วันศุกร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2554

การกลับคืนชีพคือข่าวดีแห่งสันติสุข

วันอาทิตย์
สัปดาห์ที่ 2 เทศกาลปัสกา ปี A
กจ 2:42-47
1 ปต 1:3-9
ยน 20:19-31
 การกลับคืนชีพคือข่าวดีแห่งสันติสุข

บทนำ

มีอาณาจักรเก่าแก่แห่งหนึ่งซึ่งเป็นที่ตั้งของชนเผ่าโบราณที่ชอบทำสงครามกับเผ่าอื่น พวกเขาได้ออกไปเข่นฆ่า ข่มขืน และปล้นสะดมอย่างไร้ความเมตตาปราณีและปราศจากศีลธรรม ผู้อาวุโสของเผ่าจึงหาทางแก้ไขโดยเรียกประชุมผู้นำจากหมู่บ้านต่างๆ เพื่อหาทางระงับยับยั้งความรุนแรงที่จะเกิดกับประชาชนผู้บริสุทธิ์ หลังจากการถกเถียงกันเป็นเวลานานก็ได้ข้อสรุปว่า จะต้องเก็บความลับแห่งสันติสุขให้ห่างไกลจากพวกที่กระทำความผิดและละเมิดกฎเกณฑ์เหล่านี้

ปัญหาคือจะเก็บความลับนี้ไว้ที่ไหน บางคนเสนอให้ฝังไว้ใต้ดินให้ลึกที่สุด บางคนเสนอให้เก็บไว้บนยอดเขาที่สูงที่สุด บางคนเสนอให้เก็บไว้ใต้มหาสมุทรในจุดที่ลึกที่สุด เพื่อพวกเขาจะได้หามันไม่พบ แต่ไม่มีใครเห็นดีตามข้อเสนอเหล่านี้ เพราะในความเป็นจริงถึงแม้จะเก็บไว้ใต้ดิน บนยอดเขาสูง หรือใต้มหาสมุทรแต่มนุษย์คงค้นพบอยู่ดี เพราะมนุษย์ฉลาดและเก่งในการประดิษฐ์เครื่องไม้เครื่องมือที่ทันสมัย เพื่อไปยังจุดหมายที่ต้องการ

ที่สุด ผู้อาวุโสที่เรียกประชุมได้เสนอให้เก็บความลับแห่งสันติสุขไว้ใจใจของพวกเขาเอง เพราะแต่ละคนล้วนคิดว่าใจของตนไม่มีสันติสุขเลย และคงไม่มีวันที่พวกเขาจะค้นพบสันติสุขในใจของตนได้ กระทั่งทุกวันนี้ พวกเขายังคงค้นหาความลับแห่งสันติสุขนี้อยู่ต่อไปในที่ต่างๆ ทุกหนทุกแห่งยกเว้นใจของตน น้อยคนนักจะพบว่าแท้จริงแล้วความลับแห่งสันติสุขซ่อนอยู่ใกล้นิดเดียว คือในใจของพวกเขานั่นเอง

1. การกลับคืนชีพคือข่าวดีแห่งสันติสุข

ในพระวรสารวันนี้ พระเยซูเจ้าได้ปรากฏพระองค์ให้บรรดาอัครสาวกได้เห็น และทรงมอบสันติสุขแก่พวกเขา สันติสุขที่ว่านี้ คือความชื่นชมยินดีและความสุขอันเป็นยอดปรารถนาของมนุษย์ทุกคน สันติสุขนี้อยู่ภายในใจของเราแต่ละคนในความสัมพันธ์กับพระเจ้าและผู้อื่น สันติสุขนี้คือของประทานจากพระเจ้าสำหรับมนุษย์ พระเยซูเจ้าทรงเป็นองค์ “สันติราชา” ที่นำเราไปสู่ความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับพระเจ้า และความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับผู้อื่น

คำกล่าวทักทายแรกที่พระเยซูเจ้าตรัสในการปรากฏพระองค์ให้บรรดาศิษย์ได้เห็นคือ SHALOM “สันติสุขจงสถิตอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด” คำกล่าวนี้ได้ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นในใจพวกเขา ทำให้ความหวาดกลัวและความระทมทุกข์หมดสิ้นไป ใจของพวกเขาเต็มเปี่ยมไปด้วยความยินดี ในขณะที่ทรงอวยพรพวกเขาให้มีสันติสุขพระองค์ได้ประทานพระจิตเจ้าแก่พวกเขา พระองค์ได้มอบพันธกิจและหน้าที่ในการสานต่องานไถ่กู้ของพระองค์ ได้แก่การยกบาปในพระนามของพระองค์

ในการสานต่อภารกิจของพระเยซูเจ้าในการยกบาป จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องอาศัยการนำของพระจิตเจ้า ซึ่งเป็นของประทานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่พระองค์ประทานแก่บรรดาอัครสาวก คือพระหรรษทานของพระจิตในการยกบาป พระองค์ทรงมอบพระจิตเจ้าองค์เดียวกันแก่เราในการให้อภัยความผิดของกันและกัน เราต้องยกโทษและให้อภัยความผิดของกันและกันด้วยใจกว้าง เพราะพระเยซูเจ้าคือองค์สันติราชา ในพระองค์เท่านั้นที่ทำให้เรามีชีวิตและสันติสุขที่ยั่งยืน พระองค์ทรงชี้ทางให้เราได้ค้นพบสันติสุขที่แท้ในใจของเรา ยิ่งเราถอยห่างจากพระองค์เราก็จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของโลกและสูญเสียสันติสุขนี้ไป

2. บทเรียนสำหรับเรา

บาปคืออุปสรรคใหญ่หลวงของความสุขที่แท้นี้ ที่ทำให้พันธกิจของพระเจ้าในตัวเราไม่สมบูรณ์ กระนั้นก็ดี พระเยซูเจ้าได้ประทานอาวุธที่ทรงประสิทธิภาพสำหรับเราในการทำลายศัตรูของสันติสุขให้หมดสิ้นไปผ่านทางศีลอภัยบาป ที่อภัยบาปของเราและสร้างสันติสุขให้บังเกิดขึ้นใหม่ในใจเรา เมื่อแต่ละคนมีใจที่สุขสงบปราศจากความเห็นแก่ตัว ครอบครัว สังคม และประเทศชาติก็จะมีแต่สันติสุข

ทุกครั้งที่เรามอบสันติสุขให้แก่กันในพิธีบูชาขอบพระคุณ ขอให้เป็นการแสดงออกถึงท่าทีแห่งการให้อภัยและการมอบสันติสุขที่แท้จริงจากใจเราแก่กันและกัน สันติสุขจะบังเกิดขึ้นในใจเราก็ต่อเมื่อ: เราได้ปฏิบัติตามบัญญัติแห่งความรักที่พระเจ้าประทานให้แก่เรา “รักพระเจ้าสิ้นสุดจิตใจ สิ้นสุดสติปัญญา และสิ้นสุดกำลังความสามารถ และรักผู้อื่นเหมือนรักตนเอง” (มก 12:30), เราได้ใส่ใจในความต้องการของเพื่อนพี่น้อง “ท่านทำสิ่งใดต่อพี่น้องผู้ต่ำต้อยที่สุดของเราคนหนึ่ง ท่านก็ทำสิ่งนั้นต่อเรา” (มธ 25:40)

ความสงสัยของนักบุญโทมัสในพระวรสาร เป็นแบบอย่างของคนที่แสวงหาความจริงและมีประสบการณ์ด้วยตนเอง นักบุญโทมัสจึงเป็นองค์อุปถัมภ์ของบรรดานักวิทยาศาสตร์ บรรดาปิตาจารย์ของพระศาสนจักร ได้อธิบายให้เห็นถึงการดำเนินชีวิตในความเชื่อแบบนักบุญโทมัส ดังนี้

1) เราต้องหมั่นมาหาพระเยซูเจ้าเพื่อจะได้รู้จักพระองค์เป็นการส่วนตัว มีประสบการณ์โดยตรงกับพระองค์ และรำพึงตามบทอ่านจากพระคัมภีร์ประจำวัน

2) เราต้องทำให้ความเชื่อของเราเข้มแข็งด้วยอำนาจของพระจิตเจ้า ผ่านทางการภาวนา และมีส่วนในชีวิตพระของพระเยซูเจ้าผ่านทางศีลอภัยบาปและศีลมหาสนิท

คุณแม่เทเรซาแห่งกัลกัตตา ได้ใช้แนวทางนี้ในการสอนสมาชิก “ถ้าเราภาวนา เราจะเชื่อ; ถ้าเราเชื่อ เราจะรัก; ถ้าเรารัก เราจะรับใช้ ซึ่งเป็นการทำให้ความรักที่เรามีต่อพระเจ้าปรากฏเป็นจริงในกิจการ”

บทสรุป

พี่น้องที่รัก ให้เราได้สานต่อพันธกิจของพระเยซูเจ้า ในงานแห่งความรักและการให้อภัยไม่สิ้นสุดในชีวิตประจำวันของเรา เพื่อเราจะได้เป็นเครื่องมือในการสร้างสันติสุขในสังคมที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง และความแตกแยกรุนแรง มีการแบ่งสีเลือกข้างอย่างในปัจจุบัน เพื่อสร้างสันติสุขให้บังเกิดขึ้นในครอบครัว และในหมู่บ้านของเรา ดังที่ นักบุญฟรังซิส อัสซีซี ได้ภาวนาว่า:

ข้าแต่พระบิดา ขอพระองค์ทรงกระทำให้ข้าพเจ้าเป็นเครื่องมือของพระองค์ เพื่อสร้างสันติ
ที่ใดมีความเกลียดชัง ให้ข้าพเจ้าเป็นผู้นำความรัก
ที่ใดมีความเจ็บแค้น ให้ข้าพเจ้าเป็นผู้นำการอภัย
ที่ใดมีความแตกแยก ให้ข้าพเจ้าเป็นผู้นำความสามัคคี
ที่ใดมีความเท็จ ให้ข้าพเจ้าเป็นผู้นำความจริง
ที่ใดมีความสงสัย  ให้ข้าพเจ้าเป็นผู้นำความเชื่อ
ที่ใดมีความสิ้นหวัง ให้ข้าพเจ้าเป็นผู้นำความหวัง
ที่ใดมีความมืด ให้ข้าพเจ้าเป็นผู้นำความสว่าง
ที่ใดมีความเศร้าโศก ให้ข้าพเจ้าเป็นผู้นำ ความยินดีเบิกบานใจ


