วันเสาร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ความทุกข์ทรมานในโลก


ความทุกข์ทรมานในโลก

สัปดาห์ที่ 5
เทศกาลธรรมดา
ปี B
โยบ 7:1-4, 6-7
1 คร 9:16-19, 22-23
มก l: 29-39

บทนำ

หากบรรพบุรุษของเรากลับมามีชีวิตอีกครั้ง พวกเขาคงแปลกใจอย่างมากกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในชีวิตของเราในช่วงไม่กี่ปีมานี้ พวกเขาคงแปลกใจที่เห็นเครื่องบินบินไปมาเหมือนนก เห็นรถยนต์วิ่งกันขวักไขว่ตามท้องถนน เห็นเครื่องมือสื่อสารสมัยใหม่ เช่น โทรศัพท์มือถือที่สามารถติดต่อถึงกันได้อย่างสะดวกรวดเร็ว หรืออินเตอร์เน็ตความเร็วสูงที่สามารถเชื่อมโยงถึงกันทั่วโลก เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในที่หนึ่งสามารถเป็นที่รับรู้ทั่วโลกแบบทันทีทันใด

บรรพบุรุษของเราคงแปลกใจที่เห็นบ้านของเราใหญ่โตน่าอยู่ เต็มไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมากกว่ายุคสมัยของพวกเขา เช่น เครื่องปรับอากาศ พัดลม คอมพิวเตอร์ ตู้เย็น โทรทัศน์ จานดาวเทียมที่สามารถรับสัญญาณจากทุกมุมโลก บุตรหลานของเราแต่งกายด้วยผ้าชั้นดี ล้ำสมัย เรารู้สึกมีความสุขในความสะดวกสบายต่างๆ ที่พวกเขาไม่เคยได้รับรู้แม้ในความฝันหรือมโนภาพ

บรรพบุรุษของเราคงแปลกใจที่เห็นโรงพยาบาล คลินิกและสถานพยาบาลทุกหนทุกแห่ง มีเครื่องไม้เครื่องมือและยาที่ทันสมัย สามารถรักษาโรคภัยไข้เจ็บได้ทันท่วงที ทำให้ผู้คนในยุคปัจจุบันมีสุขภาพดีและอายุยืนยาว แม้ว่าจะทุกสิ่งทุกอย่างจะพัฒนาและเจริญก้าวหน้าไปไกล แต่สิ่งหนึ่งที่บรรพบุรุษของเราพบว่าไม่เปลี่ยนเลย นั่นคือ ผู้คนยังคงเจ็บป่วยและเสียชีวิตเช่นเดียวกับในยุคสมัยของพวกเขา

1.           ความทุกข์ทรมานในโลก

ปัญหาเรื่องความทุกข์ทรมานในโลก “ทำไมมนุษย์ต้องทนทุกข์ เจ็บป่วยและเสียชีวิต” เป็นปัญหาที่อยู่ในความคิดคำนึงของมนุษย์มาทุกยุคทุกสมัย ความพยายามในการอธิบายและแสวงหาคำตอบ ได้ก่อให้เกิดศาสนาต่างๆ ขึ้นในโลก ในบทอ่านแรกหนังสือโยบคือความพยายามในการตอบปัญหาดังกล่าว “ทำไมพระเจ้าถึงอนุญาตให้ความทุกข์ยากต่างๆ เกิดขึ้นในชีวิตของผม” เราคงเคยถามคำถามเดียวกันนี้เช่นกัน “ทำไมจึงเกิดเหตุการณ์เลวร้ายอย่างนี้ ...อย่างนั้น ในชีวิตของฉัน”

ในที่สุด แทนที่โยบจะตั้งปัญหาถามว่า “ทำไม...” โยบได้วางใจในพระเจ้าและมอบทุกอย่างให้เป็นไปตามพระประสงค์ของพระเจ้า และเราทราบว่า จากการวางใจในพระเจ้าของโยบ พระเจ้าได้ตอบแทนทุกอย่างที่เขาได้สูญเสียไปให้กลับคืนมามากยิ่งกว่าเดิม ทำให้ชีวิตของเขาพบความสุขอีกครั้ง หนังสือโยบได้สอนคนที่กำลังทนทุกข์ลำบากให้ทำเช่นเดียวกันกับโยบคือ จงวางใจในพระเจ้าและความดีบริบูรณ์ของพระองค์

เราพบความหมายของความทุกข์ทรมานนี้ผ่านทางความเชื่อในพระเยซูเจ้า ในพระวรสารวันนี้ เราพบว่าพระเยซูเจ้าประกาศข่าวดีทุกหนทุกแห่ง ในศาลาธรรม ตามบ้านและท้องทุ่ง พระองค์ทรงรักษาคนเจ็บป่วย ด้วยเหตุผลสองประการ 1) เพื่อแสดงความเมตตากรุณาต่อคนเจ็บป่วย ด้วยการเยียวยารักษาพวกเขาให้พ้นจากความเจ็บไข้ได้ป่วยที่กำลังเผชิญอยู่ และ 2) เพื่อนำคนป่วยและคนที่ได้เห็นเป็นพยานให้มาเชื่อในพระองค์

