วันจันทร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2561

ตามรอยพระบาทพระเยซูเจ้า9



ภูเขามหาบุญลาภ
ภูเขามหาบุญลาภ (Mount of Beatitudes) เป็นสถานที่ที่เชื่อกันว่าพระเยซูเจ้าทรงเทศน์สอนครั้งสำคัญที่เรียกว่า “บทเทศน์บนภูเขา” เกี่ยวกับมหาบุญลาภและหลักการเจริญชีวิตที่ศักดิ์สิทธิ์ คำสอนเรื่องมหาบุญลาภหรือความสุขแท้จริง (มธ 5:1-11) เป็นคำสอนแรกที่ทรงสอนในบทเทศน์บนภูเขา ตามพระวรสารของนักบุญมัทธิวที่แบ่งพระโอวาทของพระองค์ออกเป็น 5 หมวด เพื่อแสดงให้เห็นว่าพระเยซูเจ้าเป็นโมเสสคนใหม่ โตราห์ห้าเล่ม พระโอวาทห้าบท
พระเยซูเจ้าเสด็จขึ้นภูเขาซึ่งเป็นที่มาของธรรมบัญญัติ เปรียบเหมือนโมเสส พระองค์ประทับนั่งนั่นคืออำนาจ และบรรดาศิษย์เข้ามาห้อมล้อมพระองค์ ทรงเผยพระโอษฐ์ตรัสสอนความสุขแท้ 8 ประการ ซึ่งมีรากฐานอยู่บนความเชื่อ ความรัก และความหวัง “ความสุขแท้แก่ผู้มีใจยากจน” คือความเชื่อ, “ความสุขแท้แก่ผู้เป็นทุกข์โศกเศร้า” คือความรัก  และ “ความสุขแท้แก่ผู้มีใจอ่อนโยน” คือความหวัง ซึ่งเป็นรากฐานที่สำคัญของพระศาสนจักรแต่มองไม่เห็น และปูพื้นด้วยความหิวกระหายความชอบธรรมซึ่งเป็นเหมือนพื้นของพระศาสนจักร ก่อนจะปรากฎออกมาเป็นความเมตตา มีใจบริสุทธิ์ และเป็นผู้สร้างสันติซึ่งตรงกับฐานแรก และมุงหลังคาด้วยความยุติธรรม
ปี 1935 ได้มีการค้นพบวัดเดิมที่สร้างในสมัยไบเซนทีน ปี 1937 คณะฟรังซิสกันได้สร้างวัดบนภูเขานี้เรียกว่า “วัดมหาบุญลาภ” (The Church of the Beatitudes) โดยการออกแบบของอันโตนีโอ บาร์ลุซซี มีลักษณะเป็นแบบสมัยใหม่ รูปทรงแปดเหลี่ยมเพื่อหมายถึงบุญลาภแปดประการ มีคำจารึกบุญลาภที่พระเยซูเจ้าทรงสอนในแต่ละด้าน และรูปโมเซอิกบนพื้นประดับด้วยสัญลักษณ์แห่งคุณธรรมที่ทรงเทศน์สอน พวกเราได้มีโอกาสถวายพิธีบูชาขอบพระคุณที่พระแท่นนอกวัดซึ่งทำไว้หลายจุด




Tabgha สถานที่ทวีขนมปัง
Tabgha เป็นชื่อที่มาจากคำภาษากรีก Heptapegon ซึ่งแปลว่า “เจ็ดน้ำพุ” ในอดีตเป็นจุดที่พบเจ็ดน้ำพุที่ไหลลงสู่ทะเลสาบกาลิลี และเชื่อกันว่าพระเยซูเจ้าทรงเลี้ยงฝงูชน 5,000 คนที่มาฟังพระองค์ จากขนมปัง 5 ก้อนกับปลา 2 ตัว (มก 6:3644, มธ 14:13-21, ยน 6:1-6) สถานที่นี้ได้มีการสร้างวัด 2 หลัง ในสมัยไบเซนทีนศตวรรษที่ 4 และ 5
ปี 1932 มีการค้นพบซากของวัดสมัยไบเซนทีนหลังหนึ่ง มีรูปโมเซอิกบนหินก้อนหนึ่งที่ใช้เป็นพระแท่น เป็นรูปตะกร้าขนมปังและปลา 2 ตัวอยู่ข้างๆ รวมถึงพื้นโมเซอิกสวยงามเป็นรูปนก ปลา สัตว์ และดอกไม้ของสมัยนั้น ปี 1982 มีการสร้างวัดใหม่แบบไบเซนทีนโดยคณะเบเนดิกตินจากประเทศเยอรมัน บริเวณหน้าวัดมีหินโม่ขนาดใหญ่ที่ใช้โม่แป้งและผลมะกอกในสมัยนั้น




