วันศุกร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

พระวาจาของพระเจ้าและใจของมนุษย์


 พระวาจาของพระเจ้าและใจของมนุษย์  
วันอาทิตย์ สัปดาห์ที่ 15
เทศกาลธรรมดา
ปี A
อสย  55:10-11
รม 8:18-23
มธ 13:1-23

บทนำ

คำอุปมาเรื่อง “ผู้หว่าน” ในพระวรสารของนักบุญมัทธิว ถือเป็นคำอุปมาแรกที่งดงามของพระเยซูเจ้า ที่ทรงสั่งสอนประชาชนจากเรื่องราวในชีวิตประจำวันที่พวกเขาคุ้นเคยดีอยู่แล้ว คำอุปมาได้กล่าวถึงลักษณะของดิน 4 ประเภทด้วยกัน

ประเภทที่ 1 ดินตามทางเดิน พื้นที่ในการเพาะปลูกในปาเลสไตน์จะแตกต่างกับไร่นาที่เราคุ้ยเคย ที่มีคันนากั้นหรือรั้วล้อม แต่ในปาเลสไตน์มีลักษณะเป็นแปลงแคบๆ สั้นบ้าง ยาวบ้างและมีทางเดินเล็กๆ กั้นระหว่างแปลงไว้เป็นทางเดิน ด้วยสภาพที่ผู้คนย่ำไปมาดินจึงค่อนข้างแข็ง ยากที่เมล็ดพืชจะงอกขึ้นได้

ประเภทที่ 2 ดินบนหิน ในปาเลสไตน์มีพื้นที่หลายแห่งที่มีลักษณะเป็นหินปูนมีดินน้อย พืชที่ตกลงบนดินประเภทนี้แม้จะงอกอย่างรวดเร็ว แต่ไม่มีความชื้นและอาหารที่เพียงพอ จึงไม่อาจต้านทานความร้อนของแสงแดด ทำให้เหี่ยวเฉาและตายไป

ประเภทที่ 3 ดินในกอหนาม ในปาเลสไตน์มีวัชพืชที่มีลักษณะเป็นกอหนาม มีความแข็งแรงกว่าพืชธรรมดามาก หากเมล็ดวัชพืชนี้ตกลงในดินที่เตรียมไว้ ก็จะขึ้นปกคลุมอย่างรวดเร็ว จนทำให้พืชดีที่ต้องการเพาะปลูก แคระแกรนไปในที่สุด

ประเภทที่ 4 ดินดี เป็นดินที่มีคุณภาพทำให้เมล็ดพืชเจริญเติบโตได้ดี มีความลึกเพียงพอที่จะทำให้เมล็ดพืชหยั่งรากหาอาหารและความชื้นที่ต้องการ ทำให้เมล็ดพืชเติบโตขึ้นอย่างเต็มที่

ดิน 4 ประเภทที่กล่าวมาพบอยู่ทั่วไปในดินแดนปาเลสไตน์ ผู้ฟังจึงนึกภาพออกได้ทันทีเมื่อได้ยินพระเยซูเจ้าตรัส ดินทั้งสี่ชนิดคือจิตใจของมนุษย์ที่แตกต่างกัน เป็นตัวแทนของผู้คนที่ฟังพระวาจาของพระเยซูเจ้าซึ่งมีหลายประเภทด้วยกัน

1.  พระวาจาของพระเจ้าและใจของมนุษย์

พระเยซูเจ้ามิได้อธิบายคำอุปมาที่พระองค์เล่าทุกเรื่อง แต่คำอุปมาเรื่อง “ผู้หว่าน” มีคำอธิบายในตอนท้าย (มธ 13:18-23) ซึ่งนักพระคัมภีร์ถือว่าเป็นส่วนที่นำมารวมเข้าในภายหลัง เมล็ดพืชคือพระวาจาหรือพระประสงค์ของพระเจ้า และดินคือใจมนุษย์ คำอธิบายได้เน้นถึงชนิดของใจหลายแบบ ที่ปฏิเสธพระวาจาของพระเจ้า ในความเป็นจริง เราแต่ละคนคือตัวแทนของดินสี่ประเภทที่แตกต่างกัน

1) ดินตามทางเดิน หมายถึง “ใจที่แข็งกระด้าง” อันแสดงถึงดวงใจที่ปิดสนิท ความจริงไม่สามารถทะลุเข้าไปถึงจิตใจคนประเภทนี้ได้เลย อะไรที่ทำให้ใจมนุษย์แข็งเป็นหิน คำตอบคือ บาปทำให้ใจแข็งกระด้างและจิตใจที่แข็งกระด้างก็ทำบาปมากขึ้น จนกลายเป็นความชินชา เกียจคร้าน หวาดกลัวและหยิ่งยโส สำคัญผิดคิดว่าตนเองรู้หมดทุกอย่างแล้ว จึงไม่มีความจำเป็นต้องเรียนรู้อะไรอีกต่อไป

2) ดินบนหิน หมายถึง “คนที่มีความเชื่อแบบตื้นเขิน” เหมือนดินที่ปกคลุมพื้นหินเมื่อเมล็ดพืชตกลงไปไม่สามารถหยั่งรากลึกได้เพราะมีเนื้อดินน้อย มันงอกขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่มีรากจึงเหี่ยวเฉาไปเมื่อแดดจัด คนจำนวนมากเป็นเช่นนี้ เป็นคริสตชนแต่ในทะเบียนบ้าน มาวัดเพื่อให้เหมือนคนอื่น เฮ็ดให้มันคือบ้านคือเมือง” เมื่อเผชิญปัญหาหรือความยากลำบากก็ละทิ้งไป