ข้าแต่พระเป็นเจ้า โปรดให้ข้าพเจ้าเป็นผู้บรรเทา มากกว่าจะเป็นผู้รับการบรรเทา
เห็นใจผู้อื่น มากกว่าจะรับความเห็นใจ
รักผู้อื่นก่อน และมากว่าที่จะให้คนอื่นรักข้าพเจ้า
ผู้ที่ให้เท่านั้น จะได้รับความอิ่มเอิบยินดี
ผู้ที่ลืมตนเองเท่านั้น จะพบตนเองในทางสันติ
ผู้ที่ยกโทษให้เท่านั้น จะได้รับการอภัยโทษ
ดังนี้เมื่อเราตาย จะได้ไปสู่พระราชัย ของพระองค์ชั่วนิรันดร

คุณพ่อขวัญ ถิ่นวัลย์
วัดพระคริสตประจักษ์ นาบัว
29 เมษายน 2011

วันพุธที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2554

ข่าวดีแห่งการกลับคืนชีพ

วันพฤหัสบดี
อัฐมวารปัสกา
กจ 3:11-26
ลก 24:35-48

 ข่าวดีแห่งการกลับคืนชีพ

เราหลายคนคงเคยมีความหวาดกลัว ความคลางแคลงสงสัย หรือความสิ้นหวัง พระวรสารวันนี้คือสารพิเศษของพระเยซูเจ้าที่ให้กำลังใจบรรดาคริสตชน ที่กำลังอยู่ในสถานการณ์ของความหวาดกลัว คลางแคลงสงสัย และสิ้นหวัง พระองค์ทรงรับปัญหาทุกอย่างของเรา และทรงแบกบาปของเราบนกางเขน ด้วยการหลั่งโลหิตและสิ้นพระชนม์เพื่อช่วยเราให้เป็นอิสระจากภาระเหล่านี้ พระองค์ทรงชนะบาป ความตาย และที่สุด ทรงชนะโลก

เมื่อพระเยซูเจ้ากลับคืนชีพ พระองค์ได้ประทับท่ามกลางบรรดาอัครสาวก เพื่อให้พวกเขามีประสบการณ์โดยตรงกับพระองค์ ทำให้พวกเขามีความมั่นใจในการกลับคืนชีพของพระองค์ “เขาจำพระองค์ได้เมื่อทรงบิขนมปัง” พิธีมิสซาบูชาขอบพระคุณจึงเป็นเครื่องหมายของการประทับอยู่ของพระเยซูเจ้า ที่จะทำให้บรรดาศิษย์ของพระองค์จำพระองค์ได้ และเลียนแบบอย่างของพระองค์ในการแบ่งปันชีวิตเพื่อกันและกัน ด้วยความรักและความเอาใจใส่

ในพระวรสารวันนี้พระองค์ทรงประกฎมาให้บรรดาอัครสาวกได้เห็น พวกเขาคิดว่าพระองค์เป็นผี แต่พระองค์ทรงขจัดความหวาดกลัวให้หมดไปจากความคิดของพวกเขา โดยตรัสว่า “จงดูมือและเท้าของเราซิ เป็นเราเองจริงๆ จงคลำตัวเราดูเถิด ผีไม่มีเนื้อ ไม่มีกระดูกอย่างที่ท่านเห็นว่าเรามี” (ลก 24:39) จากนั้นพระองค์ได้แสดงบาดแผลของพระองค์ให้พวกเขาได้เห็น เมื่อพวกเขายังคงมีความแปลกใจไม่ค่อยเชื่อ พระองค์ทรงนั่งลงและกินอาหารเที่ยงกับพวกเขาให้เห็นด้วยตาตนเอง

นอกนั้น พระเยซูเจ้ายังได้ทรงอ้างถึงพระคัมภีร์ที่ตรัสถึงการกลับคืนชีพของพระองค์ “พระคริสตเจ้าจะต้องรับทรมานและกลับคืนพระชนม์ชีพจากบรรดาผู้ตายในวันที่สาม” (ลก 24:46) ความเชื่อเรื่องการกลับคืนชีพจึงเป็นหัวใจของความเชื่อคริสตชน พระองค์ยังได้สั่งให้เราประกาศและเป็นพยานถึงความจริงข้อนี้ เราคริสตชนจึงมีหน้าที่ในการเป็นพยานถึงการกลับคืนชีพของพระเยซูเจ้าด้วยชีวิตของเรา

ให้เรายอมรับและเชื่อในพระเยซูเจ้าผู้กลับคืนชีพอย่างบรรดาอัครสาวก เพื่อเราจะได้มีความมั่นใจว่า พระองค์ทรงพระชนม์อยู่และประทับอยู่ท่ามกลางเรา เป็นต้นในศีลมหาสนิทที่เรากำลังจะรับในพิธีมิสซาบูชาขอบพระคุณ ในเพื่อนพี่น้องที่เราพบเห็นในแต่ละวัน ให้เราดำเนินชีวิตเป็นประจักษ์พยานถึงการกลับคืนชีพของพระองค์ ในความรักต่อกันและการให้อภัยความผิดของกันและกัน เพื่อสันติสุขจะได้เกิดขึ้นในสังคม ในหมู่คณะ และในใจเรา

คุณพ่อขวัญ ถิ่นวัลย์
วัดนักบุญยอแซฟ ดอนทอย
8 เมษายน 2010

วันอาทิตย์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2554

สารวัดนาบัว, ปีที่ 1 ฉบับที่ 50

สารวัดพระคริสตประจักษ์ นาบัว
ปีที่ 1 ฉบับที่ 50 วันที่ 24 เมษายน ค.ศ. 2011 (พ.ศ. 2554): http.//dondaniele.blogspot.com
บ้านนาบัว หมู่ที่ 2 ตำบลหนองแวงใต้ อำเภอวานรนิวาส จังหวัดสกลนคร 47120. 086-231-3231

 ปัสกา:การฉลองการกลับคืนชีพของพระเยซูเจ้า

เราได้เดินทางมาถึงวันปัสกา ศูนย์กลางของปีพิธีกรรมของพระศาสนจักร ซึ่งพระศาสนจักรได้ให้เรามีเวลาเตรียมจิตใจล่วงหน้าก่อน 40 วันในเทศกาลมหาพรต ปัสกาจึงเป็นวันสมโภชที่สำคัญและยิ่งใหญ่ที่สุดในรอบปี สำคัญยิ่งกว่าวันพระคริสตสมภพ แต่ในความเป็นจริงเราคริสตชนมักจะคุ้นเคยและให้ความสำคัญกับวันคริสตสมภพมากกว่า

การสมโภชปัสกาไม่ได้เฉลิมฉลองเพียงวันเดียว แต่พระศาสนจักรให้เรามีเวลาถึง 7 สัปดาห์จนถึงวันสมโภชพระจิตเจ้า และทุกวันอาทิตย์ตลอดปีเป็นวันปัสกา ซึ่งเราคริสตชนที่มาชุมนุมกันร่วมในพิธีมิสซาบูชาขอบพระคุณจะได้พบกับพระเยซูเจ้าผู้ทรงกลับคืนชีพ ที่เสด็จมาประทับอยู่ท่ามกลางเราเหมือนดังที่เคยปรากฎพระองค์แก่อัครสาวก
 การเตรียมสถานที่ตั้งศีลมหาสนิท ของบรรดานักเรียนคำสอนและเยาวชน

คำว่า “ปัสกา” มาจากคำ Pesach ในภาษาฮีบรู แปลว่า “การข้าม” หรือ “การผ่านไป” เป็นวันที่ชาวยิวฉลองการกินขนมปังไร้เชื้อในวันที่ 14 ของเดือนนิซาน (อยู่ในช่วงเดือนมีนาคมถึงเดือนเมษายน) โดยฉลองกันหลังพระอาทิตย์ตกดิน เพื่อระลึกถึงเหตุการณ์ที่พระเจ้าทรงช่วยเหลือบรรพบุรุษของพวกเขาจากการเป็นทาสในดินแดนอียิปต์ ด้วยการประหารบุตรหัวปีของชาวอียิปต์ และทรงผ่านไปไม่ประหารชาวอิสราแอล (อพย 11: 1-10)

ปัสกา เป็นวันฉลองเพียงหนึ่งเดียวของพระศาสนจักรยุคแรก เพื่อเฉลิมฉลองการกลับคืนชีพของพระเยซูเจ้า โดยฉลองกันในวันแรกของสัปดาห์คือวันอาทิตย์ ซึ่งถือเป็นวันของพระเจ้า (The Lord’s Day) เนื่องจากเป็นวันที่พระเยซูเจ้าได้ผ่านจากความตายไปสู่การกลับคืนชีพ ผ่านจากการเป็นทาสของบาปสู่การเป็นบุตรของพระเจ้า
การเดินรูป 14 ภาคและการนมัสการกางเขน ในวันศุกร์ศักดิ์สิทธิื

การฉลองปัสกาได้กลายมาเป็นศูนย์กลางของการถวายบูชาและคารวกิจทุกอย่าง โดยมีหัวใจอยู่ที่การกลับคืนชีพของพระเยซูเจ้า ซึ่งเป็นจุดรวมของความเชื่อคริสตชน ที่เชื่อว่าพระเยซูเจ้าเป็นผู้ชนะ แม้บั้นปลายชีวิตของพระองค์จะถูกทรยศ ถูกทรมาน ถูกตรึงกางเขนและสิ้นพระชนม์อย่างน่าอนาถอย่างผู้แพ้ แต่พระองค์ได้กลับคืนชีพเป็นผู้ชนะในที่สุด

เราคริสตชนทุกคนสามารถชนะทุกสิ่งและมีส่วนในชัยชนะของพระเยซูเจ้าเหนือความตายเช่นเดียวกัน ด้วยความเชื่อในพระองค์ และด้วยการดำเนินชีวิตเป็นพยานยืนยันถึงการกลับคืนชีพของพระองค์

ดังนั้น คริสตชนจะต้องเป็นผู้ส่งสารแห่งการกลับคืนชีพนี้ อันเป็นเป้าหมายของการดำเนินชีวิตคริสตชนที่จะต้องประกาศให้ทุกคนได้รับรู้ถึง “ข่าวดีแห่งการกลับคืนชีพของพระเยซูเจ้า” และข่าวดีแห่งการกลับคืนชีพของตนเอง ด้วยการตายต่อบาป กลับใจใหม่ ปรับเปลี่ยนชีวิตของตนร่วมส่วนในการกลับคืนชีพของพระองค์
เด็กๆ จากโรงเรียนมหาไถ่ศึกษา บึงกาฬ มาจัดกิจกรรมวันเสาร์ศักดิ์สิทธิ์ที่นาบัว

