วันพฤหัสบดีที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ความอดทนของพระเจ้า



  ความอดทนของพระเจ้า  

วันอาทิตย์
สัปดาห์ที่ 16 เทศกาลธรรมดา
ปี A
ปชญ 12: 13, 16-19
รม 8: 26-27
มธ 13: 24-43

บทนำ

มีเรื่องเล่าว่า พระสังฆราชองค์หนึ่งเดินทางไปทวีปยุโรปกับเรือเดินสมุทรขนาดใหญ่ เมื่อขึ้นไปบนเรือก็พบว่าต้องพักร่วมห้องกับผู้โดยสารชายคนหนึ่ง หลังจากจัดสำภาระในกระเป๋าเป็นที่เรียบร้อย พระสังฆราชได้ไปหากับตันเรือ เพื่อขอให้ช่วยเก็บสร้อยทองและของมีค่าอื่นๆ ในตู้เซฟไว้ให้ โดยให้เหตุผลว่าชายคนที่พักร่วมห้องดูท่าทางไม่น่าไว้ใจ และกลัวว่าเขาจะขโมยของมีค่าของตน

กับตันเรือยิ้มและบอกกับพระสังฆราชองค์นั้นว่า “ด้วยความยินดีครับพระคุณเจ้า ผมจะเก็บรักษาสมบัติของพระคุณเจ้าไว้ให้อย่างดีและปลอดภัย” ไม่นานหลังจากนั้น ชายคนที่พักร่วมห้องกับพระสังฆราชได้มาหากัปตันเรือบ้าง และฝากของมีค่าของตนให้กับตันเรือช่วยเก็บรักษาไว้ ด้วยเหตุผลเดียวกันคือเขารู้สึกไม่ไว้ใจพระสังฆราชที่พักร่วมห้องเดียวกันกับเขา

พระวรสารวันนี้เตือนเราว่า เราไม่ควรตัดสินคนอื่นโดยเบาความ แทนที่จะไปตัดสินว่าใครดี ใครไม่ดี ใครน่าไว้ใจหรือไม่น่าไว้ใจ แต่เราควรเลียนแบบอย่างของพระเจ้า ผู้ซึ่งให้โอกาสและมองทุกคนในแง่ดี “พระองค์โปรดให้ดวงอาทิตย์ของพระองค์ขึ้นเหนือคนดีและคนชั่ว โปรดให้ฝนตกเหนือคนชอบธรรมและคนอธรรม” (มธ 5:45) โดยทั่วไป เรามักจะจำแนกสิ่งไหนดีและไม่ดีจากสิ่งที่เราเห็นปรากฏภายนอก แต่พระเจ้ากลับแสดงออกในลักษณะที่ตรงข้าม พระองค์มองลึกเข้าไปถึงสิ่งที่อยู่ในใจ

1. ความอดทนของพระเจ้า

ในคำอุปมาเรื่อง “ข้าวละมาน” พระเยซูเจ้าได้ให้ความมั่นใจกับเราว่า เราเป็นเนื้อนาของพระเจ้า เราเป็นดินที่พระเจ้าทรงปลูกเมล็ดพันธุ์ดีให้เจริญเติบโต เราเป็นหมู่คณะที่ทรงเจิมด้วยพระจิตเจ้า ในคำอุปมา พระเยซูเจ้าแสดงให้เห็นถึงความอดทนและพระทัยเมตตาของพระเจ้า ผู้ซึ่งอนุญาตให้คนดีกับคนไม่ดีอยู่ด้วยกันในโลก เพื่อให้โอกาสคนไม่ดีได้กลับใจก่อนที่วาระสุดท้ายจะมาถึงและต้องรับการลงโทษ “จงปล่อยให้ข้าวสองชนิดงอกงามขึ้นด้วยกันจนถึงฤดูเก็บเกี่ยว” (มธ 14:30) ในอีกด้านหนึ่ง พระเจ้าทรงรอคอยการสำนึกผิด ทรงประทานความเข้มแข็งในการเอาชนะความอ่อนแอ ในคำอุปมานี้ พระเยซูเจ้าได้เรียกเราให้อดทนต่อผู้ที่ผิดพลาดในการดำเนินชีวิตคริสตชน