คาเปอรนาอุม
คาเปอรนาอุม (Capernaum) เป็นเมืองด่านตามเส้นทางไปดามัสกัสและเป็นที่อาศัยของเจ้าหน้าที่โรมัน เป็นเมืองธุรกิจที่พวกพ่อค้านำผ้าไหม เครื่องเทศจากดามัสกัสมาแลกเปลี่ยนกับปลาแห้งและผลไม้จากที่ราบเยเนซาเร็ธ ในสมัยพระเยซูเจ้าคาเปอรนาอุมเป็นเมืองของชาวยิวที่ร่ำรวย เป็นที่ที่พระองค์ทรงพบและเรียกบรรดาศิษย์ ได้แก่ เปโตร อันดรูว์ ยากอบ ยอห์น และมัธทิว ซึ่งเป็นชาวประมงและคนเก็บภาษี (มธ 4:18-20, ลก 5:1-11)
เนื่องจากชาวนาซาเร็ธไม่ยอมรับพระเยซูเจ้า พระองค์ได้มาอาศัยอยู่ในคาเปอรนาอุม ทรงปฏิบัติภารกิจสั่งสอนประชาชนและกระทำการอัศจรรย์มากมาย อาทิ ทรงสั่งสอนในศาลาธรรม (มก 1:21, ลก 4:31-33) ทรงขับไล่ผีสิงออกจากชายคนหนึ่ง ทรงรักษาแม่ยายของเปโตร (มธ 8:14-17, มก 1:21-34, ลก 4:31-41) พระองค์ทรงรักษาผู้รับใช้ของนายร้อย (มธ 8:5-13, ลก 7:1-10) และคนง่อยที่ถูกหย่อนลงจากหลังคาบ้าน (มธ 9:1-8, 2:1-12, 5:17-20) พระองค์ทรงปลุกลูกสาวของไยรัสให้ฟื้นคืนชีพ (มธ 9:18-26, มก 5:22-43, ลก 8:41-56) ทรงรักษาหญิงที่เป็นโรคตกเลือด (มธ 9:20-22, มก 5:25-35, ลก 8:43-48) ทรงรักษาคนตาบอดสองคน (มธ 9:27-35) เป็นต้น
ปี 1905 นักโบราณคดี 2 คนจากเยอรมันได้เริ่มสำรวจสถานที่และคณะฟรังซิสกันได้สานต่องานของเขาจนสำเร็จปี 1926 การค้นพบที่สำคัญคือศาลาธรรมแห่งคาเปอรนาอุมที่สร้างขั้นในศตวรรษที่ 3 บนซากของศาลาธรรมที่สร้างโดยนายร้อยที่พระเยซูเจ้าทรงรักษาผู้รับใช้ของเขาให้หาย (มธ 8:5-13, ลก 7:1-10) บนก้อนหินมีสัญลักษณ์สลักไว้ทั้งของยิวและของโรมัน ไม่ไกลจากซากศาลาธรรม คณะฟรังซิสกันได้สร้างวัดสมัยใหม่รูปทรงแบบปลาบนสถานที่ที่ถือว่าเป็นบ้านของเปโตร ที่ยังคงรักษาสภาพเดิมที่ค้นพบสามารถมองเห็นได้จากข้างบนวัด และมีรูปปั้นของนักบุญเปโตรขนาดใหญ่ตั้งอยู่โดยมีทะเลสาบกาลิลีเป็นฉากหลัง





ทะเลสาบกาลิลี
ทะเลสาบกาลิลี (The Sea of Galilee) ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศอิสราเอล มีความยาว 21 กิโลเมตร กว้าง 13 กิโลเมตร ลึก 43 เมตร ถือเป็นแหล่งน้ำจืดที่หล่อเลี้ยงประเทศอิสราเอลทั้งหมด ทะเลสาบนี้มีชื่อเรียกขานหลายชื่อ เช่น ทะเลสาบกาลิลี ทะเลสาบทิเบเรียส ทะเลสาบเยเนซาเร็ธ (kinneret) ซึ่งมาจากคำภาษาฮีบรูที่แปลว่า “พิณ” เนื่องจากรูปทรงของทะเลสาบมีลักษณะคล้ายพิณของกษัตริย์ดาวิด ทะเลสาบนี้มีปลามากมายหลายชนิด มีน้ำที่ใสสะอาดและการบริหารจัดการน้ำที่ยอดเยี่ยม
ทะเลสาบกาลิลีเป็นที่รับรู้กันว่าเป็น “ทะเลของพระเยซูเจ้า” เนื่องจากพระองค์ทรงบังคับลมและทะเล (มธ 8:23-27)  สามารถเดินบนผิวน้ำทะเล (มธ 14:22-23)  และสามารถทำให้บรรดาศิษย์จับปลาได้เป็นจำนวนมาก (ยน 21:4-14) แสดงถึงความยิ่งใหญ่เหนือทะเลแห่งนี้ อีกทั้งทรงใช้ชีวิตอย่างเปิดเผยตามเมืองต่างๆ ที่ตั้งอยู่รอบทะเลสาบ ทรงเทศน์สอนและทำอัศจรรย์มากมายริมทะเลสาบแห่งนี้ (มธ 8:1-4, 15:29-31))
ทะเลสาบกาลิลีได้กลายเป็นดังอู่ข้าวอู่น้ำของผู้คนตั้งแต่อดีต เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่มีความอุดมสมบูรณ์มาก มีผู้คนเป็นจำนวนมากมาตั้งหลักแหล่งรอบทะเลสาบ ทำให้แคว้นกาลิลีกลายเป็นศูนย์กลางของเส้นทางคมนาคมและการค้า อีกทั้งมีทัศนียภาพที่สวยงาม จึงไม่แปลกที่พระเยซูเจ้าทรงกระทำพันธกิจอย่างเปิดเผยที่แคว้นกาลิลีเป็นหลัก ทรงเรียกเปโตร อันดรูว์ ยากอบและอัครสาวกอื่นๆ ริมทะเลสาบนี้ (มธ 4:18-20, ลก 5:1-11) ซึ่งพวกเราได้สัมผัสบรรยากาศแบบนั้นด้วยการล่องเรือในทะเลสาบนี้ด้วย




