วันศุกร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2555

แก่นแท้ของบทบัญญัติ


แก่นแท้ของบทบัญญัติ

วันอาทิตย์ สัปดาห์ที่ 22
เทศกาลธรรมดา
ปี B
ฉธบ 4:1-2,6-8
ยก 1:17-18,21-22,27
มก 7:1-8,14-15,21-23

บทนำ

 มุลลาห์ นัสรุดดิน พบแหวนเพชรน้ำงามวงหนึ่งตกอยู่บนถนน ตามบทบัญญัติของศาสนาบอกว่า ผู้พบเห็นจะสามารถเก็บไว้เป็นของตนเองได้ก็ต่อเมื่อ เขาได้ประกาศกลางตลาด 3 ครั้งในเวลาที่ต่างกันว่า เขาได้พบสิ่งนั้นและไม่มีใครแสดงตนเป็นเจ้าของแล้วเท่านั้น นัสรุดดินเป็นคนเคร่งศาสนา ไม่อยากได้ชื่อว่าละเมิดกฎเกณฑ์ของศาสนา แต่เขามีความละโมบเกินกว่าที่จะปล่อยให้แหวนเพชรล้ำค่านั้นหลุดมือไป

นัสรุดดินได้ย่องไปที่ตลาดในเวลากลางคืนที่ไม่มีใครเห็นและประกาศเบาๆ ว่า “ดูนี่ ฉันได้พบแหวนเพชรบนถนน ใครที่รู้ตัวว่าเป็นเจ้าของกรุณาติดต่อฉันด่วน” ไม่มีใครได้ยินเสียงพึมพรำของเขา เว้นแต่ชายคนหนึ่งที่บังเอิญยืนอยู่ที่หน้าต่างบ้านของตนในคืนที่สาม เขารีบไปหานัสรุดดินเพื่อถามว่ามาทำอะไรและพูดอะไรกลางตลาดยามค่ำคืนเช่นนี้ นัสรุดดินตอบว่า “ฉันไม่มีหน้าที่ที่จะต้องบอกคุณ สิ่งที่ฉันบอกได้คือฉันเป็นคนเคร่งศาสนา ฉันมาที่นี่เพื่อทำตามบทบัญญัติของศาสนา” จากนั้นเขาได้เอาแหวนเพชรวงนั้นใส่กระเป๋าและเดินจากไป

บทบัญญัติ ระเบียบ กฎเกณฑ์และพิธีกรรมทางศาสนาเป็นสิ่งที่ดี แต่มิใช่สิ่งที่สมบูรณ์ครบครัน เป็นเพียงวิธีการที่นำไปสู่เป้าหมาย สิ่งเหล่านี้อาจกลายเป็นอุปสรรคหากมิได้รับใช้เป้าหมายตามที่ได้วางไว้ บ่อยครั้งการถือตามตัวอักษรอย่างเคร่งครัดได้กลายเป็นความผิดหลง นอกจากไม่ได้ช่วยใครให้ได้พบกับพระเจ้า ยังเป็นอุปสรรคที่ขวางกั้นมิให้คนที่ปฏิบัติได้พบกับพระเจ้าด้วย

1.           แก่นแท้ของบทบัญญัติ

ในศาสนายิวมี “บทบัญญัติที่จารึกไว้” (Written Law) ได้แก่ หนังสือห้าเล่มแรก (Torah) ที่เรียกว่า “บทบัญญัติของโมเสส” กับ “บทบัญญัติที่เล่าสืบต่อกันมา” (Oral Law) ได้แก่ สิ่งที่พวกธรรมาจารย์เพิ่มเติมเข้ามาเพื่อขยายความบทบัญญัติของโมเสส โดยมีความมุ่งหมายเพื่อรักษาความบริสุทธิ์ของศาสนายิวและธรรมบัญญัติของพระเจ้า ในสมัยของพระเยซูเจ้าบทบัญญัตินี้เป็นที่รับรู้และเรียกว่า “ธรรมเนียมของบรรพบุรุษ”

