อย่ากลัวเลย
วันอาทิตย์
สัปดาห์ที่ 19 เทศกาลธรรมดา
ปี A
|
1พกษ 19:9.11-13
รม 9:1-5
มธ 14:22-33
|
บทนำ
การเดินเรือในอดีต
เด็กหนุ่มที่ใฝ่ฝันอยากออกทะเลเป็นกลาสี ต้องผ่านบททดสอบที่สำคัญ
ในวันที่ทะเลเกิดพายุกะลาสีได้สั่งให้เด็กหนุ่มปีนเสากระโดงเรือ ในช่วงแรกของการปีนดูเหมือนง่าย
เพราะตาของเขาเพ่งมองท้องฟ้า แต่เมื่อปีนเลยครึ่งเสา
เขาได้ทำผิดด้วยการมองดูคลื่นลมเบื้องล่าง จนเกิดอาการวิงเวียนตาลายและกำลังจะตกลงมา
กะลาสีที่เฝ้าดูอยู่ได้ร้องบอกเขาให้มองท้องฟ้าเหมือนเดิม
เขาปฏิบัติตามคำแนะนำของกะลาสีแต่โดยดี จนสามารถผ่านบททดสอบนี้อย่างปลอดภัย ความผิดพลาดของเด็กหนุ่มที่ละสายตาจากเป้าหมายและก้มมองดูคลื่นลมข้างล่าง
เหมือนกับสิ่งที่เปโตรทำในพระวรสารวันนี้
เปโตรละสายตาจากพระเยซูเจ้าและมองดูคลื่นลมที่น่ากลัวรอบตัวท่าน
พระวรสารวันนี้
กล่าวถึงอัศจรรย์สองอย่างที่พระเยซูเจ้าทรงกระทำคือ การเดินบนน้ำและการช่วยสาวกของพระองค์ให้รอดจากพายุแรงกล้า
พระองค์ได้สั่งให้บรรดาศิษย์ลงเรือไปยังอีกฝากหนึ่ง
ขณะที่พระองค์เสด็จขึ้นไปบนภูเขาเพื่ออธิษฐานภาวนา ทรงกระทำเช่นนี้เป็นประจำหลังเสร็จสิ้นภารกิจประจำวัน
1.
อย่ากลัวเลย
การเดินบนน้ำของพระเยซูเจ้าแสดงให้เห็นว่าพระองค์เป็นพระเจ้า
ผู้ทรงอำนาจเหนือพลังทางธรรมชาติและสิ่งเหนือธรรมชาติทุกอย่าง
ชาวยิวมีความเชื่อว่าท้องทะเลอยู่ใต้อำนาจของปีศาจ ทะเลที่บ้าคลั่งและพายุที่พัดกระหน่ำเป็นผลงานของจิตชั่ว
ดังนั้น การเดินบนน้ำทะเลและบังคับคลื่นลมให้สงบลงได้ แสดงให้เห็นว่าพระองค์ทรงอำนาจเหนือจิตชั่ว
สามารถบังคับควบคุมปีศาจให้อยู่ใต้อำนาจได้
เรือที่แล่นอยู่กลางทะเลเป็นสัญลักษณ์หมายถึง พระศาสนจักรที่กำลังเดินทางในโลก
เรือที่ถูกคลื่นซัดเป็นรูปหมายถึงพระศาสนจักร ที่ถูกค่านิยมและกระแสของโลกถาโถมเข้าใส่
โดยเฉพาะในระยะเริ่มแรกของพระศาสนจักรที่ถูกเบียดเบียนอย่างรุนแรง ท่ามกลางภาวะวิกฤตพระเยซูเจ้าได้เสด็จมา
เพื่อสร้างสันติภาพและนำความสงบสุขมาสู่ทุกคนที่อยู่ในเรือ
พระเยซูเจ้าเสด็จมาในรูปแบบที่บรรดาศิษย์จำไม่ได้
ต่างตกใจกลัวและคิดว่าเป็นผี แต่หากเราฟังอย่างตั้งใจจะได้ยินเสียงของพระองค์ที่ตรัสกับเรา
เหมือนที่ตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า “ทำใจให้ดี เราเอง อย่ากลัวเลย” (มธ 14:27) หากเราเชื่อพระวาจานี้และเชื้อเชิญพระองค์ขึ้นมาบนเรือแห่งชีวิตของเรา
พายุร้ายและคลื่นลมแห่งชีวิตจะสงบลง ปัญหาวิกฤตที่กำลังเผชิญอยู่จะได้รับการแก้ไข
2.
