วันเสาร์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2556

การกลับใจเปลี่ยนทางดำเนินชีวิต


การกลับใจเปลี่ยนทางดำเนินชีวิต

วันอาทิตย์
สัปดาห์ที่ 3 เทศกาลมหาพรต
ปี C
อพย 3:1-8, 13-15
1คร 10:1-6, 10-12
ลก 13:1-9

บทนำ

แผ่นดินไหวในประเทศเฮติ เมื่อวันที่ 12 มกราคม ค.ศ. 2010 เป็นแผ่นดินไหวที่มีความรุนแรงขนาด 7 ริกเตอร์ แต่ก่อให้เกิดความเสียหายใหญ่หลวงแก่เฮติ ประเทศเล็กๆ ในคาบสมุทรแคริเบียน โดยเฉพาะกรุงปอร์โตแปรงซ์ เมืองหลวงได้รับความเสียหายมากที่สุด เพราะอยู่ห่างจากศูนย์กลางแผ่นดินไหวเพียง 25 กิโลเมตร ทางการเฮติยืนยันตัวเลขผู้ได้รับผลกระทบประมาณ 3 ล้านคน ผู้เสียชีวิตประมาณ 2.5 แสนคน ผู้ได้รับบาดเจ็บมากกว่า 3 แสนคน

เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2010 ได้เกิดแผ่นดินไหวขึ้นอีกนอกชายฝั่งแคว้นเมาเล ประเทศชิลี เป็นแผ่นดินไหวที่มีความรุนแรงขนาด 8.8 ริกเตอร์ ถือเป็นแผ่นดินไหวที่มีความรุนแรงเป็นอันดับ 7 ของโลกเท่าที่มีการบันทึกไว้ ทางการชิลีได้ยืนยันยอดผู้เสียชีวิตประมาณ 1 พันคน แม้จะมีผู้เสียชีวิตไม่มากเท่าแผ่นดินไหวในเฮติ แต่ความเสียหายที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบต่อผู้คนมากกว่า 1 ล้านคน นี่คือโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นในโลกในยุคสมัยของเรา

คำถามที่เกิดขึ้นในใจผู้คนเรื่อยมาคือ ผู้เสียชีวิตจำนวนมากมายเหล่านั้นเป็นคนบาปหรือมีความผิดมากกว่าเราหรือเปล่า พระวรสารวันนี้ได้ให้คำตอบแก่เรา ในตอนต้นพระเยซูเจ้าได้อ้างถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับบุคคลสองลุ่มในอิสราแอล ได้แก่ คนที่ถูกปีลาตสั่งประหารชีวิตขณะกำลังถวายเครื่องบูชา และคนสิบแปดคนที่ถูกหอสิโลอัมล้มทับเสียชีวิต เราไม่ทราบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นกับทั้งสองเหตุการณ์เท่าใดนัก แต่สำหรับชาวยิวเชื่อและสอนเสมอมาว่า “ความทุกข์ยากและความตายเป็นผลของบาป”

1.           การกลับใจเปลี่ยนทางดำเนินชีวิต

พระเยซูเจ้าทรงใช้สองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์เพื่อสอนว่า คนที่ประสบชะตากรรมเช่นนั้นไม่ใช่คนเลวกว่าประชาชนที่กำลังฟังพระองค์ รวมถึงเราในสมัยนี้อาจเลวร้ายกว่าคนที่ตายไปเหล่านั้นหลายเท่า สิ่งที่พระองค์เน้นคือ ความพินาศแท้จริงของมนุษย์จะเกิดขึ้นหากเขาไม่กลับใจเปลี่ยนทางดำเนินชีวิต “การกลับใจ” หมายถึงการเปลี่ยนแปลงความคิดไม่กลับไปเดินทางผิดนั้นอีกและหันกลับมาหาพระเจ้า นี่คือคือเงื่อนไขสำคัญของความไม่พินาศ

การกลับใจเปลี่ยนทางดำเนินชีวิต เป็นหลักการพื้นฐานของเทศกาลมหาพรต ความผิดบาปย่อมเรียกร้องการลงโทษตามความยุติธรรม แต่พระเจ้าทรงเป็นผู้ไถ่กู้ให้รอดพ้น พระองค์ทรงกอบกู้ชาวอิสราเอลให้รอดพ้นจากการถูกกดขี่ข่มเหงในประเทศอียิปต์โดยทางโมเสส และทรงไถ่กู้เรามนุษย์ให้รอดพ้นจากความผิดบาปโดยทางพระเยซูเจ้า การกลับใจยอมรับความผิดบาปที่ได้กระทำและเปลี่ยนทางดำเนินชีวิต จึงเป็นหนทางสู่การได้รับการไถ่กู้จากพระองค์

ในตอนท้ายของพระวรสาร พระเยซูเจ้าเล่าคำอุปมาเรื่องต้นมะเดื่อที่ปลูกในสวนองุ่น ชาวยิวนิยมปลูกต้นมะเดื่อไว้ระหว่างเถาองุ่น เพื่อหวังพึ่งมันในกรณีที่องุ่นไม่ออกผล โดยปกติต้นมะเดื่อใช้เวลาสามปีเพื่อให้ผล แต่ในคำอุปมาเจ้าของสวนรอมาสามปีแล้วแต่ยังไม่มีผลเขาจึงอยากโค่นมันทิ้ง แต่คนสวนได้วิงวอนขอโอกาสอีกเป็นปีสุดท้าย คำอุปมานี้มีความหมายสำหรับชาวยิวและสำหรับเราทุกคน พระเจ้าได้ให้โอกาสสุดท้ายแก่เราผ่านทางพระเยซูเจ้า พระองค์ทรงคาดหวังให้เราเกิดผลและทรงให้โอกาสเรากลับใจ