คุณพ่อขวัญ ถิ่นวัลย์
The Million Stone Hotel, Sultanamet, Istalbul, TURKEY
29 เมษายน 2018

ข้อพิสูจน์แห่งรัก


ข้อพิสูจน์แห่งรัก
วันจันทร์
สัปดาห์ที่ 5 เทศกาลปัสกา
กจ 14:5-18
ยน 14:21-26
พระวรสารวันนี้ ยังคงไตร่ตรองคำอำลาของพระเยซูเจ้าที่ตรัสกับบรรดาอัครสาวกหลังการเลี้ยงอาหารค่ำมื้อสุดท้าย ซึ่งมีเพียงนักบุญยอห์นเท่านั้นที่บันทึกเอาไว้ พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาอัครสาวกว่าพวกเขาสามารถแบ่งปันชีวิตของพระองค์ แม้ว่าพระองค์จะจากโลกนี้ไปแล้ว พระองค์ทรงสัญญาจะประทานพระจิตเจ้า ที่จะอยู่กับพวกเขาเพื่อเสริมกำลังและทำให้พวกเขาเข้าใจ คำสั่งสอนทุกอย่างที่พระองค์เคยตรัสกับพวกเขา
พระเยซูเจ้าตรัสชัดเจนถึงเงื่อนไขของการแบ่งปันชีวิตกับพระองค์และกับพระบิดาเจ้า ใครถือปฏิบัติตามบทบัญญัติที่พระองค์ประทานให้ คนนั้นรักพระองค์ เมื่อใดที่เราพิสูจน์ความรักที่มีด้วยการปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระองค์ คนนั้นเป็นที่รักของพระบิดาเจ้า และพระเยซูเจ้าจะทรงรักเราและแสดงตนแก่เรา (ยน 14:21) ความรักแท้มิใช่อารมณ์ความรู้สึก แต่เป็นความนอบน้อมเชื่อฟัง (Obedience)
ความนอบน้อมเชื่อฟังเป็นข้อพิสูจน์ความรัก หากเรารักใครสักคนเรายินดีทำตามความต้องการ แผนการ และความประสงค์ของเขาอย่างเต็มที่ ดังนั้น ในความสัมพันธ์ที่เรามีกับพระเยซูเจ้า เราต้องเป็นศิษย์ที่ซื่อสัตย์ภักดีต่อพระองค์ “ผู้ใดรักเรา ผู้นั้นจะปฏิบัติตามวาจาของเรา พระบิดาของเราจะทรงรักเขา พระบิดาจะเสด็จพร้อมกับเรามาหาเขา จะทรงพำนักอยู่กับเขา” (ยน 14:23) เราถือปฏิบัติตามบทบัญญัติเพราะกลัวคำวิพากวิจารณ์ไหมหรือแค่ทำตามคนอื่น
เรารู้สึกลำบากไหมในการอธิษฐานภาวนาและปฏิบัติตามบทบัญญัติ หากเรารู้สึกมืดมนไม่พบองค์พระเจ้าเมื่อเราอธิษฐานภาวนา เป็นไปได้ว่าเราไม่ได้ปฏิบัติตามพระวาจาและพระประสงค์ของพระองค์ ศิษย์พระคริสต์ต้องดำเนินชีวิตตามบทบัญญัติแห่งความรักที่ทรงประทานให้แก่เรา ดำรงตนในความรักของพระเจ้าในการรักซึ่งกันและกัน การช่วยเหลือแบ่งปัน การรับใช้ และให้อภัยความผิดของกันและกัน
 คุณพ่อขวัญ ถิ่นวัลย์
khuanthinwan@gmail.com
The Million Stone Hotel, Sultanamet, Istalbul, TURKEY
29 เมษายน 2018
ภาพ: ศิษย์พระคริสต์, แสงธรรมรุ่น 15, St. Antonio Church, Istalbul, TURAKEY; 2018-04-28