ในพระวรสารตอนแรก พระยซูเจ้าทรงประณามพวกธรรมาจารย์และชาวฟาริสี เพราะธรรมเนียมเหล่านี้ (การล้างมือตามพิธีก่อนรับประทานอาหาร) ที่พวกเขาสร้างขึ้นเพื่อให้ทุกคนได้ถือตาม “ท่านทั้งหลายละเลยพระบัญญัติของพระเจ้า (จงรักพระเจ้าและเพื่อนมนุษย์) และกลับไปถือธรรมเนียมของมนุษย์” ในตอนที่สอง พระเยซูเจ้าทรงกล่าวถึงกฎเกี่ยวกับอาหารของศาสนายิว การรับประทานอาหารบางชนิด (เนื้อสุกร) ซึ่งทำให้มนุษย์เป็นมลทินและไม่สมควรที่จะเข้าร่วมพิธีกรรม

ในพระศาสนจักรยุคแรก คริสตชนที่มีต้นกำเนิดมาจากศาสนายิวพยายามที่จะบังคับใช้กฎเหล่านี้กับคริสตชนที่มาจากพื้นเพอื่น นักบุญมาระโกไม่เห็นด้วยและอ้างถึงพระวาจาของพระเยซูเจ้าที่ว่า เฉพาะสิ่งที่ออกมาจากใจมนุษย์ (คำหยาบคายและการกระทำที่ชั่วร้าย) ที่ทำให้มนุษย์เป็นมลทิน พระองค์ได้ตำหนิพวกธรรมาจารย์และชาวฟาริสีอย่างรุนแรงด้วยการอ้างถ้อยคำของประกาศอิสยาห์ “ประชาชนเหล่านี้ให้เกียรติเราแต่ปาก แต่ใจของเขาอยู่ห่างไกลจากเรา” พระองค์ทรงต้องการให้การกระทำของเราสอดคล้องกับคำพูดของเรา

พระเยซูเจ้าได้สอนชาวยิวว่า สิ่งที่ทำให้มนุษย์เป็นมลทินไม่ใช่สิ่งที่มาจากภายนอก แต่สิ่งที่ออกมาจากใจต่างหาก สิ่งต่างๆ ในตัวมันเองไม่ใช่สิ่งที่เป็นมลทินหรือไม่เป็นมลทิน เพราะทุกอย่างที่พระเจ้าสร้างมาล้วนแต่ดีทั้งนั้น แต่เป็นมนุษย์ที่ทำให้เป็นมลทิน การกระทำของแต่ละคนบ่งบอกเจตนาและความต้องการของเขา บทบัญญัติต่างๆ จะต้องนำมนุษย์ไปหาพระเจ้าและเพื่อนพี่น้อง นี่คือแก่นแท้และหัวใจของบทบัญญัติ

2.           บทเรียนสำหรับเรา

พระวาจาของพระเจ้าในวันนี้ ได้ให้บทเรียนและแนวปฏิบัติสำหรับเราคริสตชนหลายประการ

ประการแรก เราต้องปฏิบัติตามและรักษาจิตตารมย์ของบทบัญญัติ ไม่ปฏิบัติตามตัวอักษรเพื่อสนองความต้องการหรือผลประโยชน์ของเรา บทบัญญัติจะต้องช่วยเราให้รักพระเจ้าและเพื่อนพี่น้องมากขึ้น เช่นการมาวัดวันอาทิตย์ เพื่อนมัสการพระเจ้าพร้อมกับหมู่คณะ มอบชีวิตและความต้องการของเราแด่พระองค์ ขอสมาโทษพระองค์สำหรับบาปที่เรากระทำ ขอบคุณพระองค์สำหรับพระพรต่างๆ และรับพระองค์ในศีลมหาสนิทเพื่อเป็นพลังสำหรับเราในการรักพระเจ้าและเพื่อนพี่น้องในชีวิตประจำวัน

ประการที่สอง เราต้องแสวงหาพระประสงค์ของเจ้าและแสดงออกในการกระทำ พระประสงค์ของพระเจ้าจะต้องสำคัญเป็นลำดับแรกในชีวิตของเรา และต้องแสดงออกในการกระทำ ในการรักพระเจ้าในบุคคลที่เดือดร้อนและต้องการความช่วยเหลือ ชีวิตของเราจะต้องแสวงหาและปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระเจ้า