คริสตชนต้องเป็นพยานถึงการกลับคืนชีพของพระเยซูเจ้าด้วย: แบบอย่างชีวิต ความรักแท้ และความชื่นชมยินดี

• “แบบอย่างชีวิต” โดยการดำเนินชีวิตตามคุณค่าพระวรสาร ละทิ้งความชั่ว ความเห็นแก่ตัว ดำรงไว้ซึ่งความจริง ความถูกต้อง และความยุติธรรม

• “ความรักแท้” โดยการรักทุกคนไม่มียกเว้นและปราศจากเงื่อนไขใดๆ ใจดีมีเมตตาและให้อภัยเสมอตามแบบอย่างของพระเยซูเจ้า เพราะทุกคนถูกเรียกมาให้เป็นบุตรของพระเจ้าและเป็นพี่น้องกัน

• “ความชื่นชมยินดี” โดยการนำความยินดี ความหวัง และความสุขไปสู่ผู้อื่น เราต้องยินดีไม่โศกเศร้าแม้ในเวลาของความทุกข์ระทม เพราะพระเยซูเจ้าผู้เป็นความยินดี ความหวัง และสันติสุขสำหรับมนุษยชาติได้กลับคืนชีพแล้ว อย่าให้การดำเนินชีวิตในแต่ละวันของเราเป็นการตรึงพระองค์บนกางเขนอยู่ร่ำไป

เราต้องนำสารแห่งแบบอย่างชีวิต ความรักแท้ และความชื่นชมยินดีไปสู่ทุกคนเดี๋ยวนี้ขณะที่เรายังมีชีวิตอยู่ ทำให้ปัสกาของพระเยซูเจ้าปรากฏเป็นจริงในใจเราและในโลก เพื่อว่าเราจะได้ร่วมส่วนในการกลับคืนชีพของพระองค์ตั้งแต่ในโลกนี้
สุขสันต์วันปัสกา!  Happy Easter  Buona Pasqua!
สมาชิกใหม่ที่ได้รับศีลล้างบาปในวันเสาร์ศักดิ์สิทธิ์ Clara Isia Gumlairuk

คุณพ่อขวัญ ถิ่นวัลย์

ข่าวสารและประชาสัมพันธ์

1) ขอบคุณกลุ่มคริสตชนพื้นฐานกลุ่มที่ 5 ที่มาช่วยกันทำความสะอาดวัด กลุ่มที่รับผิดชอบอาทิตย์ต่อไปคือกลุ่มที่ 6 รวมถึงสภาอภิบาล กรรมการหมู่บ้าน พลมารี ครูคำสอน ลูกๆ เยาวชนและนักเรียนคำสอน

2) วันจันทร์ที่ 25 เมษายน ประชุมสงฆ์เขตตะวันตกที่วัดนักบุญยอแซฟ ดอนดู่ มิสซาขวบ 100 วัน ยอห์นบัปติส เกษม โสรินทร์ เวลา 10.00 น. ขอคำภาวนาเพื่อดวงวิญญาณของยอห์นบัปติสต์ เกษม บิดาของคุณพ่อพรทวี โสรินทร์ด้วย

3) ขอเชิญร่วมโมทนาคุณพระเจ้า โอกาสฉลอง 25 ปีชีวิตสงฆ์ คุณพ่อทวีชัย ศรีวรกุล, คุณพ่อพิชาญ ใจเสรี และ 50 ปีชีวิตสงฆ์คุณพ่อเสงี่ยม ดีศรีวรกุล วันเสารที่ 30 เมษายน 2011 ณ อาสนวิหารอัครเทวดามีคาแอลท่าแร่ มิสซาเวลา 10.00 น.
บรรยากาศการสมโภชปัสกา การแจกไข่ปัสกา ปีนี้มีคุณพ่อดนัย พิลาจันทร์มาช่วย

4) ขอเชิญร่วมฉลองวัด: (1) วันนักบุญเปโตรมุกดาหาร วันพุธที่ 27 เมษายน มิสซาเวลา 11.00 น., (2) วันนักบุญยอแซฟห้วยหวด วันศุกร์ที่ 29 เมษายน มิสซาเวลา 10.00 น.

5) ประกาศบวชสังฆานุกรและพระสงฆ์: บร.วัลลภ จันทร์ดวง ลูกวัดนักบุญยอแซฟ ดอนดู่ บวชเป็นสังฆานุกร, สังฆานุกรเด่น ช่วยสุข ลูกวัดนักบุญเทเรซาโคกก่อง และสังฆานุกรพนม ลือประสิทธิ์ ลูกวัดนักบุญยอแซฟ ดอนทอย บวชเป็นพระสงฆ์ ในวันเสาร์ที่ 21 พฤษภาคม 2011 ณ วัดนักบุญยอแซฟ ดอนทอย มิสซาเวลา 10.00 น. ประกาศครั้งที่ 1

6) ขอเชิญคู่แต่งงานเข้ารับการอบรมเตรียมแต่งงาน ระหว่างวันที่ 25-29 เมษายน ที่บ้านพักเจ้าอาวาส เวลา 19.00-20.30 น.

7) เงินบริจาคสมทบกองทุนบูรณะวัดไม้: ร้านสกุลทอง จำนวน 1,000.- บาท
การแข่งขันกีฬาสัมพันธ์ระหว่างสองหมู่บ้าน และทีมวีไอพี พ่อบ้านกับแม่บ้าน

8) ประกาศแต่งตั้งและโยกย้าย
1. คุณพ่อสมเกียรติ พลจางวาง อยู่ประจำสำนักมิสซัง ดูแลผู้ป่วยที่โรงพยาบาล และสอนภาษาอังกฤษเป็นครั้งคราวที่โรงเรียนเซนต์ยอแซฟ สกลนคร
2. คุณพ่อไพศาล ว่องไว พักภารกิจและเข้ารับการอบรมที่ประเทศฟิลิปปินส์
3. คุณพ่อวีรพงษ์ มังกาย พักภารกิจและไปเข้าเงียบที่ประเทศอินเดีย
4. คุณพ่อธีระพงษ์ นาแว่น เป็นรองผู้อำนวยการสื่อมวลชนอัครสังฆมณฑลท่าแร่-หนองแสง
5. คุณพ่อชัยวิชิต บรรเทา เป็นเจ้าอาวาสวัดพระคริสตราชา นาจาร
6. คุณพ่อวิโรจน์ โพธิ์สว่าง เป็นรองอธิการบ้านเณรฟาติมาท่าแร่
7. คุณพ่อโกวิทย์ จันทรังษี เป็นเจ้าอาวาสวัดนักบุญเปาโล นามน โคกก่อง และหนองหญ้าไซ
8. คุณพ่อทรงฤทธิ์ นาแว่น เป็นเจ้าอาวาสวัดนักบุญยอแซฟ ดอนดู่
9. คุณพ่อวัฒนา สอนนุชาติ เป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสอาสนวิหารอัครเทวดามีคาแอล ท่าแร่
10. คุณพ่อศรายุทธ คำภูแสน เป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสอาสนวิหารอัครเทวดามีคาแอล ท่าแร่
11. คุณพ่อสลัน ว่องไว เป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระคริสตราชา ช้างมิ่ง
12. คุณพ่อญาณารณพ มหัตกุล เป็นผู้ให้การอบรมประจำบ้านเณรฟาติมาท่าแร่
13. คุณพ่อดนัย พิลาจันทร์ เป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสสักการสถาน สอนคอน
14. คุณพ่อจีระศักดิ์ อุ่นหล้า เป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดแม่พระถวายพระกุมารในพระวิหาร จันทร์เพ็ญ
15. สังฆานุกรเด่น ช่วยสุข เป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสอาสนวิหารอัครเทวดามีคาแอล ท่าแร่
16. สังฆานุกรพนม ลือประสิทธิ์ เป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระวิสุทธิวงศ์ นิรมัย
17. บร.วัลลภ จันทร์ดวง ช่วยงานที่วัดแม่พระถวายพระกุมารในพระวิหาร จันทร์เพ็ญ
18. คุณพ่อนิเวศน์ อินทิเสน เป็นอาจารย์ที่บ้านเณรใหญ่ยอห์น มารีย์ เวียนเนย์ ท่าแขก, ส.ป.ป.ลาว
ประกาศ ณ วันที่ 20 เมษายน ค.ศ. 2011 ให้เข้าประจำหน้าที่ภายใน วันที่ 15 พฤษภาคม ค.ศ. 2011

9) เงินทานวันอาทิตย์ที่ 17 เมษายน 19,265.- บาท; เงินทานวัดโพนสวาง 1,051.- บาท

วันเสาร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2554

การกลับคืนชีพของพระเยซูเจ้า

สมโภชปัสกา
พระคริสตเจ้าทรงกลับคืนชีพ
จงชื่นชมยินดีเถิด
กจ 10:34ก, 37-48
คส 3:1-4
ยน 20:1-9
 การกลับคืนชีพของพระเยซูเจ้า

บทนำ

เออร์เนส กอร์ดอน (Ernest Gordon) หนึ่งในเชลยที่รอดชีวิตจากการสร้างทางรถไฟสายมรณะ ได้เขียนหนังสือ Through the Valley of the Kwae เกี่ยวกับชีวิตเชลยฝ่ายสัมพันธมิตรในค่ายทหารญี่ปุ่นที่ถูกบังคับให้สร้างทางรถไฟข้ามแม่น้ำแควไปประเทศพม่า กล่าวกันว่าไม้หมอนแต่ละท่อนของทางรถไฟสายนี้ปูด้วยชีวิตของบรรดาเชลยประมาณ 12,000 คนที่ต้องสังเวยชีวิตในระหว่างการก่อสร้าง

กอร์ดอน เขียนว่าศัตรูที่ร้ายกาจไม่ใช่ทหารญี่ปุ่น ไข้ป่าหรืองานที่หนักเยี่ยงทาส แต่เป็นตัวของพวกเขาเองที่ยอมทำทุกอย่างเพื่อความอยู่รอด พวกญี่ปุ่นได้ทำให้พวกเขาหวาดระแวงกันเอง จนถึงกับต้องขโมยสิ่งของเครื่องใช้ของกันและกัน มีความไม่ไว้ใจกันและฟ้องร้องกล่าวโทษกัน ท่ามกลางบรรยากาศที่เลวร้ายเช่นนี้ได้มีสิ่งที่ไม่น่าเชื่อเกิดขึ้น เชลยสองคนได้รวมตัวกันศึกษาพระคัมภีร์ จากการอ่านพระวรสารวันละเล็กละน้อย พวกเขาได้ค้นพบว่า พระเยซูเจ้าทรงพระชนม์อยู่และประทับอยู่ท่ามกลางพวกเขา