วันเสาร์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2561

ปราศจากพระเจ้าเราทำอะไรไม่ได้


ปราศจากพระเจ้าเราทำอะไรไม่ได้
วันอาทิตย์
สัปดาห์ที่ 5 เทศกาลปัสกา
ปี B
กจ 9: 26-31
1 ยน 3: 18-24
ยน 15: 1-8
บทนำ
หลายปีมาแล้วสำนักข่าวต่างประเทศรายงานข่าวชิ้นหนึ่งว่า เกิดเพลิงไหม้อาคารหลังหนึ่งในย่านตะวันออกของเกาะแมนฮัตตัน มลรัฐนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา เสียงสัญญาณเตือนภัยดังขึ้นบอกให้รู้ว่าเกิดไฟไหม้ รถดับเพลิงและนักผจญเพลิงมาถึงที่เกิดเหตุไม่นานหลังเกิดเหตุ ประตูฉุกเฉินหนีไฟเปิดทำงาน ทำให้ผู้คนที่อาศัยในอาคารดังกล่าวสามารถหนีออกจากตัวอาคารอย่างปลอดภัย
แต่ไฟโหมไหม้อย่างรุนแรงเกินกว่าจะควบคุมได้และตัวอาคารกำลังจะพังลงมา สาเหตุที่นักผจญเพลิงไม่สามารถดับไฟได้ ทั้งๆ ที่มาถึงก่อนที่ไฟจะโหมลุกไหม้ เนื่องจากท่อส่งน้ำดับเพลิงที่ต่อมายังย่านนั้นยังไม่ได้เชื่อมต่อกับระบบส่งน้ำของเมืองแมนฮัตตัน มีเพียงท่อเปล่า จึงไม่สามารถดับไฟได้ กว่าจะค้นพบปัญหาและแก้ไขได้ก็สายเกินไป
ชีวิตที่มิได้ติดต่อสัมพันธ์กับองค์พระเจ้าผู้ทรงชีวิต จะประสบชะตากรรมในลักษณะเดียวกัน พระเยซูเจ้าทรงกระทำมากกว่าการเจริญชีวิตท่ามกลางเรา พระองค์ทรงเป็นเถาองุ่นที่ให้ชีวิตและเราแต่ละคนเป็นกิ่งก้าน กิ่งก้านใดที่ไม่ติดอยู่กับลำต้นย่อมเหี่ยวเฉาและมิอาจเกิดผลได้ คำอุปมาเรื่องเถาองุ่นเตือนเราว่าการเป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูเจ้าสามารถทำได้ทุกสิ่ง ปราศจากพระองค์เราไม่สามารถทำอะไรได้เลย
1.        ปราศจากพระเจ้าเราทำอะไรไม่ได้
พระเยซูเจ้าทรงประกาศว่าทรงเป็นเถาองุ่นแท้ และศิษย์ของพระองค์เป็นกิ่งก้านที่ให้ผล โดยทรงอธิบายว่าพระบิดาเจ้าคือเจ้าของสวนผู้ปลูกองุ่น พระองค์ทรงเป็นเถาองุ่น และศิษย์ของพระองค์เป็นกิ่งองุ่น ใครที่ไม่อยู่ในพระองค์เป็นกิ่งก้านที่ไร้ประโยชน์ ต้องถูกตัดทิ้งในกองไฟ พระเยซูเจ้าทรงเป็นเถาองุ่นแท้ที่เราต้องติดอยู่กับเถาองุ่นนี้เพื่อเกิดผล ปราศจากพระองค์เราไม่สามารถทำอะไรได้เลย
ภาพพจน์ของเถาองุ่น ยังช่วยให้เราได้เข้าใจถึงความเป็นหนึ่งเดียวในพระศาสนจักร ที่มีพระคริสตเจ้าทรงเป็นศีรษะ (เทียบ 1 คร 3:9) นักบุญเปาโลได้อธิบายว่าพระศาสนจักรเป็นพระกายทิพย์ของพระคริสตเจ้า ซึ่งอวัยวะทุกส่วนต้องรวมเป็นหนึ่งเดียวกับศีรษะและเป็นหนึ่งเดียวกับส่วนอื่น (1 คร 12:12-26; รม 12:4-5)
นอกนั้น การลิดกิ่งเป็นขั้นตอนหนึ่งที่สำคัญและทำให้กิ่งนั้นเติบโตและเกิดผล การทำสวนองุ่นในปาเลสไตน์ชาวสวนต้องลิดกิ่งให้เสร็จในฤดูใบไม้ร่วงหรือต้นฤดูหนาว เพราะการลิดกิ่งในฤดูใบไม้ผลิหรือฤดูร้อนจะทำให้เถาองุ่นแคระแกนไม่เกิดผล การลิดกิ่งหรือตัดแต่งกิ่งเพื่อให้เถาองุ่นเกิดผลมากในฤดูต่อไป
2.        บทเรียนสำหรับเรา
พระวาจาพระเจ้าวันนี้ได้ให้บทเรียนสำหรับเราหลายประการ ในการนำไปปฏิบัติในชีวิตประจำวัน
ประการแรก เราต้องถูกลิดกิ่งเพื่อเกิดผลอุดม การเป็นคริสตชนเรียกร้องให้เราตัดสละน้ำใจของเราจากค่านิยมของโลกทุกอย่าง ที่ตรงข้ามกับจิตตารมย์ของพระเยซูเจ้า อาทิ ความสะดวกสบายฟุ้งเฟ้อ ความเห็นแก่ตัว การคดโกง ฯลฯ นอกนั้นเราต้องรู้จักบังคับตนเองจากความโน้มเอียงไม่ดีต่างๆ ได้แก่การผิดประเวณี การพนัน ยาเสพติด เราต้องยอมให้พระเจ้าลิดกิ่งและชำระเรา ผ่านความเจ็บปวดและการทรมานในชีวิตบ้างเพื่อทำให้เราเข้มแข็ง
ประการที่สอง เราต้องเป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูเจ้า พระวรสารทั้งสี่ได้สอนเราในการเป็นศิษย์แท้จริงของพระเยซูเจ้า และได้ให้แนวปฏิบัติสำหรับเราในการอยู่กับพระองค์เหมือนกิ่งก้านที่ติดอยู่กับลำต้นเพื่อเกิดผล ผ่านทางการอธิษฐานภาวนา การไปรับพระองค์ในศีลมหาสนิทและรับศีลอภัยบาป การอ่านและรำพึงพระวาจาในแต่ละวัน การทำงานเมตตาจิตและให้อภัยความผิดของกันและกัน
ประการที่สาม ปราศจากพระเจ้าเราไม่สามารถทำอะไรได้เลย เราเป็นเพียงเครื่องมือของพระเยซูเจ้าในโลกนี้ ได้รับพลังและความช่วยเหลือจากพระเจ้า ลำพังตัวเราเองไม่สามารถทำอะไรได้เลย  เราต้องดำเนินชีวิตเป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูเจ้าในพระศาสนจักร และตระหนักว่า ความสำเร็จทั้งหลายในชีวิตของเราไม่ได้เกิดจากการกระทำของเรา แต่เป็นเครื่องหมายว่าพระคริสตเจ้าทรงกำลังทำงานในตัวเราและผ่านทางเรา
บทสรุป
พี่น้องที่รัก พระเจ้าทรงเป็นที่มาและแหล่งพลังของชีวิตคริสตชน “ถ้าไม่มีเรา ท่านก็ไม่สามารถทำอะไรไม่ได้เลย” (ยน 15:5) ชีวิตของเราต้องหยั่งรากลึกในพระเยซูเจ้า การสนิทสัมพันธ์กับพระองค์ทำให้เราเกิดผลและนำพระสิริรุ่งโรจน์มาสู่พระเจ้า การเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์และเพื่อนพี่น้องเป็นหลักการพื้นฐานของชีวิตคริสตชน หากปราศจากพระองค์ชีวิตของเราก็ว่างเปล่า ไม่สามารถทำอะไรได้เลย
พระเยซูเจ้าทรงเป็นหนึ่งเดียวและปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระบิดาเจ้า ด้วยการนอบน้อมเชื่อฟังจนถึงความตายบนไม้บางเขน พระจิตเจ้าได้ทำให้เราเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าในพระเยซูเจ้าและกับเพื่อนพี่น้อง ขอพระจิตเจ้าได้นำทางชีวิตเราให้สามารถการปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูเจ้าในความจริง ความยุติธรรม และความรัก เพื่อเกิดผลอย่างอุดม
คุณพ่อขวัญ ถิ่นวัลย์
danielkhuan@hotmail.com
Hotel Metropolitan, Tel Aviv, ISRAEL
28 เมษายน 2018
ภาพ: ศิษย์พระคริสต์, แสงธรรมรุ่น 15, Stella Maris Monastery, Haifa, ISRAEL; 2018-04-27