ประการที่สาม เราต้องต้องกลับใจและชำระจิตใจให้บริสุทธิ์อยู่เสมอ สิ่งที่ทำให้มนุษย์มีมลทินเกิดจากใจของมนุษย์ ใจของเราเป็นบ่อเกิดของความชั่วช้าและการกระทำที่ผิด อาทิ ความโลภ ความโกรธ ความหลง ความเกียจชัง เราจึงต้องกลับใจและชำระจิตใจให้บริสุทธิ์ ด้วยการคืนดีกับพระเจ้าและเพื่อนพี่น้องทางศีลอภัยบาปทุกครั้งที่เราทำบาป

บทสรุป

พี่น้องที่รัก พระเยซูเจ้าได้แสดงให้เราเห็นว่า มิใช่การถือปฏิบัติตามบทบัญญัติ ธรรมเนียมประเพณีหรือพิธีกรรมภายนอกที่สำคัญ แต่เป็นความรักต่อพระเจ้าและเพื่อนพี่น้องต่างหาก ที่เป็นแก่นแท้และหัวใจของทุกสิ่ง ที่จะช่วยให้การปฏิบัติศาสนาในชีวิตประจำวันเป็นสิ่งมีคุณค่าและความหมาย ความรักในใจของเราต้องเป็นแรงจูงใจเราในการทำสิ่งต่างๆ เพราะถ้าไม่มีความรัก ทุกสิ่งที่เราทำก็ไม่มีค่าใดๆ (เทียบ 1 คร 13:2)

การปฏิบัติศาสนาของเราจะต้องไม่ใช่ภาวะบีบคั้นที่ต้องทำอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่พิธีกรรม ระเบียบ กฎเกณฑ์และบทบัญญัติทางศาสนาต้องช่วยเพิ่มพูนความรักในใจเรา ทั้งต่อพระเจ้าและเพื่อนพี่น้อง ทำให้เรามีความสัมพันธ์กับพระเจ้าและความเป็นหนึ่งเดียวกับเพื่อนพี่น้องในแบบที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น เป็นต้น ในครอบครัว หมูคณะและหมู่บ้านของเรา

คุณพ่อขวัญ ถิ่นวัลย์
danielkhuan@hotmail.com
วัดพระคริสตประจักษ์ นาบัว
31 สิงหาคม 2012

วันอาทิตย์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2555

สารวัดนาบัว, ปีที่ 3 ฉบับที่ 120




สารวัดพระคริสตประจักษ์ นาบัว

ที่ 3  ฉบับที่ 120  วันที่ 26  สิงหาคม ค.ศ. 2012 (พ.ศ. 2555): http.//dondaniele.blogspot.com
เลขที่ 154 หมู่ที่ 2 ตำบลหนองแวงใต้ อำเภอวานรนิวาส จังหวัดสกลนคร 47120. 086-231-3231
รา
นักเรียนคำสอนวัดนาบัวชั้น ป.5-6 เข้าร่วมโครงการส่งเสริมกระแสเรียก
สัปดาห์ที่ 21 เทศกาลธรรมดา

พี่น้องที่รัก ความเชื่อเป็นของประทานจากพระเจ้า ที่ยกจิตใจและวิญญาณของเราให้ให้สูงกว่าวัตถุและสิ่งที่สัมผัสจับต้องได้ เป็นคุณธรรมเหนือธรรมชาติที่อยู่เหนือเหตุผลและความเข้าใจของมนุษย์ ในอีกด้านหนึ่ง ความเชื่อเรียกร้องความร่วมมือของมนุษย์ด้วยการเลือกพื้นฐาน เลือกที่จะเชื่อและติดตามพระเยซูเจ้าหรือปฏิเสธพระองค์

ตลอดประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ได้มีชาย-หญิงมากมายที่เชื่อพระเยซูเจ้า และเลือกที่จะเป็นพยานถึงความเชื่อที่ตนเองได้รับด้วยชีวิตของตน เราจึงมีนักบุญมรณสักขีมากมายในพระศาสนจักร ให้เราได้เลือกที่จะติดตามพระเยซูเจ้า ผู้เป็นแสงสว่าง ชีวิต ความเข้มแข็งและความรักของเรา เพื่อเราจะมีชีวิตที่สมบูรณ์ในพระองค์
 โครงการนี้จัดโดยบ้านเณรฟาติมาท่าแร่ อารามรักกางเขนและคณะเซอร์ร่าท่าแร่
 เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม มีเด็กคำสอนจากนาบัวและโพนสวางเข้าร่วม 26 คน