บรรดาเชลยเริ่มพบว่าพระเยซูเจ้าทรงเข้าใจและอยู่ในสถานการณ์เช่นเดียวกับพวกเขา เนื่องจากพระองค์ไม่มีที่จะวางศีรษะ ทรงหิว ทรงอ่อนเพลีย ทรงถูกทรยศ และทรงเจ็บปวดจากการถูกเฆี่ยนเช่นเดียวกัน ทุกสิ่งเกี่ยวกับพระองค์ สิ่งที่พระองค์ทรงเป็น ถ้อยคำที่พระองค์ตรัส และกิจการที่พระองค์ทรงกระทำเริ่มเป็นที่รับรู้และมีชีวิต ทำให้พวกเขาตระหนักว่าตนเองไม่ใช่เหยื่อของความทารุณโหดร้ายอีกต่อไป พวกเขาหยุดฟ้องร้องและทำลายกัน เริ่มภาวนาเพื่อกันและกัน ความเปลี่ยนแปลงเริ่มเกิดขึ้นในค่ายกักกัน นำความแปลกใจมาสู่พวกญี่ปุ่นและเชลยด้วยกัน

1. ข่าวดีแห่งปัสกาในใจเรา

พระเยซูเจ้าได้ทรงกลับคืนชีพแล้ว นี่คือ “ข่าวดีแห่งปัสกา” พระเจ้าไม่ได้ทอดทิ้งพระเยซูเจ้าเหมือนที่พระองค์ทรงรู้สึกขณะถูกตรึงบนกางเขน ผ่านทางงานไถ่กู้ของพระเยซูเจ้า พระเจ้าได้เปิดประตูแห่งความรอดพ้นสำหรับเรา พระเจ้าทรงสัญญาว่าหากเรามาหาพระองค์ผ่านทางพระเยซูเจ้า ผู้เป็นหนทาง ความจริง และชีวิต (ยน 14:6) เราก็จะได้รับการยกขึ้นและได้รับเกียรติเช่นเดียวกับพระองค์

ข่าวดีแห่งปัสกาไม่ใช่การระลึกถึงเหตุการณ์ในอดีต พันธกิจของเราคือการเป็นพยานถึงปัจจุบันในชีวิตประจำวัน เป็นพยานให้เห็นว่าพระเจ้าได้ทรงทำงานที่น่าอัศจรรย์แม้ในปัจจุบัน ในตัวบุคคลที่วางใจในพระองค์ พระเจ้าทรงสร้างสิ่งใหม่ในตัวเราผ่านทางศีลล้างบาป และนำเราให้เป็นอิสระจากจากบาปและความตาย ทำให้เราเป็นเครื่องหมายแห่งความหวังในโลกที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งและความเกลียดชัง

เราแต่ละคนเป็นส่วนหนึ่งแห่งพระกายที่กลับคืนชีพของพระเยซูเจ้า ปัจจุบันพระองค์ยังทรงทำงานในตัวเราและผ่านทางเรา เราจะต้องเป็นเครื่องมือที่ดีในการสานต่อพันธกิจของพระองค์ ธรรมล้ำลึกปัสกาควรได้รับการเฉลิมฉลองในใจเรา หากเรายอมให้พระองค์เป็นที่หนึ่งในชีวิตของเรา และตระหนักถึงการประทับอยู่ของพระองค์ในเพื่อนพี่น้อง การสมโภชปัสกาจะเป็นความจริงในชีวิตประจำวันของเรา

2. ความหมายของปัสกาสำหรับเรา

เรื่องราวความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในค่ายกักกันของทหารญี่ปุ่น คือภาพที่สวยงามที่ให้ความกระจ่างถึงความหมายของปัสกาที่เราเฉลิมฉลองในวันนี้ ปัสกาคืออัศจรรย์ที่ทำให้บรรดาเชลยไว้ใจกัน หลังจากที่เคยสงสัยไม่ไว้ใจกัน ปัสกาคืออัศจรรย์ที่ทำให้บรรดาเชลยแบ่งปันกันด้วยใจกว้าง หลังจากเคยขโมยของกัน ปัสกาคืออัศจรรย์ที่ทำให้บรรดาเชลยช่วยเหลือกัน หลังจากที่เคยฟ้องร้องกล่าวโทษกัน

ปัสกาคืออะไรสำหรับเรา ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในชีวิตของบรรดาเชลยในค่ายกักกัน สามารถเกิดขึ้นได้เช่นกันในชีวิตของเรา อีกทั้ง สามารถเกิดขึ้นได้ทุกที่ในโลกด้วย เราควรทำเช่นเดียวกับบรรดาเชลยเหล่านั้น ด้วยการเปิดใจของเราให้กับพระหรรษทานของพระเยซูเจ้า ผู้ทรงชนะบาปและความตาย “ข่าวดีแห่งปัสกา” คือข่าวดีแห่งการกลับคืนชีพของพระองค์ ซึ่งเราสามารถแบ่งปันและมอบให้แก่กันในขณะปัจจุบัน

ปัสกาได้เชื้อเชิญเราให้เปิดใจต่อพระเยซูเจ้าผู้ทรงกลับคืนชีพ เพื่อให้พระองค์ทรงทำงานในตัวเราเช่นเดียวกับที่ทรงกระทำในค่ายกักกัน ข่าวดีแห่งปัสกาเชื้อเชิญเราให้ไว้ใจกันอีกครั้ง หลังจากความไว้ใจนี้ถูกทำลายเพราะการทรยศหักหลัง ข่าวดีแห่งปัสกาเชื้อเชิญเราให้รักกันอีกครั้ง หลังจากความรักนี้ถูกแทนที่ด้วยความเกลียดชังและความเห็นแก่ตัว ข่าวดีแห่งปัสกาเชื้อเชิญเราให้มีความหวังอีกครั้ง หลังจากความหวังนี้พังทลายลงจนกลายเป็นความสิ้นหวัง

นี่คือ ข่าวดีแห่งการกลับคืนชีพของพระเยซูเจ้า ที่ทรงพระชนม์อยู่และประทับอยู่ท่ามกลางเราขณะนี้ เป็นข่าวดีที่พระเยซูเจ้าทรงชนะบาปและความตาย รวมถึงความชั่วในตัวเราหากเราเปิดใจให้พระองค์ช่วยเหลือ เป็นข่าวดีที่พระเยซูเจ้าพร้อมจะทำอัศจรรย์ในตัวเรา หากเราปล่อยให้พระองค์ทำงาน เป็นข่าวดีที่ไม่มีสิ่งใดสามารถทำลายเราได้อีก ไม่ว่าจะเป็นความเจ็บปวด ความทุกข์โศก การถูกปฏิเสธ บาปหรือความตายในตัวมันเอง

บทสรุป

บรรดาอัครสาวกได้เป็นประจักษ์พยานถึงการกลับคืนชีพของพระเยซูเจ้า นักบุญเปโตรได้ประกาศว่า “เราทั้งหลายเป็นพยานถึงกิจการทั้งปวงที่พระองค์ทรงกระทำในเขตแดนของชาวยิวและที่กรุงเยรูซาเล็ม เขาประหารพระองค์โดยตรึงบนไม้กางเขน แต่พระเจ้าทรงบันดาลให้พระเยซูเจ้ากลับคืนพระชนมชีพในวันที่สาม” (กจ 10:39-40)

นี่คือความเชื่อของเราที่ได้รับการยืนยันจากเปโตรและบรรดาอัครสาวก เราคริสตชนถูกเรียกร้องให้

เป็นผู้ส่งสารแห่งการกลับคืนชีพของพระเยซูเจ้า คริสตชนแต่ละคนได้รับมอบหน้าที่ในการประกาศข่าวดีที่ว่า พระเยซูเจ้าทรงกลับคืนชีพและทำให้ชีวิตของเขาเป็นชีวิตใหม่

เป็นพยานถึงการกลับคืนชีพของพระเยซูเจ้า ดำเนินชีวิตในความรักต่อกันตามแบบอย่างพระเยซูเจ้า ผู้เป็นศิลาหัวมุมแห่งความเชื่อ ความหวัง และความยินดี

ตายพร้อมกับพระเยซูเจ้า ด้วยการะทิ้งชีวิตเก่าและตายต่อตัวเองพร้อมกับพระองค์ เพื่อเราจะได้มีชีวิตใหม่และกลายเป็นสิ่งสร้างใหม่ของพระองค์

ความเชื่อในการกลับคืนชีพของพระเยซูเจ้า ความรักในพระองค์และความรักต่อเพื่อนพี่น้อง ควรเป็นเหมือนกับตะเกียงที่ส่องสว่างและนำบุคคลอื่นให้มาพบกับพระเยซูเจ้า อีกทั้ง ข่าวดีแห่งปัสกาควรได้รับการแสดงออกในชีวิตของเรา ในพิธีมิสซาบูชาขอบพระคุณ เราประกาศถึงการสิ้นพระชนม์และการกลับคืนชีพของพระเยซูเจ้า ให้เราได้ประกาศความจริงนี้อีกครั้งในชีวิตประจำวันของเรา

สุขสันต์วันปัสกา! Happy Easter! Buona Pasqua!