เราจะต้องไม่ประณามคนอื่นว่าเป็นคนชั่ว เป็นวัชพืชที่ต้องกำจัดทิ้ง เพราะในความเป็นจริง ในตัวเราเองก็มีทั้งความดีและความไม่ดี นักบุญเปาโลเป็นคนหนึ่งที่ตระหนักถึงธรรมชาติของความดีและความชั่วในตัวท่าน “เมื่อใดข้าพเจ้าอยากทำดี เมื่อนั้นความชั่วก็มาอยู่ใกล้ข้าพเจ้าเสมอ...” (รม 7:21-25) พระเจ้าตรัสกับเปาโลว่า ผ่านทางความอ่อนแอที่ท่านมีนี้เท่านั้นที่พระเจ้าจะเผยแสดงพระสิริของพระองค์ “พระหรรษทานของเราเพียงพอสำหรับท่าน เพราะพระอานุภาพแสดงออกเต็มที่เมื่อมนุษย์มีความอ่อนแอ” (2 คร 12:9) ดังนั้น เราจึงต้องอดทนต่อความไม่ดีต่างๆ ของกันและกัน

ประการสำคัญ เวลาแห่งการพิพากษายังมาไม่ถึง เพราะพระอาณาจักรของพระเจ้ากำลังเจริญเติบโต เป็นช่วงเวลาแห่งการกลับใจเปลี่ยนแปลงตนเอง กระนั้นก็ดี คำอุปมาได้แสดงให้เห็นถึงเวลาที่แน่นอนในการแยกข้าวพันธุ์ดีกับข้าวละมานออกจากกันในฤดูเก็บเกี่ยว ที่จะมี การแยกปลาดีจากปลาเน่าเสีย (มธ 13:47-50) แยกแกะออกจากแพะ (มธ 25:31-46) แต่ “การเก็บเกี่ยว” เป็นหน้าที่ของพระเจ้าไม่ใช่หน้าที่ของเรา ดังนั้น แทนที่เราจะถามพระเจ้าว่าทำไมพระองค์ปล่อยให้มีความชั่ว (การก่อการร้าย ภัยพิบัติ ฆาตกรรม ฯลฯ) เกิดขึ้น เราควรถามตนเองว่าจะร่วมมือกับพระหรรษทานของพระองค์ ในการกำจัดข้าวละมานแห่งความเห็นแก่ตัว ความโลภ ความอิจฉาริษยา และความเกลียดชังให้ออกไปจากใจเราได้อย่างไร

2. บทเรียนสำหรับเรา

คำอุปมานี้ ได้ให้บทเรียนที่สำคัญกับเราหลายประการ หากเราต้องการก้าวหน้าในการเป็นข้ารับใช้ที่ซื่อสัตย์ของพระเจ้า

ประการแรก เราจะต้องฝึกฤทธิ์กุศลความอดทน เราจะต้องอดทนต่อตัวเราเองและผู้อื่นในความอ่อนแอและข้อบกพร่องของกันและกัน เพราะในความเป็นจริงไม่มีใครที่สมบูรณ์ครบครันและดีพร้อม (คงมีแต่เทวดาเท่านั้น) เราจะต้องมีทัศนะเชิงบวกในการมองสิ่งต่างๆ เข้าทำนอง “ในชั่วมีดี ในดีมีชั่ว” อีกทั้งปฏิบัติต่อกันด้วยความรัก ความเห็นอกเห็นใจและไม่ซ้ำเติมใคร เพราะมีแต่สิ่งนี้เท่านั้นที่จะช่วยเพื่อนพี่น้องของเราที่ผิดหลงให้หันกลับมาเดินในหนทางที่ถูกต้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผ่านทางแบบอย่างที่ดีและการภาวนาด้วยความร้อนรนของเราเพื่อเขา

