วันอาทิตย์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2554

ประกาศกกับการต้อนรับที่บ้านเกิด

วันจันทร์
สัปดาห์ที่ 3 เทศกาลมหาพรต
2พกษ 5:1-15
ลก 4:24-30

 ประกาศกกับการต้อนรับที่บ้านเกิด

เล่ากันว่า หากพระเยซูเจ้าเสด็จมาในยุคสมัยของเราเหมือนเมื่อครั้งพระองค์เคยเจริญชีวิตในปาเลสไตน์เมื่อสองพันปีก่อน แล้วจับพลัดจับพลูทำให้พระองค์ต้องเสด็จผ่านหมู่บ้านคริสตชน หรือไปวัดวันอาทิตย์เพื่อร่วมพิธีบูชาขอบพระคุณพร้อมกับเรา ทุกคนคงมองพระองค์ด้วยสาตาที่แปลกละคนกับการดูแคลน แล้วหันมาซุปซิปกันว่า “ใครปล่อยให้คนบ้านี่มาเพ่นพ่านในวัด” ไม่มีใครจำพระองค์ได้

พระเยซูเจ้าเองคงตกใจกับสายตาที่จ้องมองพระองค์เช่นนั้น ยิ่งได้เห็นพิธีกรรมที่เต็มไปด้วยกฎเกณฑ์หยุมหยิม รวมถึงได้ฟังพระสงฆ์เทศน์สอนคงทำให้พระองค์ตะลึงงันว่า “ใช่ข่าวดีที่พระองค์เคยประกาศหรือเปล่า” คงไม่ต้องรอให้ใครมาบอกว่า “คุณมาผิดที่แล้ว” พระองค์คงรู้สึกอับอายอย่างที่สุดกับสายตาทุกคู่ที่จ้องมองพระองค์ และคงรับไม่ได้กับพฤติกรรมและคำเทศน์สอนของพระสงฆ์ ซึ่งตรงข้ามกับคำสอนและแบบอย่างที่พระองค์มอบไว้ให้ ที่สุด พระองค์คงเล็ดลอดหนีไปแบบเงียบๆ เพื่อไม่ให้ใครเห็น

พระวรสารของวันนี้กล่าวถึงเรื่องราวของพระเยซูเจ้า กับสถานการณ์ที่ตึงเครียดในศาลาธรรมเมืองนาซาเร็ธ สถานที่ซึ่งพระองค์เคยเจริญวัย ชาวนาซาเร็ธไม่ต้อนรับพระองค์และปฏิเสธที่จะฟังพระองค์ ทั้งนี้เพราะจิตใจที่คับแคบของพวกเขา ที่คิดว่าพระองค์เป็นแค่ลูกของช่างไม้ชื่อโยเซฟและแม่ชื่อมารีย์หญิงชาวบ้านที่ไม่มีอะไร แล้วพระองค์ได้ปรีชาญาณนี้มาจากไหน พวกเขาอยากให้พระองค์แสดง (อัศจรรย์) ให้พวกเขาได้เห็นว่าพระองค์เป็นพระผู้ไถ่ที่แท้จริง

พระเยซูเจ้ารู้ถึงความต้องการของพวกเขา จึงตรัสว่า “ไม่มีประกาศกคนใดได้รับการต้อนรับอย่างดีในบ้านเมืองของตน” (ลก 4:24) นี่คือความจริงที่ทิ่มแทงใจดำพวกเขา พระองค์ได้อ้างถึงเหตุการณ์การอดอยากครั้งใหญ่สมัยประกาศกเอลียาห์ มีหญิงม่ายมากมายในกาลิลีแต่มีเพียงหญิงม่ายที่เมืองเศราฟัทที่ได้รับการช่วยเหลือ และสมัยประกาศกเอลีชามีคนโรคเรื้อนมากมายในอิสราแอล แต่มีเพียงนาอามานชาวซีเรียที่ได้รับการรักษา ถือเป็นการยกย่องคุณธรรมของคนต่างศาสนาเหนือกว่าชาวยิว ชนชาติที่พระเจ้าทรงเลือกสรร ทำให้พวกเขาโกรธมากถึงขนาดหาช่องทางจะฆ่าพระองค์

เราอาจตกในบาปเดียวกันกับพวกเขาคือ “บาปของความใจแคบ” จิตใจที่ริษยาและคับแคบทำให้มองไม่เห็นด้านดีของผู้อื่น สิ่งอื่น เราเคยคิดไหมว่า ศาสนาคาทอลิกของเราคือความจริงเที่ยงแท้เพียงศาสนาเดียว ขณะที่ศาสนาอื่นคือความผิดพลาดและที่มาของความชั่วร้าย เพราะเหตุนี้เองในยุคหนึ่งจึงมีคำสอนในลักษณะที่ว่า “นอกพระศาสนจักรไม่มีความรอด” (Extra Ecclesiam nulla salus) ความคิดนี้มาจากนักบุญซีเปรียนแห่งคาร์เทจในศตวรรษที่ 3 และมีอิทธิพลต่อวิธีปฏิบัติของพระศาสนจักรก่อนสังคายนาวาติกันที่ 2

พระวาจาในวันนี้สอนเราให้ปฏิบัติตนต่อผู้อื่นด้วยใจกว้าง ด้วยท่าทีของความเป็นพี่น้องให้สมกับการเป็นลูกของพระบิดาองค์เดียวกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสังคมไทยปัจจุบันที่มีความแตกแยกรุนแรง มีการแบ่งสีเลือกข้าง ความรักของพระเจ้าไม่เคยแบ่งแยกหรือเลือกที่รักมักที่ชัง ไม่มียิวหรือกรีก ไม่มีทาสหรือไท แต่ทุกคนเป็นพี่น้องกัน

ในเทศกาลมหาพรตนี้ ขอให้เรามองเห็นคุณค่าและความดีของกันและกัน

“เขามีส่วนเลวบ้างช่างหัวเขา       จงเลือกเอาส่วนดีเขามีอยู่
เป็นประโยชน์โลกบ้างอย่างน่าดู   ส่วนที่ชั่วอย่าไปรู้ของเขาเลย”
(พุทธทาสภิกขุ)

คุณพ่อขวัญ ถิ่นวัลย์
วัดนักบุญยอแซฟ ดอนทอย
8 มีนาคม 2010

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น