ดวงตาแห่งความเชื่อ


ดวงตาแห่งความเชื่อ
วันเสาร์
สัปดาห์ที่ 4 เทศกาลปัสกา
กจ 13:44-52
ยน 14:7-14
พระวรสารวันนี้พระเยซูเจ้าทรงสนทนากับฟิลิป ซึ่งเป็นตอนหนึ่งของคำสอนในการเลี้ยงอาหารค่ำมื้อสุดท้ายกับบรรดาอัครสาวก คำตอบของพระเยซูเจ้าได้บอกให้เราทราบถึงความสัมพันธ์ระหว่างพระองค์กับพระบิดาเจ้า ที่ทรงเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างแน่นแฟ้น ใครที่เห็นพระองค์ก็เห็นพระบิดาเจ้า นี่คือความจริงพื้นฐานที่ศิษย์ของพระองค์ควรเชื่อและเข้าใจนานแล้ว (แต่สำหรับชาวยิวนี่ถือเป็นเรื่องสะดุดอย่างร้ายแรง)
พระเยซูเจ้าได้อธิบายให้ฟิลิปและเราได้เข้าใจอีกครั้งว่า “ท่านทั้งหลายจงเชื่อเราเถิดว่าเราดำรงอยู่ในพระบิดา และพระบิดาก็ทรงดำรงอยู่ในเรา หรืออย่างน้อยท่านทั้งหลาย จงเชื่อเพราะกิจการเหล่านี้เถิด” (ยน 14:11) พระองค์ได้แสดงให้เห็นถึงงานและพระวาจาของพระบิดาเจ้า ด้วยการเทศน์สอนและกระทำการอัศจรรย์ต่างๆ มากมาย ซึ่งศิษย์ของพระองค์ต้องมองด้วยดวงตาแห่งความเชื่อ
พระเยซูเจ้าทรงเรียกร้องความเชื่อจากบรรดาอัครสาวกและศิษย์ของพระองค์ หลังจากได้รับพระจิตเจ้าฟิลิปได้เจริญชีวิตตามความเชื่อและได้เป็นพยานถึงความเชื่อนี้ด้วยชีวิต โดยการถูกตรึงกางเขนที่เอเชียน้อย ซึ่งบรรดาอัครสาวกต่างเป็นพยานถึงความเชื่อนี้ และเราคริสตชนถูกเรียกร้องให้ดำเนินชีวิตตามความเชื่อนี้เช่นกัน เราต้องเป็นดังกระจกเงาที่สะท้อนภาพของพระเยซูเจ้าในชีวิตประจำวัน
พระเยซูเจ้ายังตรัสด้วยว่า “ผู้ที่เชื่อในเราก็จะทำกิจการที่เรากำลังทำอยู่ด้วย และจะทำกิจการที่ใหญ่กว่านั้นอีก” (ยน 14:12) นั่นหมายความว่าความเชื่อที่เรามีต้องแสดงออกในภาคปฏิบัติ ด้วยการเลียนแบบอย่างของพระองค์ ในความรัก ความเมตตา และการรับใช้ซึ่งกันและกันด้วยใจกว้าง นี่คือความเชื่อที่มีชีวิตและเป็นผู้ใหญ่ ซึ่งพระศาสนจักรต้องการจากศิษย์พระคริสต์มากที่สุดในปัจจุบัน
คุณพ่อขวัญ ถิ่นวัลย์
khuanthinwan@gmail.com
Hotel Metropolitan, Tel Aviv, ISRAEL
27 เมษายน 2018
ภาพ: ศิษย์พระคริสต์, แสงธรรมรุ่น 15, Stella Maris Monastery, Haifa, ISARAEL; 2018-04-27