ประการที่สอง เราจะต้องไม่ตัดสินคนอื่นโดยเบาความ การตัดสินเป็นหน้าที่ของพระเจ้า แต่สิ่งที่เราควรทำคือมองดูชีวิตของเรา พิจารณาถึงความผิดบกพร่องต่างๆ ที่เราได้กระทำ สำนึกผิดและกลับมาหาพระเจ้า เพื่อเราจะได้เกิดผลสำหรับพระองค์ ดังนั้น ผู้ที่เราควรตัดสินจึงไม่ใช่คนอื่นแต่เป็นตัวเราเอง แต่โดยทั่วไปเรามักจะมองข้ามความผิดของตนเอง กลับมองเห็นแต่ความผิดของคนอื่น ดังคำกล่าวที่ว่า “ความผิดของคนอื่นมองเห็นเท่าขุนเขา ความผิดของตนเล่ามองเห็นเท่าเส้นขน”

ประการที่สาม เราจะต้องให้โอกาสคนที่กระทำความผิด เจ้าของสวนปล่อยให้ข้าวพันธุ์ดีและข้าวละมานเจริญเติบโตด้วยกัน แสดงให้เห็นถึงพระทัยเมตตาของพระเจ้าที่ทรงอดทนและให้โอกาสคนบาปเสมอ พระเยซูเจ้าไม่ได้กำจัดยูดาสและเปโตรออกไปจากหนทางแห่งการไถ่กู้มนุษย์ให้รอด ทั้งๆ ที่ทรงทราบล่วงหน้าว่าคนหนึ่งจะทรยศและอีกคนจะปฏิเสธพระองค์ ตรงข้ามทรงให้โอกาส ความรักที่ไม่มีเงื่อนไขและการให้อภัยไม่สิ้นสุดของพระองค์ ได้เปลี่ยนแปลงเปโตรให้กลายเป็นเสาหลักของพระศาสนจักร เราจึงมีความรับผิดชอบในการดำเนินชีวิตความรักและการให้อภัยตามแบบของพระองค์กับเพื่อนพี่น้อง

บทสรุป

พี่น้องที่รัก ในคำอุปมาที่พระเยซูเจ้าทรงเล่าในพระวรสารวันนี้ พระองค์ได้สอนเราเกี่ยวกับธรรมล้ำลึกแห่งพระอาณาจักรสวรรค์ พระองค์ได้ตรัสถึงการเจริญเติบโตและการเปลี่ยนแปลงจากสิ่งที่เล็กที่สุด กลายเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ประการสำคัญ พระเจ้าผู้หว่านเมล็ดพันธุ์ดี ได้อนุญาตให้ข้าวละมานเจริญเติบโตขึ้นด้วยกัน จนถึงเวลาแห่งการเก็บเกี่ยวพระองค์ถึงจะปฏิบัติต่อคนดีและคนไม่ดีตามความประพฤติของเขา

ในพระวรสารวันนี้ พระเยซูเจ้าทรงมอบข่าวดีที่ชัดแจ้งให้กับเรา หากเราต้องการเป็นข้ารับใช้ที่ซื่อสัตย์ของพระเจ้า เราต้องอดทนต่อความผิดบกพร่องของกันและกัน ไม่ตัดสินคนอื่นโดยเบาความ และให้โอกาสกับคนที่กระทำความผิดได้ปรับปรุงแก้ไขตนเอง บนพื้นฐานแห่งความรักที่ไม่มีเงื่อนไขและการให้อภัยไม่สิ้นสุด ตามแบบอย่างของพระเยซูเจ้า พระอาจารย์เจ้าของเรา

คุณพ่อขวัญ ถิ่นวัลย์
danielkhuan@hotmail.com
บ้านผู้หว่าน สามพราน
14 กรกฎาคม 2011

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น