วันจันทร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2554

125 ปี คริสตชุมชนนาบัว (4)


1.5     การเบียดเบียนศาสนา

ปลายปี ค.. 1940 (.. 2483) บรรยากาศทางการเมืองในประเทศไทยดูขุ่นมัวไปทั่ว และได้เกิดสถานการณ์แห่งความยากลำบาก  รัฐบาลไทยได้เสนอให้รัฐบาลฝรั่งเศสปรับปรุงเส้นเขตแดนระหว่างไทยกับอินโดจีนเสียใหม่ เพราะดินแดนที่ไทยเสียไปตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ยังปักหลักเขตแดนไม่เรียบร้อย  แต่รัฐบาลฝรั่งเศสปฏิเสธและนำไปสู่การใช้กำลังเข้าตัดสินปัญหาที่เรียกว่า กรณีพิพาทอินโดจีน หรือ สงครามอินโดจีน และยุติลงตอนต้นปี ค.. 1941 (.. 2484) โดยการไกล่เกลี่ยของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งปลายปีนั้นเองญี่ปุ่นได้เปิดฉากสงครามเอเชียบูรพากับฝ่ายสัมพันธมิตรและบังคับให้ประเทศไทยเข้าร่วม 

ความเคียดแค้นต่อประเทศฝรั่งเศส อันเนื่องจากการใช้อำนาจยึดดินแดนบางส่วนของประเทศไทยไป ประกอบกับการที่บาทหลวงตามวัดส่วนใหญ่เป็นชาวฝรั่งเศสทำให้ชาวไทยคิดรวมไปว่า คริสตศาสนาเป็นศาสนาของฝรั่งเศสจึงเริ่มมีการต่อต้านเกิดขึ้น  เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน ค.1940 (.. 2483) วิทยุกระจายเสียงกรมประชาสัมพันธ์ กรุงเทพฯ ได้ประกาศให้ชาวฝรั่งเศสทุกคนออกจากประเทศไทยภายใน 48 ชั่วโมง วันรุ่งขึ้นสังฆราชแกวง และพระสงฆ์ฝรั่งเศสถูกจับและส่งตัวออกจากประเทศไทยโดยข้ามแม่น้ำโขงไปประเทศลาว

วันที่ 7 มกราคม ค.. 1941 (.. 2484) ประเทศไทยได้ประกาศสงครามกับอินโดจีนของฝรั่งเศส  ภาวะสงครามดังกล่าวทำให้รัฐบาลไทยภายใต้การนำของจอมพล ป. พิบูลสงคราม ประกาศกฎอัยการศึกในเขตจังหวัดชายแดน 24 จังหวัด ยังผลให้เกิดการเบียดเบียนคริสตศาสนาอย่างรุนแรงเพราะเข้าใจว่าเป็นแนวร่วมของฝรั่งเศส วัดวาอารามถูกปิดหมดและถูกรื้อทำลาย บ้านพักพระสงฆ์ถูกใช้เป็นที่จำวัดของพระภิกษุหรือที่พักราชการ ศาสนภัณฑ์และของมีค่าของวัดตามที่ต่างๆ ถูกริบและทำลาย คริสตชนถูกห้ามปฏิบัติศาสนา ถูกข่มขู่และถูกบังคับให้เลิกนับถือศาสนา ใครไม่ทำตามจะได้รับโทษด้วยการขังคุกหรือถูกฆ่าตาย เช่นที่บ้านสองคอน