บทอ่านแรก โยชูวาได้เรียกประชาชนทุกเผ่าให้มารวมกัน เพื่อรื้อฟื้นความเชื่อและการอุทิศตนต่อพระยาเวห์ ท่านได้เตือนประชาชนถึงพระพรและความช่วยเหลือที่ได้รับจากพระเจ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งการช่วยให้เป็นอิสระจากการเป็นทาสในอียิปต์ พวกเขาจะต้องตัดสินใจเลือกว่าจะรับใช้พระเจ้าหรือพระอื่น สำหรับท่านและครอบครัวจะรับใช้พระเจ้าแต่ผู้เดียว

บทอ่านที่สอง นักบุญเปาโลได้เปรียบเทียบความรักระหว่างสามี-ภรรยากับความรักระหว่างพระคริสตเจ้ากับพระศาสนจักร สามีจะต้องรักภรรยาเหมือนที่พระคริสตเจ้าทรงรักพระศาสนจักร สามี-ภรรยาจะต้องลืมตนเองและดำเนินชีวิตเพื่อกันและกัน ชีวิตของเราเช่นกันจะต้องมุ่งไปสู่พระคริสตเจ้า

พระวรสาร พระดำรัสของพระเยซูเจ้าที่ว่า “ผู้ที่กินเนื้อและดื่มโลหิตของเรา ก็คงอยู่ในเราและเราอยู่ในเขา”  ทำให้บรรดาอัครสาวกบ่นว่าพระองค์ พวกเขาคิดว่าพระองค์เป็นพวกป่าเถื่อนกินเนื้อมนุษย์ พวกเขาไม่เข้าใจภาษาภาพพจน์ที่พระองค์หมายถึง “ศีลมหาสนิท” และพระองค์ได้ใช้โอกาสนี้ท้าทายพวกเขาให้เปิดตนเองต่อความเชื่อที่พระเจ้าประทานให้

 พี่น้องชาวนาบัวช่วยกันรื้อถอนบ้านไม้และขนไม้สำหรับทำพิพิธภัณฑ์และศาลา
 มีพ่อบ้านและเยาวชนมาช่วยกันจำนวนมาก ประมาณ 50 คน
°ข่าวสารและประชาสัมพันธ์

1)       ขอบคุณพี่น้องที่ไปช่วยกันรื้อบ้านไม้ที่วัดซื้อไว้เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา มีพ่อบ้านและเยาวชนไปช่วยกันคนละไม้ละมือจำนวนมาก รวมถึงบรรดาแม่ครัวที่มาช่วยกันเตรียมอาหาร คิดว่าจะได้ช่างมาเริ่มงานในอาทิตย์นี้

2)       ขอบคุณกลุ่มวิถีชุมชนวัดกลุ่มที่ 2 ที่ช่วยกันทำความสะอาดวัด กลุ่มที่รับผิดชอบอาทิตย์ต่อไปคือ กลุ่มที่ 3

3)       ขอบคุณพี่น้องที่ไปร่วมฉลองศาสนนามของพระอัครสังฆราชหลุยส์ จำเนียร สันติสุขนิรันดร์ และฉลองครบรอบ 6 ปีของการก่อตั้งวิถีชุมชนวัด เมื่อวันเสาร์ที่ 25 สิงหาคม ที่ผ่านมา

4)       ขอให้พี่น้องที่มีสิทธิเลือกตั้งได้ไปเลือกสมาชิกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (ส.อบจ.) ในวันนี้ ถือเป็นการปฏิบัติตามพระบัญญัติประการที่ 4 “จงนับถือบิดามารดา” ซึ่งเรามีหน้าที่ต่อบ้านเมือง ในการเลือกคนดีเข้าไปทำหน้าที่แทนเรา