บทเรียนสำหรับเรา
พระวาจาของพระเจ้าวันนี้ ได้ให้บทเรียนสำคัญสำหรับเราหลายประการ
ในการนำไปปฏิบัติในชีวิตประจำวัน
ประการแรก
เราต้องเชื่อในการประทับอยู่ของพระเยซูเจ้า โดยเฉพาะในเวลาที่เรากำลังเผชิญกับปัญหา
ความยากลำบาก และต้องการความช่วยเหลือ แม้เราจะมองไม่เห็นหรือจำพระองค์ไม่ได้ก็ตาม
แต่พระองค์ทรงประทับอยู่เคียงข้างเราเสมอ เพื่อปกป้องดูแลและเป็นแหล่งพลังแห่งชีวิตของเรา
ดังนั้น เราไม่ควรหวาดกลัวหรือกังวลสิ่งใด
ประการที่สอง
เราต้องเป็นพยานถึงพระเยซูเจ้า
เราถูกเรียกให้ปฏิเสธค่านิยมของโลก
แยกตัวออกไปจากความวุ่นวายที่อยู่รอบตัวเราเพื่ออธิษฐานภาวนา เหมือนพระองค์เสด็จขึ้นไปบนภูเขาเพื่อสนทนากับพระบิดาเจ้า
เรามีพันธกิจในการนำผู้คนให้มารู้จักพระองค์ผ่านทางแบบอย่างชีวิตของเรา ช่วยพวกเขาให้จำพระองค์ได้และยอมรับอำนาจปกครองของพระองค์
ประการที่สาม
เราต้องวางใจพระเยซูเจ้า เปโตรเชื่อและต้องการพิสูจน์ว่าใช่พระอาจารย์ไหม
จึงขอเดินบนทะเลไปหาพระองค์ แต่เมื่อหันความสนใจไปยังสิ่งอื่นทำให้เริ่มจมลง
สุดท้ายต้องร้องขอความช่วยเหลือจากพระองค์ นักบุญมิใช่คนที่ไม่เคยผิดพลาด
แต่เป็นบุคคลที่รู้จักลุกขึ้นทุกครั้งที่ล้มลง เราต้องวางใจและเพ่งมองไปที่พระเยซูเจ้า
ผู้เป็นท่อธารแห่งพระพร
บทสรุป
พี่น้องที่รัก เราได้เห็นบทบาทของเปโตรในฐานะหัวหน้าอัครสาวก
ที่ก้าวออกจากเรือเพื่อไปพบพระเยซูเจ้าท่ามกลางพายุแรงกล้า นี่คือพันธกิจของเราในฐานะคริสตชนในโลก
ที่ต้องนำคนอื่นให้มารู้จักพระคริสตเจ้า กล้าทวนกระแสของโลกโดยไม่ละสายตาไปจากพระองค์
ผู้เป็นเป้าหมายแท้จริงแห่งชีวิต ดำเนินชีวิตเป็นพยานถึงพระองค์ด้วยความวางใจ
มิใช่วางใจในตัวเองหรือสิ่งอื่น
ทุกวันอาทิตย์พระเยซูเจ้าทรงรอคอยเรา ทรงอ้าแขน และพร้อมยื่นมือช่วยเหลือเราเสมอ
ท่ามกลางปัญหาและความยากลำบากในชีวิตพระองค์ทรงประทับอยู่กับเรา ขอพียงเราหันหัวใจมาหาพระองค์
จะได้ยินพระดำรัสที่ตรัสกับเราว่า “ทำใจให้ดี เราเอง อย่ากลัวเลย”
ขอพระองค์ทรงเพิ่มพูนความเชื่อของเราให้เข้มแข็ง เมื่อเผชิญพายุร้ายแห่งชีวิต
เราจะได้เพ่งมองและไม่ละสายตาจากพระองค์
คุณพ่อขวัญ
ถิ่นวัลย์
danielkhuan@hotmail.com
San Tomasso Ashram, วัดป่าพนาวัลย์
11 สิงหาคม 2017ภาพประกอบ: เรือหางยาว, สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนนักบุญเปโตร, ชุมชนเบธเลเฮม, ท่าแร่ สกลนคร; 2017-08-05
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น