คุณพ่อขวัญ ถิ่นวัลย์
วัดพระคริสตประจักษ์ นาบัว
23 เมษายน 2011

การตื่นเฝ้าและรอคอยการกลับคืนชีพ

วันเสาร์ศักดิ์สิทธิ์
คืนตื่นเฝ้าปัสกา
เสกน้ำเสกไฟ
อพย 14:15-15:1
รม 6:3-11
มธ 28:1-10

 การตื่นเฝ้าและรอคอยการกลับคืนชีพ

วันเสาร์ศักดิ์สิทธิ์ เป็นคืนที่คริสตชนทั่วโลกตื่นเฝ้าและรอคอยการกลับคืนชีพของพระเยซูเจ้าด้วยความหวัง นักบุญเอากุสตินได้ให้คำจำกัดความการฉลองวันนี้ว่า เป็นหัวใจของปีพิธีกรรมและศูนย์กลางของการฉลองใดๆ ในพระศาสนจักร เนื่องจากเป็นค่ำคืนที่พระเยซูเจ้าทรงชนะบาปและความตาย อันเป็นปัสกายิ่งใหญ่ของพระเจ้าที่ทรงผ่านจากความตายไปสู่ชีวิตนิรันดร ถือเป็นเทศกาลแห่งการเกิดใหม่และความชื่นชมยินดีอย่างแท้จริงในพระศาสนจักร

บทอ่านต่างๆ ก่อนพระวรสารได้เล่าให้เห็นถึงประวัติศาสตร์แห่งความรอด พระเจ้าทรงสร้างทุกอย่างดีแต่มนุษย์ได้ทำบาป กระนั้นก็ดี พระเจ้ายังทรงสัญญาจะช่วยมนุษย์และทรงซื่อสัตย์ต่อพันธสัญญาที่กระทำกับประชากรของพระองค์ ช่วยพวกเขาให้พ้นจากการเป็นทาสในประเทศอียิปต์ พระวาจาของพระองค์ได้แสดงให้เห็นถึงพระทัยกรุณาและความรักนิรันดร์ของพระองค์ น้ำที่ชาวอิสราแอลข้ามผ่านในหนังสืออพยพ นักบุญเปาโลได้เปรียบเทียบกับน้ำล้างบาปและเตือนเราให้ระลึกว่า “เราทุกคนที่ได้รับศีลล้างบาปเดชะพระคริสตเยซู ก็ได้รับศีลล้างบาปเข้าร่วมกับการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ด้วย” (รม 6:3)

บทอ่านวันนี้ ได้แสดงให้เราเห็นถึงความเชื่อมโยงระหว่างวันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์และวันอาทิตย์ปัสกา พระทรมานและการกลับคืนชีพของพระเยซูเจ้าได้ก่อให้เกิดธรรมล้ำลึกปัสกา “พระคริสตเจ้าทรงสิ้นพระชนม์ พระคริสต์เจ้าทรงกลับคืนชีพ และพระคริสตเจ้าจะเสด็จมาอีกครั้งหนึ่ง” อาศัยการสิ้นพระชนม์พระองค์ได้ทำลายความตายของเรา และแสดงให้เห็นถึงความนอบน้อมเชื่อฟังของพระองค์ต่อพระบิดา อาศัยการกลับคืนชีพพระองค์ได้ฟื้นฟูชีวิตของเราให้ดำเนินชีวิตแบบใหม่ในพระองค์ (รม 6:4) และที่สุด พระองค์จะเสด็จกลับมาอีกครั้งในพระสิริรุ่งโรจน์

ผ่านทางกางเขนและการกลับคืนชีพ พระเยซูเจ้าได้ปลดปล่อยเราให้เป็นอิสระ หากปราศจากการกลับคืนชีพของพระองค์ การส่งพระจิตเจ้าและธรรมล้ำลึกปัสกาก็ไม่สมบูรณ์ พระองค์ทรงสิ้นพระชนม์ครั้งเดียวเพื่อทุกคนบนกางเขน แต่โลหิตและน้ำจากสีข้างของพระองค์ยังคงไหลอยู่ทุกวัน พระโลหิตของพระองค์หมายถึงการไถ่กู้ เพื่อนำทุกคนที่กำลังทนทุกข์ให้รวมเป็นหนึ่งเดียวในพระองค์ น้ำหมายถึงชีวิตที่พระองค์ทรงมอบแก่เราผ่านทางพระศาสนจักรและศีลศักดิ์สิทธิ์

ในพระวรสารวันนี้พูดถึง มารีย์ชาวมักดาลาและพวกผู้หญิงรีบไปที่พระคูหาแต่เช้าตรู่เพื่อเคารพพระศพและชโลมด้วยน้ำหอม พวกเธอพบพระคูหาว่างเปล่าเพราะพระเยซูเจ้าทรงกลับคืนชีพแล้ว พวกผู้หญิงนับเป็นกลุ่มแรกที่ไปที่พระคูหา เป็นพวกแรกที่พบพระคูหาว่างเปล่า และเป็นพวกแรกที่ได้ยินว่า “พระองค์ไม่ได้อยู่ที่นี่ แต่ได้กลับคืนชีพแล้ว” อีกทั้งยังเป็นพวกแรกที่ประกาศความจริงเกี่ยวกับการกลับคืนชีพให้กับอัครสาวกทั้งสิบเอ็ดได้ทราบ

พระเยซูเจ้าได้กลับคืนชีพแล้ว ทรงพระชนม์อยู่ และประทับอยู่ท่ามกลางเรา นี่คือหัวใจของการฉลองในค่ำคืนนี้ เราจะประกาศข่าวดีเรื่องการกลับคืนชีพของพระองค์อย่างไร ข่าวดีแห่งการกลับคืนชีพของพระองค์ควรแสดงออกในชีวิตของเรา ยกชีวิตของเราให้สูงขึ้นโดยปราศจากความเห็นแก่ตัว ความหยิ่งทะนงตน และอคติ ในศีลล้างบาปเราได้รับในพระนามของพระเยซูเจ้า ดังนั้น เราจะต้องดำเนินชีวิตเป็นพระเยซูเจ้าอีกองค์หนึ่ง และเปลี่ยนแปลงชีวิตของเราให้ละม้ายคล้ายกับพระองค์

คุณพ่อขวัญ ถิ่นวัลย์
danielkhuan@hotmail.com
วัดพระคริสตประจักษ์ นาบัว
23 เมษายน 2011

วันศุกร์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2554

พระทรมานและการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูเจ้า


พระทรมานและการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูเจ้า
วันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์
พระเยซูเจ้าทรงรับทรมานและสิ้นพระชนม์ฯ
(ถือศีลอดอาหารและอดเนื้อ)
อสย 52:13-53:12
ฮบ 4:14-16; 5:7-9
ยน 18:1-19, 42

วันนี้เราระลึกถึงพระทรมานและการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูเจ้า พิธีกรรมในวันนี้มีสามภาคคือ ภาควจนพิธีกรรม ภาคนมัสการกางเขน และภาครับศีลมหาสนิท เนื้อหาสำคัญของพิธีกรรมวันนี้คือ “การปลดปล่อย” เราได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระเพราะความรักของพระเยซูเจ้าที่มีต่อเรา หากเราไม่เข้าใจว่าพระทรมานของพระองค์นำมาซึ่งอิสรภาพที่ยิ่งใหญ่ ก็เท่ากับว่าเราไม่เห็นถึงคุณค่าที่มีอยู่ในตัวเรา
การยอมมอบตนของพระเยซูเจ้าบนไม้กางเขน ทำให้ชีวิตของเรามีคุณค่าและมีส่วนในความชื่นชมยินดีนิรันดร อีกทั้ง ทำให้ชีวิตและกิจการดีทั้งหลายที่เราทำตลอดชีวิตมีความหมายและบรรลุถึงความสมบูรณ์ในวันสุดท้าย เราจะไม่ตกเป็นทาสของข้อจำกัดของมนุษย์อีกต่อไป โดยเฉพาะความตายที่ถือว่าเป็นจุดจบของทุกสิ่ง แต่เราจะมีอิสระอย่างแท้จริงและมีเป้าหมายสุดท้ายที่ชัดเจน
ดังนั้น ทุกถ้อยคำและเครื่องหมายในพิธีกรรมวันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์ จึงเป็นการฉลองอิสรภาพของมนุษยชาติ ให้เราติดตามพระเยซูเจ้าสู่เขากัลวารีโอ เพื่อเราจะได้เรียนรู้จักองค์แห่งความรัก ซึ่งในวาระสุดท้ายแห่งชีวิตบนไม้กางเขน พระองค์ได้ตรัสว่า “สำเร็จบริบูรณ์แล้ว” จากนั้นทรงเอนพระเศียรลงและสิ้นพระชนม์ มอบชีวิตทั้งครบของพระองค์เพื่ออิสรภาพของเรามนุษย์

          นักบุญยอห์น อัครสาวกได้ติดตามพระเยซูเจ้าไปจนถึงเชิงกางเขน ได้เป็นพยานและเขียนพระวรสารที่เราใช้อ่านในพิธีกรรมวันนี้ ท่านต้องการบอกเราด้วยว่า “ทำไม” พระเยซูเจ้าต้องรับทรมาน พระองค์ทรงล่วงรู้เหตุการณ์ทุกอย่างที่จะเกิดขึ้นกับพระองค์ และทรงน้อมรับมันด้วยความนอบน้อมเชื่อฟังต่อพระบิดาเจ้า “แต่อย่าให้เป็นไปตามใจข้าพเจ้า ให้เป็นไปตามพระประสงค์ของพระองค์เถิด” (ลก 22:42)
นักบุญยอห์น ได้แสดงให้เห็นว่าพระองค์ทรงน้อมรับความทรมานด้วยใจสงบและมีสันติสุข พระทรมานของพระองค์มีสาเหตุมาจากบาปของเรา ที่ปฏิเสธพระองค์และปฏิเสธความรักของพระองค์ ซึ่งสะท้อนให้เห็นผ่านทางยูดาสที่ทรยศพระองค์และขายพระองค์ให้กับพวกมหาสมณะ ผ่านทางเปโตรที่ยืนยันหนักแน่นว่าจะตายเพื่อพระองค์แต่ได้ปฏิเสธพระองค์ถึงสามครั้งก่อนไก่ขัน และที่สุด ผ่านทางบรรดาศิษย์ที่ละทิ้งพระองค์ไป

ความหมายของพระทรมานและการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูเจ้า จะเป็นที่เข้าใจเฉพาะผู้ที่พร้อมจะติดตามพระองค์ และพร้อมจะเลียนแบบพระองค์ในการทำตามพระประสงค์ของพระบิดาเจ้า บนไม้กางเขนพระองค์ได้มอบแบบอย่างแก่เราและเตือนใจเราให้ระลึกว่า:
1)           พระทรมานและการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูเจ้าคือ รูปแบบของความทรมานและความตายทั้งหลาย ผ่านทางความตายเท่านั้นที่นำมาซึ่งชีวิตใหม่ “เมล็ดข้าวถ้าไม่ตกลงดินและเปื่อยเน่าไปก็จะคงอยู่เพียงเมล็ดเดียว” (ยน 12:24)
2)           พระทรมานนำมาซึ่งความหวังในการตายต่อตัวเอง อิสรภาพที่แท้จริงออกมาจากการมอบชีวิตทั้งครบเพื่อผู้อื่น การแบ่งปันความทุกข์กับคนที่กำลังมีทุกข์ทำให้ความทุกข์นั้นเบาลง เข้าทำนอง “ร่วมทุกข์ ทุกข์ลด ร่วมสุข สุขเพิ่ม”
3)           พระเยซูเจ้าทรงรักเรามากโดยทรงปลดปล่อยเราจากบาปและความตาย ด้วยพระทรมานและการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ ทำให้การดำเนินชีวิตของเรามีคุณค่าและความหมาย และทำให้กิจการดีทั้งหลายที่เราทำไม่ไร้ค่า