วันศุกร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2561

ตามรอยพระบาทพระเยซูเจ้า8


ภูเขาทาบอร์
ภูเขาทาบอร์ (Mt. Tabor) เป็นภูเขาที่สูงจากระดับน้ำทะเล 660 เมตร ตั้งอยู่ห่างจากโรงแรมที่พักที่เมืองทิเบเรียส 26 กิโลเมตร เป็นภูเขาที่ถูกอ้างถึงในเพลงสดุดี 89 กษัตริย์ดาวิดร้องว่า “ภูเขาทาบอร์และภูเขาเฮอร์โมนจะชื่นชมยินดีในนามของพระเจ้า” ความแข็งแรงและความสวยงามของภูเขานี้้เป็นประจักษ์พยานถึงพระผู้สร้าง แม้ไม่ได้ถูกอ้างถึงในพระวรสาร แต่ธรรมประเพณีถือเป็นภูเขาสูงที่พระเยซูเจ้าทรงประจักษ์พระวรกายให้กับอัครสาวกเปโตร ยากอบ และยอห์น (ลก 9:28-36) 
วัดหลังแรกที่สร้างขึ้นบนภูเขาทาบอร์ประมาณปี 400 ในช่วงสงครามครูเสดคณะเบเนดิกต์ตินได้สร้างอารามขึ้น ปี 1187 ได้ถูกบังคับให้ทิ้งสถานที่แห่งนี้จากผู้นำมุสลิมชื่อสาลาดิน (Saladin) ในศตวรรษที่ 17 คณะฟรังซิสกันได้มาตั้งอารามที่นี่จนถึงปัจจุบัน ปี 1924 ได้สร้างวัดแห่งการประจักษ์พระวรกายในแบบซีเรียโรมันโดยอันโตนีโอ บาร์ลุซซี (Antonio Baruzzi) บนซากของวัดเดิม ตรงโดมของวัดเป็นรูปโมเซอิกสีทองพระเยซูเจ้าทรงประจักษ์พระวรกาย และวัดน้อยของประกาศกเอลียาห์และโมเสส เพื่อรำลึกถึงความประสงค์ของเปโตรที่ต้องการสร้างเพิงขึ้นสามาหลัง (ลก 9:33)




หมู่บ้านคานา
หลังจากลงจากภูเขาพวกเราได้เดินทางต่อไปยังหมู่บ้านคานาซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก คานาเป็นเป็นที่รู้จักเพราะพระเยซูเจ้าทรงกระทำอัศจรรย์เป็นครั้งแรก “พระเยซูเจ้าทรงกระทำเครื่องหมายอัศจรรย์ครั้งแรกนี้ที่หมู่บ้านคานา แคว้นกาลิลี พระองค์ทรงแสดงพระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์และบรรดาศิษย์เชื่อในพระองค์” (ยน 2:11) ด้วยการเปลี่ยนน้ำให้เป็นเหล้าองุ่นซึ่งพระองค์ พระมารดา และบรรดาศิษย์ได้รับเชิญให้ไปในงาน
มีวัดสองหลังที่คานา หลังแรกเป็นของกรีกออร์ทอดอกซ์ และหลังที่สองวัดแห่งอัศจรรย์ (The Church of Miracle) ของคณะฟรังซิสกัน สร้างขึ้นปี 1879 บนซากของสักการสถานเดินที่ถูกทำลายในศตวรรษที่หก เชื่อกันว่าเคยเป็นศาลาธรรมสถานที่ที่พระเยซูเจ้าทรงกระทำอัศจรรย์ บรรดาคู่แต่งงานยังคงมาที่วัดแห่งนี้เพื่อเฉลิมฉลองการแต่งงานของตนจนถึงปัจจุบัน และที่ห้องใต้ดินยังมีตุ่มหินขนาดใหญ่ที่เชื่อกันว่าเป็นหนึ่งในหกตุ่มที่ใช้บรรจุน้ำ