หากเราไม่กลับใจคงต้องพินาศเหมือนชนชาติอิสราแอล ที่ถูกกองทัพโรมันทำลายอย่างย่อยยับในปี ค.ศ. 70 สูญเสียความเป็นชาติและกระจัดกระจายไปยังประเทศต่างๆ ต้นมะเดื่อกำลังจะถูกทำลายเพราะความบกพร่องไม่ตระหนักถึงความสามารถของมัน การมีความรู้ความสามารถแต่ไม่ใช้ประโยชน์ การมีศักยภาพในการให้ความช่วยเหลือแก่คนอื่นแต่ไม่ทำคือความบาปอย่างหนึ่ง พระเจ้าไม่ได้ขอให้เราทำสิ่งที่เกินกำลัง แต่ทรงต้องการให้เราลงมือทำตามขอบเขตความสามารถของเรา

2.           บทเรียนสำหรับเรา

พระวาจาของพระเจ้าในสัปดาห์นี้ ได้ให้บทเรียนที่สำคัญสำหรับเราคริสตชนในการนำไปปฏิบัติในชีวิตประจำวันหลายประการ

ประการแรก เราต้องกลับใจเปลี่ยนทางดำเนินชีวิต เราไม่ทราบว่าชีวิตของเราจะต้องพบกับเหตุการณ์เลวร้ายอะไรบ้าง เราจึงต้องหันมาหาพระเยซูเจ้า องค์แห่งความเมตตาที่จะช่วยเราให้ได้รับชีวิตนิรันดร เทศกาลมหาพรต เป็นช่วงเวลาพิเศษแห่งการใกล้ชิดพระเจ้า ผ่านทางพิธีกรรมและธรรมเนียมปฏิบัติต่างๆ แต่สิ่งสำคัญคือการกลับใจใช้โทษบาป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การรับศีลอภัยบาปเครื่องหมายแห่งการสำนึกผิดและปรารถนาที่จะใกล้ชิดพระเจ้า เปิดดวงใจของเราสู่สันติสุข ความจริงและความรักของพระเจ้า

ประการที่สอง เราต้องเป็นต้นมะเดื่อที่เกิดผล ต้นไม้แห่งชีวิตของเราจะต้องทำให้เกิดผลอย่างอุดม ผลที่พระเจ้าทรงคาดหวังจากเราในเทศกาลมหาพรตนี้คือ การฟื้นฟูชีวิตของเราให้เต็มเปี่ยมด้วยคุณธรรมความรัก ความเมตตากรุณา การให้อภัยและการรับใช้ที่สุภาพปราศจากความเห็นแก่ตัว ให้เราได้เริ่มต้นการเกิดผลนี้ในครอบครัวของเรา ด้วยการปฏิบัติต่อกันด้วยความรัก ความเคารพและให้เกียรติซึ่งกันและกัน ก่อนจะขนายไปสู่หมู่คณะและสังคม ในความใส่ใจต่อคนยากจน คนป่วย ผู้สูงอายุและผู้ที่ถูกทอดทิ้ง

ประการที่สาม เราต้องใช้โอกาสที่พระเจ้าประทานให้เกิดประโยชน์ พระบิดาเจ้า องค์แห่งความเมตตาได้ให้โอกาสเราเสมอ เช่นเดียวกับที่ทรงให้โอกาสและเลือกเปโตร ผู้สำนึกผิดให้เป็นหัวหน้าพระศาสนจักร หรือเซาโล ผู้เบียดเบียนให้เป็นผู้แพร่ธรรมสำหรับคนต่างศาสนา ตลอดเทศกาลมหาพรตนี้ ให้เราได้ใช้โอกาสในการกลับใจหันมาหาพระเจ้า ที่ประสงค์นะใช้เราเป็นดังคนสวนในคำอุปมา เพื่อช่วยพระองค์ในการพรวนดินรดน้ำครอบครัวและหมู่คณะของเราให้เกิดผล และเติบโตยิ่งขึ้นในพระหรรษทานของพระองค์

บทสรุป

พี่น้องที่รัก พระวาจาของพระเจ้าในวันนี้ เรียกให้เราออกจากตัวเอง สำนึกในโอกาสที่พระองค์ทรงมอบให้ และกลับใจมาหาพระองค์ นี่คือเงื่อนไขสำคัญที่พระเจ้าทรงเรียกร้องจากเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในช่วงเวลาที่เหลืออยู่ของเทศกาลมหาพรต ด้วยการเปลี่ยนแปลงวิธีดำเนินชีวิตเสียใหม่ ลด ละ เลิกความโน้มเอียงไม่ดีต่างๆ หันกลับมาหาพระเจ้าและเดินในหนทางที่ถูกต้อง

พระเจ้าคือผู้ที่ แสวงหา (ออกไปหาผลจากต้นมะเดื่อที่ปลูกไว้) รอคอย (รอคอยผลจากต้นมะเดื่อต้นนั้นสามปี) และให้โอกาส (รอคอยผลของต้นมะเดื่ออีกครั้ง) นี่คือธรรมชาติของพระเจ้า เราแต่ละคนพึงแสวงหาพระเจ้าอย่างใกล้ชิด และทำตนให้เกิดผลตามพระประสงค์ของพระองค์อยู่เสมอ เพื่อเราจะได้ไม่พินาศไป อีกทั้ง มีส่วนในความศักดิ์สิทธิ์และร่วมส่วนในความชื่นชมยินดีของพระองค์เมื่อโอกาสสุดท้ายของเรามาถึง

คุณพ่อขวัญ ถิ่นวัลย์
danielkhuan@hotmail.com
วัดพระคริสตประจักษ์ นาบัว
1 มีนาคม 2013

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น