พิธีกรรมในวันนี้เชิญชวนเราให้มีส่วนในพระทรมานและการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูเจ้า ไม่ใช่ด้วยความทุกข์โศกเศร้า แต่ด้วยความหวังในการกลับคืนชีพ พระวรสารวันนี้ได้กระตุ้นเตือนเราและเปิดเผยให้เราเห็นถึงการยอมรับการทรมานและสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนของพระเยซูเจ้า แม้ว่าพระองค์จะเป็นผู้บริสุทธิ์ นี่คือ ความรักอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ที่ทรงรักเราอย่างไม่มีเงื่อนไข “ไม่มีใครมีความรักยิ่งใหญ่ กว่าการสละชีวิตของตนเพื่อมิตรสหาย” (ยน 15:13)
ให้เราวอนขอพระหรรษทานจากพระเจ้าเพื่อว่าเราจะได้ดำเนินชีวิตด้วยความเข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงพระทรมาน การสิ้นพระชนม์ และการกลับคืนชีพของพระเยซูเจ้า และให้เราติดตามและเลียนแบบพระองค์ด้วยการมอบตนเองต่อพระประสงค์ของพระเจ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในความรักที่ไม่มีเงื่อนไขเยี่ยงพระองค์ต่อเพื่อนพี่น้องในชีวิตประจำวัน เพื่อเราจะได้รับชีวิตใหม่และกลับคืนชีพพร้อมกับพระองค์
คุณพ่อขวัญ ถิ่นวัลย์
danielkhuan@hotmail.com
วัดพระคริสตประจักษ์ นาบัว
21 เมษายน 2011

วันพฤหัสบดีที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2554

การล้างเท้า แบบอย่างแห่งการรับใช้

วันพฤหัสศักดิ์สิทธิ์
เสกน้ำมันศักดิ์สิทธิ์ ระลึกถึงการเลี้ยงของพระคริสตเจ้า
อพย 12:1-8, 11-14
1 คร 11:23-26
ยน 13:1-15

 การล้างเท้า แบบอย่างแห่งการรับใช้

พิธีกรรมวันนี้ถือเป็นวันสำคัญ เพราะเป็นวันระลึกถึงการตั้งศีลบวชและศีลมหาสนิทของพระเยซูเจ้า ซึ่งเริ่มด้วยพิธีเสกน้ำมันศักดิ์สิทธิ์ในตอนเช้า ในมิสซาที่พระสังฆราชถวายร่วมกับพระสงฆ์ในปกครอง เพื่อแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างพระสงฆ์กับพระสังฆราช ที่เป็นหนึ่งเดียวกันในสังฆภาพ ดังนั้น พระสงฆ์ทุกองค์ในสังฆมณฑลจึงมาร่วมในมิสซานี้ และรื้อฟื้นคำสัญญาแห่งการเป็นพระสงฆ์ต่อพระสังฆราชของตน

ส่วนพิธีกรรมในเย็นวันนี้ เป็นการระลึกถึงการเลี้ยงของพระเยซูเจ้า ที่เราเรียกว่า “อาหารค่ำมื้อสุดท้าย” (The Last Supper) กับบรรดาสาวกของพระองค์ การเลี้ยงนี้จึงเป็นเครื่องหมายแห่งความรักและมิตรภาพ ประการสำคัญ พระองค์ได้มอบสิ่งสุดท้ายไว้ให้แก่บรรดาศิษย์ นั่นคือ พระกายแลละพระโลหิตของพระองค์ เพื่อเป็นอาหารเลี้ยงวิญญาณและคงอยู่กับพวกเขาตลอดไป พระองค์ได้ตั้งศีลมหาสนิทและสังฆภาพขึ้น เพื่อพระองค์จะได้รับใช้พระศาสนจักรได้ต่อไปผ่านทางศีลศักดิ์สิทธิ์นี้

พระวรสารในเย็นวันนี้เกี่ยวข้องกับความเป็นจริงที่เป็นรูปธรรมในชีวิตของเรา นักบุญยอห์นไม่ได้พูดถึงปัสกาหรือศีลมหาสนิท แต่เจาะจงพูดถึงการที่พระเยซูเจ้า อาจารย์และองค์พระผู้เป็นเจ้า ได้ก้มลงล้างเท้าให้กับศิษย์ของพระองค์ ซึ่งเป็นแบบอย่างแห่งความรักและการรับใช้สำหรับศิษย์ของพระองค์ อีกทั้ง เป็นเอกลักษณ์ที่สำคัญของการเป็นคริสตชน นี่คือบทเรียนสำคัญที่พระองค์ทรงมอบไว้ให้แก่เรา

พระเยซูเจ้ามิเพียงสอนด้วยคำพูด ด้วยการชี้นิ้วบอกให้คนอื่นทำอย่างอาจารย์ทั่วไป แต่พระองค์ได้สอนด้วยการกระทำ “ผู้ใดที่ปรารถนาจะเป็นใหญ่จะต้องทำเป็นเป็นผู้รับใช้ผู้อื่น และผู้ใดที่ปรารถนาจะเป็นที่หนึ่งในหมู่พวกท่าน ก็จะต้องทำตนเป็นผู้รับใช้ทุกคน” (มก 10:43-44) คำสอนของพระองค์ที่กล่าวถึงข้างต้นปรากฏเป็นจริงในวันนี้ ในการล้างเท้าบรรดาศิษย์

“การล้างเท้า” ในสมัยของพระเยซูเจ้าถือ เป็นงานของทาสหรือของคนรับใช้ที่ต่ำต้อยที่สุดในบ้าน การที่พระเยซูเจ้าทรงก้มลงล้างเท้าให้กับบรรดาศิษย์ จึงถือเป็นการถ่อมตนเองลงอย่างที่สุด โรมาโน กวาร์ดีนิ (Romano Guardini) นักเทววิทยาชาวอิตาเลียนกล่าวว่า “การที่ผู้น้อยก้มลงต่อหน้าผู้ใหญ่ มิใช่ลักษณะของความสุภาพ ถือเป็นสิ่งที่พึงกระทำ แต่การที่ผู้ยิ่งใหญ่ก้มลงต่อหน้าคนต่ำต้อยที่สุด นี่คือความสุภาพแท้”

พระเยซูเจ้าทรงมอบแบบอย่างแก่เรา พระองค์ทรงรับใช้เยี่ยงทาสต่อบรรดาศิษย์ เพื่อชี้ให้เห็นว่านี่เป็นหนทางที่แท้จริงแห่งการรับใช้ซึ่งกันและกัน ดังนั้น ความรักและการรับใช้จึงเป็นธรรมชาติของผู้ที่เป็นศิษย์ของพระองค์ ขอให้เราได้เลียนแบบอย่างของพระองค์ ในความรักและการรับใช้ซึ่งกันและกันในชีวิตประจำวันของเรา

เหนือสิ่งอื่นใด หากเราปรารถนาที่จะมีส่วนในศีลมหาสนิท เครื่องหมายที่แสดงถึงความรักขององค์พระเจ้า ลูกแกะที่ถูกถวายเป็นบูชา เราต้องยอมมอบตัวเราในความรักและการรับใช้ซึ่งกันและกัน ศีลมหาสนิทได้ทำให้เราได้ชิดสนิทในความรักขององค์พระเจ้า เหมือนกับที่เราได้สนิทสัมพันธ์กับเพื่อนพี่น้องของเรา ขอให้ความรักขององค์พระคริสตเจ้าที่แสดงออกในศีลมหาสนิท ได้เติมเต็มชีวิตของเราให้พร้อมที่จะรักและรับใช้ซึ่งกันและกัน

คุณพ่อขวัญ ถิ่นวัลย์
danielkhuan@hotmail.com
สำนักมิสซังฯ สกลนคร
20 เมษายน 2011

วันอังคารที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2554

ยูดาสขายพระเยซูเจ้า

วันพุธ
สัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์
อสย 50:4-9
มธ 26:14-25
 ยูดาสขายพระเยซูเจ้า

พิธีกรรมวันนี้ถือเป็นวันสุดท้ายของมหาพรต ก่อนจะเข้าสู่สามวันก่อนปัสกา (Easter Triduum) บทอ่านของวันนี้ได้สะท้อนความเป็นผู้รับใช้ที่กำลังทนทุกข์ (The Suffering Servant) ของพระเยซูเจ้า ตามที่ประกาศกอิสยาห์กล่าวถึงในบทอ่านแรก พระเยซูเจ้ากำลังก้าวเดินสู่เป้าหมายของพระองค์ในโลกอย่างแน่วแน่ แม้จะรู้ว่าต้องเผชิญกับความอัปยศ การถูกปฏิเสธ และความตาย

ในพระวรสารวันนี้ นักบุญมัทธิวได้แสดงให้เห็นถึงความพยายามของยูดาสในการขายพระเยซูเจ้าให้กับบรรดาหัวหน้าสมณะ ยูดาสได้ละเป้าหมายของเขาจากการติดตามพระเยซูเจ้าไปหาบรรดาหัวหน้าสมณะ มีเพียงนักบุญมัทธิวที่กล่าวถึงเงินจำนวน 30 เหรียญที่ยูดาสขายพระเยซูเจ้า ซึ่งเป็นจำนวนเงินที่น้อยกว่าขวดน้ำหอมนารดาที่มารีย์ใช้ชโลมพระบาทที่เบธานี (ซึ่งยูดาสคิดว่าน่าจะขายได้เงินสูงถึง 300 เหรียญ)

พระเยซูเจ้าทรงทราบล่วงหน้าว่าพระองค์จะต้องถูกทรมานและสิ้นพระชนม์ แต่ถึงกระนั้น พระองค์ยังจัดให้มีงานเลี้ยงปัสการ่วมกับบรรดาสาวก รวมถึงคนที่กำลังจะทรยศและละทิ้งพระองค์ เพื่อแสดงให้พวกเขาเห็นถึงความรักและการให้อภัยของพระองค์ ในระหว่างงานเลี้ยงพระองค์ได้เปิดเผยให้ทราบว่า “คนหนึ่งในพวกท่านจะทรยศต่อเรา” ทุกคนต่างชี้นิ้วมาที่ตัวเองและถามพระองค์ว่า “เป็นข้าพเจ้าหรือ” นั่นแสดงว่าแต่ละคนต่างตระหนักว่าเขาอาจเป็นคนที่ทรยศพระองค์ได้ทุกเมื่อ รวมถึงยูดาสที่ถามพระองค์ว่า “เป็นข้าพเจ้าหรือ พระอาจารย์”