วัดแห่งความเป็นผู้นำของเปโตร
ไม่ไกลจากโรงแรมที่พักของพวกเราที่ทิเบเรียส มีวัดแห่งความเป็นผู้นำสูงสุดของเปโตร (The Church of St. Peter’s Primacy) หรือวัดพระแท่นของพระคริสตเจ้า (Mensa Christi) เพราะที่วัดเล็กๆ แห่งนี้มีหินที่พระเยซูเจ้าใช้ก่อไฟปิ้งปลาและขนมปังรอบรรดาอัครสาวก ทรงบอกให้พวกเขาเหวี่ยงแห่ไปทางกราบเรือด้านขวา และจับปลาได้ 153 ตัว เป็นการปรากฏพระองค์ให้บรรดาศิษย์ได้เห็นเป็นครั้งที่สาม “นี่เป็นครั้งที่สามแล้วที่พระเยซูเจ้าทรงแสดงพระองค์แก่บรรดาศิษย์ หลังจากที่ทรงกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตาย” (ยน 21:14)
ที่สถานที่แห่งนี้พระเยซูเจ้ากับบรรดาศิษย์ได้กินอาหารด้วยกัน พระองค์ตรัสกับเปโตรสามครั้งว่า “ซีโมนบุตรของยอห์น ท่านรักเราไหม” (ยน 21:15-19) และทรงเลือกเปโตรให้เป็นผู้นำพระศาสนจักรด้วยพระดำรัสที่ว่า “จงเลี้ยงลูกแกะของเราเถิด ... จงเลี้ยงดูแกะของเราเถิด” (ยน 21:15, 19) นั่นหมายความว่า ความรักเท่านั้นที่เป็นการนำพระศาสนจักร ความรักเท่านั้นที่เป็นคำตอบของการเป็นศิษย์ติดตามพระเยซูเจ้า วัดที่เห็นในปัจจุบันเป็นของคณะฟรังซิสกันสร้างขึ้นปี 1924




คุณพ่อขวัญ ถิ่นวัลย์
The Club Hotel & Resorts, Tiberias, ISRAEL
27 เมษายน 2018

หนทาง ความจริง และชีวิต


หนทาง ความจริง และชีวิต
วันศุกร์
สัปดาห์ที่ 4 เทศกาลปัสกา
กจ 13:26-33
ยน 14:1-6
พระวรสารวันนี้ พระเยซูเจ้าได้ให้ความมั่นใจกับเราว่า ในบ้านพระบิดาของเรามีที่พำนักมากมาย... เรากำลังไปเตรียมที่ให้ท่าน และเมื่อเราไปและเตรียมที่ให้ท่านแล้ว เราจะกลับมารับท่านไปอยู่ด้วย (ยน 14:2-3) นี่คือภาพของพระศาสนจักรที่รุ่งเรืองในบ้านของพระบิดาเจ้า อีกทั้งได้เตือนเราถึงความจริงยิ่งใหญ่ที่ว่า พระเยซูเจ้าทรงเป็นหนทาง ความจริง และชีวิต เราต้องไม่วิตกทุกข์ร้อนหรือกังวลใจในเรื่องใด นอกจากเชื่อและวางใจในพระองค์
พระเยซูเจ้าตรัสพระวาจาตอนนี้กับบรรดาสาวกหลังอาหารค่ำมื้อสุดท้าย หลังจากได้บอกพวกเขาว่าหนึ่งในพวกเขาจะทรยศและพระองค์กำลังจะจากไป ในสภาพที่กำลังสับสนวุ่นวายใจ พระองค์ได้ให้กำลังใจและเตรียมพวกเขาให้พร้อมเผชิญหน้าเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น พวกเขาต้องวางใจและเชื่อในพระองค์อย่างเต็มเปี่ยม เพราะในบ้านพระบิดามีที่อยู่มากมาย ที่พวกเขาจะเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ ผู้ทรงเป็นหนทาง ความจริง และชีวิตอีกครั้ง
มีเพียงพระเยซูเจ้าเท่านั้นที่ทรงเปิดเผยพระบิดาเจ้าให้เราทราบ ใน หนทาง ที่พระองค์ทรงเจริญชีวิตคือหนทางแห่งไม้กางเขนซึ่งเป็นหนทางแห่งชีวิตนิรันดร ใน ความจริง แห่งพระวาจาของพระองค์ที่เราต้องอ่านทุกวัน เพราะพระวาจาเป็นคำตอบของทุกปัญหา และผ่านทาง ชีวิต ใหม่ที่พระองค์ทรงนำมายังโลก ในเหตุการณ์ประจำวันในชีวิตของพระองค์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผ่านทางการสิ้นพระชนม์และการกลับคืนพระชนมชีพของพระองค์
โทมัส อาแคมปิส  ได้เขียนเอาไว้ในหนังสือ จำลองแบบพระคริสต์ (The Imitation of Christ) ว่า ปราศจากหนทางก็ก้าวเดินต่อไปไม่ได้ปราศจากความจริงก็ไม่มีความรู้ปราศจากชีวิตก็ไม่สามารถดำรงอยู่ได้ ขอพระเยซูเจ้าผู้เป็นหนทาง ความจริง และชีวิต ได้นำทาง เป็นคำตอบและช่วยเราให้สามารถดำเนินชีวิตในความรัก ความเมตตากรุณา และการให้อภัยตามแบบอย่างของพระองค์ เป็นต้นในครอบครัว สังคม และหมู่คณะของเรา เพื่อสักวันหนึ่งจะได้อยู่ร่วมกันอย่างพร้อมหน้าในบ้านพระบิดาเจ้าของเรา
คุณพ่อขวัญ ถิ่นวัลย์
khuanthinwan@gmail.com
The Club Hotel & Resorts, Tiberias, ISRAEL
26 เมษายน 2018
ภาพ: ศิษย์พระคริสต์, แสงธรรมรุ่น 15, Basilica of the Annunciation, Nazareth, ISRAEL; 2018-04-26