5)       เงินทานวันเสาร์ 589.- บาท, เงินทานวันอาทิตย์ที่ 19 สิงหาคม 2,290.- บาท

6)       รับเงินขายข้าวจากสภาวัด (19 สิงหาคม)  46,338.- บาท และรับเงินค่าเครื่องเลื่อยไม้จากตู้ขนัน หล้าหิบ 4,000.- บาท

7)       วัดโพนสวาง เงินทานวันอาทิตย์ 540.- บาท
 ตอนเช้าวันที่ 21 สิงหาคม ไปช่วยกันรื้อถอนบ้านไม้ที่ซื้อเอาไว้
 ตอนบ่ายก็ช่วยกันขนไม้ลงเก็บ เหนื่อยนักก็พักอย่างที่เห็น

พิธีมิสซาและวันฉลองในรอบสัปดาห

วัน
ที่
เวลา
ผู้ขอ/วันฉลอง
จุดประสงค์
อาทิตย์
26
07.00 น.
 
10.00 น.
1) เทเรซา อังคณา นาแว่น
2) สัตบุรุษจากกรุงเทพฯ
มิสซาที่โพนสวาง
อุทิศให้ เปาโล พิมนต์ นาแว่น
อุทิศให้ มารีอา สุมาลี เหล่าวณิชยา
สุขสำราญสำหรับพี่น้องชาวโพนสวาง
จันทร์
27
06.00 น.
ระลึกถึง น.โมนิกา
อุทิศให้อากาทา กานดา
อังคาร
28
06.00 น.
ระลึกถึง น.ออกัสติน
อุทิศให้อากาทา กานดา
พุธ
29
06.00 น.
ระลึกถึง น.ยอห์นบัปติสต์ถูกตัดศีรษะ
อุทิศให้อากาทา กานดา
พฤหัสบดี
30
06.00 น.
สัปดาห์ที่ 21 เทศกาลธรรมดา
อุทิศให้อากาทา กานดา
ศุกร์
31
06.00 น.
สัปดาห์ที่ 21 เทศกาลธรรมดา
อุทิศให้อากาทา กานดา
เสาร์
01
06.00 น.
19.30 น.
สัปดาห์ที่ 21 เทศกาลธรรมดาสัปดาห์ที่ 22 เทศกาลธรรมดา
 
 ส่วนแม่บ้านและคนที่ไม่ได้ไปก็ช่วยกันเตรียมสำรับกับข้าว
 เพื่อให้คนที่ทำงานได้กินอิ่ม และมีแรงสำหรับทำงาน

วันศุกร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ความเชื่อคริสตชนและการท้าทายในปัจจุบัน


ความเชื่อคริสตชนและการท้าทายในปัจจุบัน

วันอาทิตย์ สัปดาห์ที่ 21
เทศกาลธรรมดา
ปี B
ยชว 24:1-2, 15-18
อฟ 5:21-32
ยน 6:60-69

บทนำ

 ในห้วงเวลาที่มีการเบียดเบียนคริสตศานาครั้งใหญ่ในประเทศรัสเซีย คริสตชนกลุ่มหนึ่งได้รวมตัวกันภาวนาอย่างลับๆ ในบ้านหนังหนึ่ง ทันใดนั้นทหารคนหนึ่งได้พังประตูห้องเข้ามา พร้อมกับเล็งปืนไปยังทุกคนในห้อง พวกเขาตกใจและกลัวมาก นายทหารคนนั้นพูดว่า “ใครที่ไม่มีความเชื่อแท้ในพระเยซูเจ้า นี่เป็นโอกาสที่จะหนีเอาตัวรอด” หลายคนได้วิ่งกรูกันไปที่ประตูหนีเอาตัวรอด เหลืออยู่ในห้องเพียงไม่กี่คน ที่ยังคงยืนหยัดว่าพวกเขาเชื่อในพระเยซูเจ้าและไม่ทิ้งพระองค์ไปไหน