3) ดินในกอหนาม หมายถึง “คนที่หมกมุ่นกับหลายสิ่ง” ไม่มีเวลามาวัด สวดภาวนา อ่านพระคัมภีร์ หรืออยู่เงียบๆ กับพระเจ้า การปล่อยตัวตามความสะดวกสบายและความโน้มเอียงไม่ดีต่างๆ ทำให้จิตใจถูกครอบงำด้วยความเกลียดชัง อิจฉาริษยา และความโลภ สิ่งที่พวกนี้สนใจมีแต่เพียงอย่างเดียวคือ เงิน (ดังตัวอย่างของยูดาสที่ติดตามพระเยซูเจ้าเป็นเวลานาน แต่ไม่สามารถเอาชนะความละโมบในใจได้)

4) ดินดี หมายถึง “ใจที่เปิดกว้าง” พวกเขาพร้อมที่จะรับฟังพระวาจาของพระเจ้าและนำมาปฏิบัติด้วยความร้อนรน ใครที่นำพระวาจาของพระเจ้ามาปฏิบัติในชีวิตจริง พระวาจาย่อมก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในแบบที่พวกเขาคาดไม่ถึง

2.  บทเรียนสำหรับเรา

คำอุปมานี้ ได้ให้บทเรียนที่สำคัญสำหรับเราหลายประการ
ประการแรก พระเจ้าทรงให้โอกาสเรา ผู้หว่านไม่ปฏิเสธที่จะหว่านเมล็ดพืช แม้จะรู้ว่าบางเมล็ดจะต้องเสียไปโดยเปล่าประโยชน์ ไม่มีโอกาสเติบโตหรือเกิดผลใดๆ แต่เขามั่นใจว่าจะมีบางเมล็ดที่ตกในเนื้อดินดีและเกิดผล ดังนั้น เราจึงไม่ควรท้อถอยในการเป็นคริสตชน และในการประกอบคุณงามความดี เราต้องพร้อมที่จะยอมเสี่ยง ไม่รอให้ทุกอย่างพร้อมเสียก่อน เราถึงจะกลับใจมาหาพระเจ้า

ประการที่สอง พระวาจาของพระเจ้ามีความหมายอย่างไรสำหรับเรา สิ่งที่เราจะต้องถามตนเองอยู่เสมอคือ เราได้เปิดใจรับฟังพระวาจาของพระเจ้ามากน้อยแค่ไหน เรากำลังสลวนอยู่กับสิ่งใดในชีวิต เงินทองหรือความมั่นคงในชีวิต พระวาจาของพระเจ้าได้หยั่งรากลึกในจิตใจเราหรือเปล่า ได้เปลี่ยนแปลงตัวเราทำให้เราเติบโตยิ่งขึ้นและเกิดผลในความรักต่อพระองค์และเพื่อนพี่น้องมากน้อยเพียงใด

ประการที่สาม เราเป็นดินประเภทไหน เราได้ตอบสนองต่อพระวาจาและพระประสงค์ของพระเจ้าสำหรับตัวเราอย่างไร เราได้ปล่อยให้การประจญหรือค่านิยมของโลกนี้ ครอบงำการเจริญเติบโตของเมล็ดพันธ์แห่งพระวาจาในตัวเราหรือเปล่า เราได้ตอบสนองต่อเสียงเรียกของพระเจ้าในการนำพระวาจาของพระองค์ไปยังบุคคลต่างๆ ที่เราพบเห็นในชีวิตประจำวันมากน้อยแค่ไหน

บทสรุป

พี่น้องที่รัก ดินดีคือใจที่เปิดกว้างรับฟังพระวาจาของพระเจ้าและนำไปปฏิบัติในชีวิต เป็นการเปิดใจรับความจริงของพระเจ้า และยอมให้ความจริงนั้นหยั่งรากลึกในชีวิตและเกิดผลในจิตใจ หันหลังให้บาปและความโน้มเอียงไม่ดีต่างๆ ที่ครอบงำจิตใจ เพื่อกลับมาหาพระเจ้าและขอให้พระองค์พรวนดินรดน้ำดินที่แข็งให้ร่วนซุย ขุดหินขึ้นมา และดึงหนามทิ้งไป เพื่อใจเราจะได้กลายเป็นดินดีและเกิดผลร้อยเท่า

การดำเนินชีวิตคริสตชนไม่เพียงมาวัดฟังพระวาจาของพระเจ้าอาทิตย์ละหน แต่ต้องตอบสนองด้วยหัวใจทั้งครบ ในการรำพึงถึงพลังและความหมายของพระวาจา ต้องเจริญชีวิตตามพระวรสารและประกาศมันแก่ผู้อื่นผ่านทางชีวิตของเรา เมล็ดพันธุ์แห่งพระวาจาจะต้องหยั่งรากลึกในตัวเรา เพื่อให้ใจของเราเป็นดินดีที่พระวาจาสามารถเจริญเติบโตอย่างอุดมสมบูรณ์
คุณพ่อขวัญ ถิ่นวัลย์
danielkhuan@hotmail.com
วัดพระคริสตประจักษ์ นาบัว
8 กรกฎาคม 2011

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น