วันพฤหัสบดีที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2561

คำสอนหลังการล้างเท้า


คำสอนหลังการล้างเท้า
วันพฤหัสบดี
สัปดาห์ที่ 4 เทศกาลปัสกา
กจ 13:13-25
ยน 13:16-20
การล้างเท้าอัครสาวกของพระเยซูเจ้า ถือเป็นแบบอย่างและบทเรียนสำคัญที่พระเยซูเจ้าทรงมอบแก่อัครสาวกและศิษย์ของพระองค์ทุกคน นั่นคือ “การรับใช้” ศิษย์ของพระองค์ต้องเลียนแบบและนำไปปฏิบัติต่อผู้อื่น ในการรับใช้ซึ่งกันและกันด้วยความรัก การรับใช้จึงเป็นเครื่องหมายแท้จริงของการเป็นคริสตชนและศิษย์ของพระองค์ นี่คือ ความรักในภาคปฏิบัติ ที่สามารถมองเห็นได้
นอกนั้น พระเยซูเจ้ายังให้บทเรียนของ “ความสุภาพถ่อมตน” พระองค์ผู้เป็นนายและอาจารย์ยังถ่อมตนลงล้างเท้าให้ศิษย์ของตน ซึ่งการล้างเท้าสำหรับสังคมยิวเป็นงานเฉพาะของทาสเท่านั้น ให้เราย้อนกลับมามองดูตัวเองว่ามีความสุภาพถ่อมตน และยอมรับในความอ่อนแอไม่เหมาะสมของเรามากน้อยแค่ไหน
พระวรสารวันนี้เป็นคำสอนหลังการล้างเท้าอัครสาวกของพระเยซูเจ้า ซึ่งมีเพียงในพระวรสารนักบุญยอห์นเท่านั้น พระเยซูเจ้าได้ให้ข้อคิดหลายประการสำหรับเราเพื่อการไตร่ตรองและนำไปปฏิบัติในชีวิตประจำวัน
ประการแรก “ผู้รับใช้ย่อมไม่เป็นใหญ่กว่านายของตน” นั่นหมายความว่าเราต้องผ่านการทรมานและความยากลำบากไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าพระเยซูเจ้า เพื่อได้รับเกียรติมงคลรุ่งเรือง เราจำเป็นต้องผ่านหนทางแห่งไม้กางเขนก่อนถึงจะได้รับแสงสว่าง (Per Crucem ad Lucem)
ประการที่สอง “ถ้าท่านปฏิบัติตาม ท่านย่อมเป็นสุข” หลังจากเรียนรู้คำสอนของพระเยซูเจ้า เราต้องนำมาปฏิบัติให้เกิดผลจริงในชีวิตประจำวัน ตัวอย่างชีวิตจึงจำเป็นและดึงดูดใจผู้คนได้มากกว่าคำพูด ดังคำกล่าวที่ว่า “การกระทำดังกว่าคำพูด”
ประการที่สาม “ใครรับเรา ก็รับพระองค์ผู้ทรงส่งเรามา” สิ่งที่พระเยซูเจ้าตรัสและกระทำล้วนแล้วแต่เป็นแผนการและพระประสงค์ของพระบิดาเจ้า ซึ่งพระองค์ทรงเป็นหนึ่งเดียวและได้รับอำนาจทุกอย่างจากพระบิดาเจ้า ดังนั้น เราต้องเชื่อ รัก และเลียนแบบอย่างของพระองค์
คุณพ่อขวัญ ถิ่นวัลย์
khuanthinwan@gmail.com
The Club Hotel & Resorts, Tiberias, ISRAEL
25 เมษายน 2018
ภาพ: ศิษย์พระคริสต์, แสงธรรมรุ่น 15, Church of Multiplication, Tabgha, ISRAEL; 2018-04-25