เมื่อคนที่ขลาดกลัวหนีไปหมดแล้ว ทหารคนนั้นได้ปิดประตูและก้าวมายืนกลางห้องต่อหน้ากลุ่มคนที่เหลืออยู่อีกครั้ง เขาลดปืนลงและยิ้มให้ทุกคนอย่างเป็นมิตร และกล่าวกับทุกคนว่า พวกท่านเป็นคริสตชนที่มีความเชื่อแท้ในพระเยซูเจ้า ต่างจากพวกนั้นที่หนีเอาตัวรอด ก่อนจะจากไปเขาได้กล่าวกับกลุ่มคนที่เหลือว่า “ขอให้มั่นคงเข้มแข็งในความเชื่อ ผมเองก็เป็นคริสตชนคนหนึ่งที่เชื่อในพระเยซูเจ้าเหมือนกับท่านทั้งหลาย”

บทอ่านในวันนี้ พูดถึงเรื่องราวในชีวิตคริสตชนที่จะต้องเลือกพระเจ้าหรือปฏิเสธพระองค์ เลือกที่จะเจริญชีวิตตามความจริงหรือปฏิเสธความจริง พระเจ้าได้เปิดเผยพระองค์ในพันธสัญญาเก่าผ่านทางประกาศกของพระองค์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผ่านทางพระเยซูเจ้า พระบุตรของพระองค์ในพันธสัญญาใหม่ ที่เตือนใจเราถึงการเลือกพื้นฐานที่เราจะต้องตัดสินใจเลือกในชีวิตของเรา ทั้งโยชูอาในบทอ่านแรกและนักบุญเปาโลในบทอ่านที่สอง ต่างท้าทายประชาชนให้เลือก และพระวรสารวันนี้เราถูกท้าทายว่าเราจะเลือกรับใช้ใคร

1.           ความเชื่อคริสตชนและการท้าทายในปัจจุบัน

พระวรสารวันนี้เป็นตอนสรุปของ “คำเทศนาเรื่องปังแห่งชีวิต” ของพระเยซูเจ้าที่เราได้ฟังติดต่อกันมาหลายอาทิตย์ อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากพระดำรัสที่ว่า “ผู้ที่กินเนื้อและดื่มโลหิตของเรา ก็คงอยู่ในเราและเราอยู่ในเขา”  ทำให้บรรดาอัครสาวกบ่นว่า “ถ้อยคำนี้ขัดหู ใครจะฟังได้” พวกเขาคิดว่าพระองค์เป็นพวกป่าเถื่อนกินเนื้อมนุษย์ พวกเขาไม่เข้าใจถ้อยคำและภาษาภาพพจน์ที่พระองค์หมายถึง “ศีลมหาสนิท และพระองค์ได้ใช้โอกาสนี้ท้าทายพวกเขาให้เปิดตนเองต่อพระพรแห่งความเชื่อที่พระเจ้าทรงประทานให้

พระเยซูเจ้าพยายามที่จะช่วยผู้ติดตามพระองค์ ให้มองทุกอย่างในมิติของความเชื่อ อาศัยความเชื่อเท่านั้นจะช่วยให้พวกเขามองเห็นและเข้าใจถึง ธรรมล้ำลึกสามประการที่พระองค์ทรงเปิดเผยให้ทราบ นั่นคือ 1) การรับเอากายเป็นมนุษย์ “เราเป็นปังซึ่งลงมาจากสวรรค์” (ยน 6:41), 2) การไถ่กู้ให้รอด “ปังที่เราจะให้นี้คือเนื้อของเราเพื่อให้โลกมีชีวิต” (ยน 6:51) และ 3) การเสด็จสู่สวรรค์และรับเกียรติรุ่งโรจน์ “ท่านจะเห็นบุตรแห่งมนุษย์กลับขึ้นสู่สถานที่เคยอยู่แต่ก่อน” (ยน 6:62)

เมื่อพระเยซูเจ้าทรงเห็นศิษย์หลายคนถอดใจและถอยหนีจากพระองค์ จึงตรัสกับบรรดาอัครสาวกทั้งสิบสองว่า “ท่านทั้งหลายอยากจะไปด้วยหรือ” ทุกวันนี้มีผู้คนมากมายที่หันหลังให้พระเยซูเจ้า ด้วยเหตุผลต่างๆ มากมายแตกต่างกันไป เช่น ต้องทำงานหาเงินไม่มีเวลามาวัด ต้องเดินทางไปโน่นมานี่ ขี้เกียจไม่อยากทำอะไร ต้องการอยู่สบายๆ และทำสิ่งที่ตนพึงพอใจ เป็นต้น พระเยซูเจ้าไม่เคยบังคับใคร สิ่งที่พระองค์ทรงต้องการคือความเชื่อและความวางใจในพระองค์