ยูดาสได้ฟังคำตอบอย่างชัดเจนจากปากของพระเยซูเจ้าว่า “ใช่แล้ว” แต่คำยืนยันของพระเยซูเจ้าไม่มีผลในการเปลี่ยนแปลงจิตใจของเขา ปีศาจและอำนาจเงินมีอิทธิพลต่อจิตใจเขาเกินกว่าที่จะกลับใจและแก้ไขได้ ไม่ใช่ใครอื่นที่ทรยศต่อพระเยซูเจ้าแต่เป็นหนึ่งในบรรดาสาวกสิบสองคนของพระองค์ ซึ่งกินขนมปังจากถ้วยเดียวกันกับพระองค์ และในความเป็นจริง เมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่เลวร้าย พวกเขาทั้งหมดได้ละทิ้งพระองค์

ให้เราเตรียมเข้าสู่สามวันแห่งปัสกาที่กำลังจะมาถึงด้วยความระมัดระวัง มิใช่อย่างคนดูเหตุการณ์แต่เป็นผู้ร่วมส่วนในเหตุการณ์ บ่อยครั้งเป็นเราเองแหละที่ทรยศพระเยซูเจ้า เราได้รับปังจากพระเยซูเจ้าและยอมขายพระองค์เพื่อเงิน ด้วยความทะเยอทะยาน ความละโมบ ความโกรธ ความเกลียดชัง การแก้แค้น หรือความรุนแรง เพื่อสนองตอบความต้องการบางอย่างของเรา

พระเยซูเจ้าได้ยื่นขนมปังให้ยูดาสและเตือนสติยูดาส แต่ยูดาสไม่รับ เขาได้ละเป้าหมายจากพระองค์ไปหาคนอื่น สิ่งอื่น ชีวิตของเขาจึงพบกับความพินาศ ในความเป็นจริง พระเยซูเจ้าทรงรักเรา ให้อภัย และให้โอกาสเรากลับใจมาหาพระองค์ เราจะเลือกเป็นอย่างยูดาสหรือเปโตร ที่เมื่อรู้ว่าตนเองผิดพลาดแล้วหันกลับมาหาพระองค์ ร้องไห้เสียใจด้วยความขมขื่น

คุณพ่อขวัญ ถิ่นวัลย์
danielkhuan@hotmail.com
สำนักมิสซังฯ สกลนคร
19 เมษายน 2011

วันจันทร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2554

การทรยศของยูดาสและเปโตร

วันอังคาร
สัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์
อสย 49:1-6
ยน 13:21-23, 36-38
 การทรยศของยูดาสและเปโตร

พระวรสารวันนี้เป็นช่วงเวลาที่หดหู่และเจ็บปวดที่สุดสำหรับพระเยซูเจ้า เพราะศิษย์ที่อยู่กับพระองค์มาตลอด 3 ปียังไม่เข้าใจถึงคำสอนและแผนการของพระองค์ ซ้ำร้ายพวกเขายังได้ได้ทรยศพระองค์ถึง 2 คน

คนแรกคือ ยูดาส พระเยซูเจ้าประกาศอย่างเปิดเผยว่า “ท่านคนหนึ่งจะทรยศเรา” พวกสาวกต่างแปลกใจ เปโตรได้ทำสัญญาณให้ศิษย์ที่พระองค์ทรงรักถามว่าเป็นใคร และพระเยซูเจ้าตรัสว่า “เป็นผู้ที่เราจะจุ่มขนมปังส่งให้” พระองค์ทรงบิขนมปังส่งให้ยูดาส นี่คือ เครื่องหมายแห่งการแบ่งปันและมิตรภาพ ที่พระเยซูเจ้าทรงกระทำกับผู้ที่กำลังจะทรยศพระองค์

เมื่อยูดาสได้รับชิ้นขนมปังแล้วก็ออกไปทันที “ขณะนั้นเป็นเวลากลางคืน” นี่คือสภาพแห่งบาปหรือการเดินในความมืด เมื่อเขาตัดสินใจหันหลังให้กับองค์แห่งความสว่าง เป็นที่น่าสังเกตว่ายูดาสไม่ได้อยู่ร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำมื้อสุดท้าย จึงไม่ได้ยินพระดำรัสที่ตรัสสั่งบรรดาสาวกว่า “จงทำดังนี้เพื่อระลึกถึงเราเถิด” ซึ่งนักเทววิทยามองว่านี่คือช่วงเวลาที่พระเยซูเจ้าทรงบวชบรรดาอัครสาวกให้เป็นพระสงฆ์

ศิษย์อีกคนหนึ่งคือ เปโตร ที่ได้สาบานยืนยันกับพระเยซูเจ้าอย่างหนักแน่นว่า “ข้าพเจ้าจะสละชีวิตเพื่อพระองค์” แต่หลังจากนั้นได้ปฏิเสธอาจารย์ถึง 3 ครั้ง นี่คือ การทรยศครั้งที่สองจากศิษย์ที่พระเยซูเจ้าทรงตั้งให้เป็นหัวหน้าอัครสาวก ซึ่งหนักหนาสาหัสยิ่งกว่าการทรยศของยูดาสด้วยซ้ำ เนื่องจากยูดาสมิได้ให้คำมั่นสัญญาเหมือนอย่างเปโตร

จะว่าไปแล้ว เปโตรและยูดาส ไม่แตกต่างกันเลย อยู่กับพระเยซูเจ้า 3 ปีเท่ากัน ได้รับการอบรมมาอย่างเดียวกัน ทั้งสองเป็นอัครสาวกและถูกพระเยซูเจ้าเรียก “ซาตาน” มาแล้วเช่นกัน พระเยซูเจ้าเรียกเปโตรว่า “ปีศาจ…ไปให้พ้น” เมื่อเปโตรขัดขวางและชักชวนให้พระองค์ละทิ้งทางแห่งการเขน พระเยซูเจ้าเรียกยูดาสว่า “บุตรของปีศาจ…ไม่เกิดมาจะดีกว่า” เมื่อพระองค์พูดถึงศิษย์คนหนึ่งที่จะทรยศต่อพระองค์

ความจริงพระเยซูเจ้าเตือนและบอกให้ทราบก่อนแล้วว่า เขาทั้งสองจะหกล้ม จะพลาดพลั้ง เปโตรไม่สนคำเตือนของพระองค์ ส่วนยูดาส ท้าทาย คิดว่าตัวเองเก่ง เมื่อพระเยซูเจ้าหันมามองเปโตร เปโตรรู้สึก สำนึกได้ ออกไปร้องไห้ข้างนอก ส่วนยูดาส เวลาที่พระเยซูเจ้าเรียกและเตือนว่า “สหาย… จูบเราทำไม” ยูดาสท้าทาย ไม่แยแส ไม่สะทกสะท้าน

ในวาระสุดท้าย เวลาที่ทั้งสองสำนึกแล้ว ยูดาส พึมพำกับตัวเองว่า “โอ.. ฉันช่างโง่เสียจริง ที่ขายพระองค์” ส่วนเปโตร พึมพำกับพระเยซูเจ้าว่า “โอ.. ฉันช่างบาปมากจริงๆ เป็นคนบาป” ยูดาส หยิ่งในตัวเอง วิ่งหาตัวเอง ส่วนเปโตร สุภาพ รู้ว่าพลาดแล้ว กลับใจ เปลี่ยนแปลงตนเอง วิ่งหาพระ นี่แหละคนหนึ่งจึงรอด แต่อีกคนหนึ่งพินาศ

เราเองได้ทรยศพระเยซูเจ้าและคนอื่นเช่นเดียวกัน เราได้รับปังจากพระเยซูเจ้าในศีลมหาสนิท แต่เรากลับหันหลังให้พระองค์ เราได้ให้คำมั่นสัญญาเวลารับศีลอภัยบาปว่า “จะไม่ทำบาปอีก” แต่เราได้กระทำบาปเดิมนั้นครั้งแล้วครั้งเล่า กระนั้นก็ดี พระเยซูเจ้าทรงรักเรา คอยติดตาม ตักเตือน ไม่เคยทอดทิ้งเรา พระองค์พยามทุกวิถีทางเพื่อช่วยเราเสมอ ดังนั้น ให้เราได้ภาวนา เพื่อเราจะได้เป็นเหมือนเปโตรที่ร้องไห้เสียใจอย่างขมขื่น และกลับใจมาหาพระองค์

คุณพ่อขวัญ ถิ่นวัลย์
danielkhuan@hotmail.com
วัดพระคริสตประจักษ์ นาบัว
18 เมษายน 2011

สารวัดนาบัว, ปีที่ 1 ฉบับที่ 49

สารวัดพระคริสตประจักษ์ นาบัว
ปีที่ 1 ฉบับที่ 49 วันที่ 17 เมษายน ค.ศ. 2011 (พ.ศ. 2554): http.//dondaniele.blogspot.com
บ้านนาบัว หมู่ที่ 2 ตำบลหนองแวงใต้ อำเภอวานรนิวาส จังหวัดสกลนคร 47120. 086-231-3231
 อาทิตย์มหาทรมาน

วันนี้พระศาสนจักรฉลองอาทิตย์ใบลานและมหาทรมานของพระเยซูเจ้า พิธีกรรมในวันนี้ระลึกถึงการเสด็จเข้ากรุงเยรูซาเล็มอย่างผู้มีชัยของพระเยซูเจ้า เพื่อรับทนทรมาน สิ้นพระชนม์ และกลับคืนชีพ (ธรรมล้ำลึกปัสกา) ภาพพระเยซูเจ้าประทับบนหลังลา มีประชาชนโห่ร้องต้อนรับด้วยความยินดี คือการต้อนรับกษัตริย์และพระแมสิยาห์ที่พวกเขารอคอยมาเป็นเวลาช้านาน ก่อนจะจบลงด้วยพระมหาทรมานและการสิ้นพระชนม์บนกางเขน

