เพื่อให้ผู้อื่นมีชีวิตอยู่ต่อไป

บทสรุป      

พี่น้องที่รัก ขอให้เราดำเนินชีวิตในแต่ละวันด้วยการเป็นชาวสะมาเรียผู้ใจดี ที่มีดวงตาและหูที่เปิดกว้าง โดยมีเข็มทิศแห่งความเมตตาเป็นเครื่องนำทาง ยอมให้หัวใจของเราเต้นในจังหวะเดียวกันกับหัวใจของพระเจ้า เพื่อเราจะตัดสินได้ว่า มีสิ่งไหนที่เราสามารถทำได้ ในอันที่จะช่วยคนที่ เกือบสิ้นชีวิต ที่เราพบในแต่ละวันได้มีชีวิตอยู่ต่อไป ทั้งนี้ เพื่อเห็นแก่ความรักที่เรามีต่อพระเจ้าและเพื่อนมนุษย์

ที่สุด ขอให้คำสั่งของพระเยซูเจ้าที่ว่า จงไปและทำเช่นเดียวกันเถิด ปลุกเร้าหัวใจเราให้ทำเช่นเดียวกัน การเป็นคริสตชนไม่เพียงรู้ถึงความรักของพระเจ้าและเพื่อนมนุษย์ แต่ต้องแสดงความรักนี้ออกมาในภาคปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม ไม่เดินผ่านเลยไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อพี่น้องที่เดือดร้อนและต้องการความช่วยเหลือ เมื่อเป็นเช่นนี้ก็แน่ใจได้ว่า เส้นทางสายชีวิตนิรันดร ได้เปิดกว้างอยู่เบื้องหน้าเราแล้ว

คุณพ่อขวัญ ถิ่นวัลย์
danielkhuan@hotmail.com
โรงเรียนเซนต์ยอแซฟกุฉินารายณ์
12 กรกฎาคม 2013

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น