ส่วนที่บ้านนาบัว นายอำเภอวานรนิวาสได้สั่งให้นายหนู กำนันตำบลวานร พร้อมนายแดง จันทโร ปลัดอำเภอ ออกมาประชุมชาวบ้านที่บ้านของครูใหญ่โรงเรียนบ้านนาบัว ชี้แจงและข่มขู่ให้ชาวนาบัวละทิ้งศาสนา โดยให้เหตุผลว่า เราเป็นคนไทยต้องรักชาติด้วยการนับถือศาสนาพุทธ อันเป็นศาสนาประจำชาติ ไม่ควรรับเอาศาสนาอื่นที่ฝรั่งนำมา ไม่ควรนับถือตามอย่างฝรั่งหรือเชื่อตามที่ฝรั่งสั่งสอน เพราะศาสนาฝรั่งไม่เหมาะกับคนไทย ใครที่ฝ่าฝืนจะถูกจับกุมและลงโทษอย่างรุนแรง
คุณพ่อยอห์นบัปติสต์ แท่ง ยวงบัตรี อดีตเจ้าอาวาสช่วงเบียดเบียนศาสนา
ไม่นานหลังจากนั้นทางอำเภอได้สั่งปิดวัด ห้ามชาวนาบัวเข้าวัดและปฏิบัติศาสนา แต่ไม่สามารถปิดกั้นหัวใจของชาวนาบัวที่มั่นคงในความเชื่อได้ ทางอำเภอจึงได้ยึดวัดอันเป็นศูนย์กลางและสัญลักษณ์ทางความเชื่อของชาวนาบัว ทำลายไม้กางเขนและรูปศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ทำเป็นวัดพุทธ โดยตั้งชื่อว่า “วัดพุทธสัมพันธ์วงศ์” ใช้บ้านพักพระสงฆ์ของคุณพ่อแท่งเป็นกุฏิ มีหลวงพ่อหมีจากบ้านหัวนามาจำวัด ทุกเช้าหลวงพ่อหมีจะออกบินทบาตรรอบหมู่บ้าน แต่มีเพียงสองสามคนที่ใส่บาตรทำให้ไม่พอฉันท์ จนหลวงพ่อหมีถึงกับบ่นว่า “กิ๋นแจ่วจนแสบไส้ อยู่ได้ย้อนกินแตงโมแม่ออกโกก”

ในคืนวันหนึ่งได้เกิดฝนตกหนัก ฟ้าคะนองอย่างรุนแรง และได้เกิดฟ้าผ่าเปรี้ยงลงกลางเสาบ้านพักตรงบริเวณที่นอนของหลวงพ่อหมี โชคดีที่หลวงพ่อหมีไม่อยู่ เดินทางไปเยี่ยมอีกวัดหนึ่งและพักค้างคืนที่นั่น เมื่อหลวงพ่อหมีกลับมาและทราบข่าวจึงเกิดความหวาดกลัว เหตุการณ์นี้คงเป็นลางบอกเหตุไม่ดี จึงได้ออกจากวัดไปตั้งแต่วันนั้น ต่อมามีพระภิกษุอีกหลายรูปเดินทางผ่านมาแวะพักบ้าง แต่ไม่มีใครกล้าจำวัด
คุณพ่อเปาโล ศรีนวล ศรีวรกุล อุปสังฆราชและผู้ดูแลมิสซัง
ปี ค.ศ. 1943 (พ.ศ. 2488) เมฆหมอกแห่งสงครามได้จางลง สันติสุขได้บังเกิดขึ้นที่นาบัวอีกครั้ง คุณพ่อแท่งถูกปล่อยตัวจากที่คุมขัง คุณพ่อศรีนวล ศรีวรกุล อุปสังฆราชและผู้ดูแลมิสซังพร้อมกับคุณพ่อแท่งได้กลับมาเปิดวัดใหม่ที่นาบัวอีกครั้ง ชาวนาบัวหลังทราบข่าวต่างตื่นเต้นดีใจ ยิ้มแย้มแจ่มใส ออกมารวมตัวกันต้อนรับคุณพ่อทั้งสองที่วัดอย่างล้นหลาม และเฉลิมฉลองอิสรภาพในการปฏิบัติศาสนาที่ตนเคารพนับถือ เชื่อศรัทธาและหวงแหนประดุจชีวิตด้วยความชื่นชมยินดี

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น