เพื่ออธิบายให้ประชาชนได้เข้าใจถึงความทุกข์ทรมานได้อย่างถึงแก่น พระเยซูเจ้าไม่ได้อธิบายยืดยาว แต่ทรงรับความทรมานและสิ้นพระชนม์เพื่อพวกเขาบนไม้กางเขน ซึ่งเป็นการนอบน้อมเชื่อฟังต่อแผนการของพระเจ้า ผ่านทางการทรมานและการสิ้นพระชนม์นี้เอง หนทางแห่งความรอดได้เปิดสำหรับมนุษย์ทุกคน อันเป็นผลิตผลที่มีค่ายิ่งซึ่งออกมาการความทุกข์ทรมาน

2.           บทเรียนสำหรับเรา

บทอ่านวันนี้ได้ให้บทเรียนและแนวทางในการปฏิบัติที่สำคัญกับเราหลายประการ

ประการแรก เราต้องมองบุคคล สิ่งของและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยสายตาแห่งความเชื่อ ความเจ็บป่วย ความทุกข์ยากลำบาก แม้กระทั่งความตายมิใช่การลงโทษของพระเจ้า แต่พระองค์ทรงอนุญาตให้เกิดขึ้น เพื่อให้ความดีและความรักของพระองค์ปรากฏ ดังเช่นเวลาที่พระเยซูเจ้าถูกถามเรื่องชายตาบอด “ใครทำบาป ชายคนนี้หรือบิดามารดาของเขา เขาจึงเกิดมาตาบอด” พระองค์ตรัสตอบว่า “มิใช่ชายคนนี้หรือบิดามารดาของเขาทำบาป แต่เขาเป็นเช่นนี้ก็เพื่อให้กิจการของพระเจ้าปรากฏในตัวเขา” (ยน 9:2-3) “ทุกอย่างที่เกิดขึ้น เป็นไปเพื่อความดีของผู้ที่รักพระเจ้า” (นักบุญเปาโล)

ประการที่สอง เราต้องทำบางสิ่งบางอย่างเพื่อช่วยเหลือคนที่กำลังประสบทุกข์ร้อน คำอุปมาเรื่องชาวสะมาเรียผู้ใจดี คือคำสอนในภาคปฏิบัติที่ชัดเจนของพระเยซูเจ้า เราต้องพร้อมที่จะยื่นมือช่วยเหลือผู้ที่กำลังประสบทุกข์ร้อนทุกเมื่อ แม้ว่าความผิดนั้นจะเกิดจากการกระทำของเขาเองก็ตาม เราต้องปล่อยให้หัวใจของเราเต้นในจังหวะเดียวกันกับพระเจ้า เพื่อเราจะรู้ว่ามีสิ่งไหนที่ควรทำสำหรับช่วยเพื่อนพี่น้องของเราที่กำลังประสบทุกข์ร้อนได้มีชีวิตที่ดีขึ้น

ประการที่สาม เราต้องภาวนาเสมอเพื่อจะได้มีพลังในการทำหน้าที่ต่างๆ พระเยซูเจ้าแม้จะมีภารกิจมากมายในแต่ละวัน แต่พระองค์ทรงหาเวลาอยู่เงียบๆ โดยลำพังสนทนากับพระเจ้าพระบิดา เพื่อจะได้ทราบถึงพระประสงค์ของพระเจ้า “หากท่านต้องการให้ตะเกียงลุกอยู่เสมอ ท่านต้องหมั่นเติมน้ำมันในตะเกียง” (บุญราศีแม่เทเรซาแห่งกัลกัตตา)

บทสรุป

พี่น้องที่รัก พระเยซูเจ้าทรงกระทำสิ่งที่น่าประหลาดใจทุกวันดังเช่นที่ทรงกระทำในสมัยของพระองค์ ทรงเอาพระทัยใส่ในความเป็นไปของเราแต่ละคนและทรงรักษาเรา บ่อยครั้งเราขาดความเชื่อในพระองค์ นักบุญออกัสตินกล่าวว่า “ความเชื่อเปิดประตูแห่งความเข้าใจ ซึ่งคนที่ไม่เชื่อได้ปิดมัน” พระองค์สามารถเยียวยารักษาความทุกข์ยากเดือดร้อนที่เรากำลังเผชิญอยู่ได้ หากเรามีความเชื่อที่มั่นคงในพระองค์

พระเยซูเจ้าได้มอบแบบฉบับที่ดีงามแก่เราคือ ทรงภาวนาอยู่เสมอๆ เพื่อจะได้รู้ถึงพระประสงค์ของพระเจ้า เราจำเป็นต้องภาวนาเสมอเช่นกัน เพื่อจะได้ค้นพบพระประสงค์ของพระเจ้าในชีวิตของเราและหนทางที่พระองค์ทรงเลือกสำหรับเรา การภาวนาจึงเป็นเครื่องมือที่สำคัญที่จะช่วยเราให้เอาชนะความมืดแห่งชีวิต เป็นต้นในครอบครัว หมู่คณะและในชุมชนคริสตชนพื้นฐานของเรา

คุณพ่อขวัญ ถิ่นวัลย์
danielkhuan@hotmail.com
วัดพระคริสตประจักษ์ นาบัว
03 กุมภาพันธ์ 2012

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น