พิธีกรรมวันนี้ได้สะท้อนเหตุการณ์ที่ขัดแย้งกัน คือความชื่นชมยินดีและความโศกเศร้า ถือเป็นวันเริ่มต้นสัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์ ขอให้เราได้เริ่มต้นด้วยการต้อนรับพระเยซูเจ้าเข้ามาในชีวิตของเรา และร่วมส่วนในพระทรมาน การสิ้นพระชนม์และการกลับคืนชีพของพระเยซูเจ้า เราแต่ละคนล้วนเป็นคนบาป ให้เราวอนขอพระเยซูเจ้าอภัยบาปและรักษาบาดแผลแห่งบาปของเรา เพื่อเราจะได้เริ่มต้นสัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์และเริ่มพิธีบูชาขอบพระคุณในวันนี้อย่างดีและอย่างศักดิ์สิทธิ์
บรรยากาศการเตรียมใบลานและการแห่จากซุ้มประตูใหญ่

บทอ่านที่ 1: หนังสือประกาศกอิสยาห์50:4-7

บทอ่านแรกในวันนี้เป็นบทเพลงแห่งผู้รับใช้บทที่สาม เราไม่ทราบเจตนาที่แท้จริงของผู้เขียน แต่บรรดาคริสตชนได้ประยุกต์บทเพลงแห่งผู้รับใช้กับพระเยซูเจ้าตั้งแต่เริ่มแรก ผู้รับใช้ที่กำลังทนทุกข์คือรูปหมายถึงพระเยซูเจ้า ที่ต้องทนทุกข์จากการปฏิบัติตามพันธกิจที่ได้รับมอบหมาย แต่เขายังคงมั่นคงในความเชื่อในพระเจ้าว่า พระองค์จะไม่ทรงทอดทิ้ง

บทอ่านที่ 2: จดหมายนักบุญเปาโลถึงชาวฟิลิปปี 2:6-11

นักบุญเปาโลได้เตือนเราถึงวิธีดำเนินชีวิตคริสตชน โดยเฉพาะในสัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์ พระเยซูเจ้าทรงถ่อมพระองค์ลง โดยยอมรับความตายบนไม้กางเขน พระบิดาเจ้าจึงทรงยกพระองค์ขึ้น และทรงทำให้พระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแห่งแผ่นดินและสวรรค์ เพื่อช่วยเราแต่ละคนให้รอด

พระวรสาร: นักบุญมัทธิว 27:11-54

นักบุญมัทธิวได้แสดงให้เห็นว่า พระมหาทรมานของพระเยซูเจ้าเป็นการทำให้คำทำนายของบรรดาประกาศกในพันธสัญญาเดิมสำเร็จไป พระเยซูเจ้าทรงเป็นผู้เลี้ยงแกะที่ดีที่สละชีวิตเพื่อฝูงแกะของพระองค์ พระองค์ทรงสิ้นพระชนม์เพราะบาปของเรา ทำให้เราได้รับความรอดผ่านทางพระทรมานและการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ การสิ้นพระชนม์ของพระองค์ไม่ใช่ความพ่ายแพ้ แต่เป็นชัยชนะ
ชาวนาบัวร่วมแห่ใบลานจากซุ้มประตูใหญ่มายังวัด วันอาทิตย์ที่ 17 เมษายน
ข่าวสารและประชาสัมพันธ์

1) ขอบคุณกลุ่มคริสตชนพื้นฐานกลุ่มที่ 4 ที่มาช่วยกันทำความสะอาดวัด กลุ่มที่รับผิดชอบอาทิตย์ต่อไปคือกลุ่มที่ 5 พลมารี ครูคำสอน และเยาวชน

2) วันอังคาร พุธ และพฤหัสที่จะถึงคุณพ่อไปเข้าเงียบ รื้อฟื้นคำสัญญาแห่งศีลบวชและเสกน้ำมันศักดิ์สิทธิ์ ขอคำภาวนาจากพี่น้องเพื่อการเข้าเงียบของบรรดาพระสงฆ์ด้วยด้วย

3) ขอเชิญร่วมเสกน้ำมันศักดิ์สิทธิ์และรื้อฟื้นคำสัญญาแห่งศีลบวช วันพฤหัสศักดิ์สิทธิ์ ที่ท่าแร่ มิสซาเวลา 07.00 น. และเวลา 19.00 น. มีพิธีล้างเท้าอัครสาวกและตั้งศีลมหาสนิทที่วัดของเรา หลังมิสซามีการเฝ้าศีลตามกลุ่มต่างๆ ตารางเวลาการเฝ้าศีลของแต่ละกลุ่มดูได้ในสารวัด (ด้านหลัง)
บรรยากาศการสงน้ำพระ (คริสตประจักษ์) และผู้อาวุโสที่นาบัว

4) วันศุกร์ที่ 22 เมษายน เป็นวันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์ (วันพระตาย) อดเนื้อ-อดอาหาร ขอเชิญร่วมเดินรูปสิบสี่ภาค (รอบวัด) และนมัสการกางเขนเพื่อร่วมส่วนในมหาทรมานและการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูเจ้า เวลา 15.00 น.

5) วันเสาร์ที่ 23 เมษายน เป็นวันเสาร์ศักดิ์สิทธิ์ ขอเชิญร่วมพิธีแสงสว่าง เสกน้ำ-เสกไฟ, พิธีตื่นเฝ้า ด้วยการฟังพระวาจาของพระเจ้าจากบทอ่านต่างๆ และพิธีสมโภชปัสกา เวลา 19.00 น. เป็นต้นไป
โอกาสวันปีใหม่ไทยและวันผู้สูงอายุ วันที่ 12 เมษายน

6) วันอาทิตย์ที่ 24 เมษายน เป็นวันสมโภชปัสกา วันฉลองที่สำคัญที่สุดในรอบปีของพระศาสนจักร ขอเชิญร่วมพิธีมิสซาสมโภชปัสกา เวลา 07.00 น. ตอนบ่าย ขอเชิญร่วมการแข่งขันกีฬาเชื่อมความสามัคคีระหว่างสองหมู่บ้าน

7) เงินทานวันเสาร์ 516.- บาท, อาทิตย์ที่ 10 เมษายน 21,248.- บาท, เงินต้นมิสซาปลงศพ ยอแซฟประเสริฐ นาแว่น (14 เมษายน) 2,080.- บาท; ค่าบำรุงโลงเย็น งานศพยอแซฟประเสริฐ นาแว่น 500.- บาท, ค่าเช่าถ้วยชาม 350.- บาท; เงินทานวัดโพนสวาง 644.- บาท, เงินทานมิสซาครบ 100 วันโทมันสังกาและคัทรินคำภู วงศ์บัว (14 เมษายน) 2,700.- บาท
พิธีปลงศพ ยอแซฟประเสริญ นาแว่น โดยคุณพ่อสุรพงศ์ นาแว่น วันที่ 14 เมษายน

วันอาทิตย์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2554

การชโลมพระบาทที่เบธานี

วันจันทร์
สัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์
อสย 42:1-7
ยน 12:1-11

 การชโลมพระบาทที่เบธานี

ไม่กี่วันก่อนรับทนทรมาน พระเยซูเจ้าได้เสด็จไปที่หมู่บ้านเบธานีอีกครั้ง (พระองค์มักจะเสด็จไปเป็นประจำ) เพื่อร่วมงานเลี้ยงต้อนรับลาซารัสที่พระองค์ทรงปลุกให้ฟื้นคืนชีพจากความตาย พร้อมกับมาร์ธา มารีย์ และบรรดาอัครสาวก มาร์ธากุลีกุจอในการต้อนรับพระองค์เหมือนที่เคยปฏิบัติ ขณะที่ลาซารัสนั่งร่วมโต๊ะกับพระองค์ ส่วนมารีย์นั่งอยู่แทบพระบาท นำน้ำหอมชั้นดีราคาแพงมาชโลมพระบาท แล้วเช็ดด้วยมวยผม

เราได้เห็นว่าแต่ละคนต่างทำหน้าที่ของตน มาร์ธาคอยต้อนรับและบริการอาหาร ลาซารัสนั่งร่วมโต๊ะกับพระองค์โดยไม่พูดอะไร อีกครั้งหนึ่งที่มารีย์นั่งอยู่แทบพระบาท ชโลมด้วยน้ำหอมราคาดี แต่ละคนต่างทำในสิ่งที่ตนเองชอบและมีความสุข เราแต่ละคนต่างได้รับพรพิเศษแตกต่างกัน สิ่งที่เรา “มี” เรา “เป็น” ล้วนเป็นของประทานมิใช่แต่เฉพาะสำหรับตัวเราเท่านั้น แต่จะต้องเป็นของประทานสำหรับหมู่คณะและผู้อื่น เป็นต้นคนที่กำลังเดือดร้อนและต้องการความช่วยเหลือ

เราได้ใช้พระคุณพระพรที่พระเจ้าประทานให้นี้ดีเพียงใด พระเจ้าไม่ได้เรียกร้องอะไรที่เกินความสามารถของเรา ขอเพียงให้เราได้ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด เราไม่ควรอิจฉาคนอื่นเพราะสิ่งที่เขากระทำดีกว่าเรา เหมือนอย่างยูดาสที่บ่นว่ามารีย์และตีค่าสิ่งที่เธอกระทำเป็นตัวเงิน สิ่งที่เขาแสดงออกมิใช่เพราะความเมตตาสงสารคนจน แต่เพราะความละโมบและความไม่ซื่อสัตย์ของเขา

นักพระคัมภีร์มองว่า มารีย์แห่งเบธานีเป็นคนเดียวกับมารีย์ชาวมักดาลา หรือหญิงที่ถูกจับได้ขณะล่วงประเวณีที่พระเยซูเจ้าทรงช่วยให้พ้นจากการถูกทุ่มหินให้ตาย ในพระวรสารวันนี้ได้แสดงให้เห็นว่า มารีย์ไม่สนใจความคิดเห็นของคนอื่นที่มีต่อเธอ สิ่งที่เธอกำลังกระทำแสดงให้เห็นถึงความรักและการสำนึกผิด เธอได้แสดงความรักต่อพระเยซูเจ้าด้วยความจริงใจและยืนยันว่าเธอได้หันหลังให้บาป การมีส่วนร่วมที่สำคัญในสัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์ คือการแสดงความรักที่แท้จริงต่อพระเจ้า ด้วยการสำนึกผิดเปลี่ยนแปลงตนเองจากบาปที่เคยกระทำ และหันกลับมาหาพระเจ้าผ่านทางศีลอภัยบาป

คุณพ่อขวัญ ถิ่นวัลย์
danielkhuan@hotmail.com
วัดพระคริสตประจักษ์ นาบัว
17 เมษายน 2011