ความเชื่อจึงเป็นของประทานจากพระเจ้า ที่ยกจิตใจและวิญญาณของเราให้ให้สูงกว่าวัตถุและสิ่งที่สัมผัสจับต้องได้ เป็นคุณธรรมเหนือธรรมชาติที่อยู่เหนือเหตุผลและความเข้าใจของมนุษย์ ในอีกด้านหนึ่ง ความเชื่อเรียกร้องความร่วมมือของมนุษย์ด้วยการเลือกพื้นฐาน เลือกที่จะเชื่อพระเยซูเจ้าหรือปฏิเสธพระองค์ และตลอดประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ได้มีชาย-หญิงมากมายที่เชื่อพระเยซูเจ้า และเลือกที่จะเป็นพยานถึงความเชื่อที่ตนเองได้รับด้วยชีวิตของตน เราจึงมีนักบุญมรณสักขีมากมายในพระศาสนจักร

2.           บทเรียนสำหรับเรา

พระวาจาของพระเจ้าในวันนี้ ได้ให้บทเรียนและแนวปฏิบัติสำหรับเราคริสตชนหลายประการ

ประการแรก เราต้องเชื่อในพระเยซูเจ้าและดำเนินชีวิตตามคำสอนของพระองค์ เราได้รับความเชื่อนี้ตั้งแต่วันที่เรารับศีลล้างบาป เราต้องทำให้ความเชื่อนี้เติบโตในชีวิตของเรา ผ่านทางการภาวนาและการรับพระเยซูเจ้าในศีลมหาสนิท เพื่อเราจะมีได้รับพลังและความเข้มแข็งในการเอาชนะความอ่อนแอในตัวเรา และกระแสของโลกปัจจุบันที่ท้าทายเรา

ประการที่สอง เราต้องเลือกพระเยซูเจ้าและหนทางขององค์อย่างสิ้นเชิง เราต้องเลือกพระเยซูเจ้าเป็นลำดับแรกและหนทางของพระองค์คือไม้กางเขน โดยไม่มีเงื่อนไขใดๆ หรือสงวนสิ่งใดไว้สำหรับตนเอง ความคิด ทัศนคติ คุณค่าและมุมมองชีวิตของพระเยซูเจ้า จะต้องกลายเป็นของเราและนำทางชีวิตเราทั้งครบ สิ่งนี้เองจะทำให้เราสามารถเผชิญหน้ากับความไม่เข้าใจ การวิพากษ์วิจารณ์ การดูหมิ่นหรือความยากลำบากใดๆ ในชีวิต

ประการที่สาม เราต้องเชื่อในพระวาจาทรงชีวิต เราจะต้องกล่าวเหมือนนักบุญเปโตรว่า “พวกเราจะไปหาใครเล่า พระองค์ทรงมีพระวาจาแห่งชีวิตนิรันดร” หากเราพยายามที่จะดำเนินชีวิตตามพระวาจาของพระองค์ทุกวัน เราก็จะมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับพระองค์และพระศาสนจักร โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเพื่อนพี่น้องที่อยู่รอบข้างเราและต้องการความช่วยเหลือจากเรา

บทสรุป

พี่น้องที่รัก ความเชื่อในพระเยซูเจ้า ทำให้เราเลือกที่จะติดตามพระองค์ และสามารถกล่าวอย่างมั่นใจว่า

§  พระคริสตเจ้าเป็นแสงสว่างของเรา การออกห่างจากพระองค์ทำให้เราเดินในความมืด
§  พระคริสตเจ้าเป็นชีวิตของเรา ปราศจากพระองค์นำเราไปสู่ความตาย
§  พระคริสเจ้าเป็นความเข้มแข็งของเรา ปราศจากพระองค์ทำให้เราอ่อนแอ
§  พระคริสตเจ้าเป็นความรักของเรา ปราศจากพระองค์ทำให้เราตกอยู่ในวังวนของความเกลียดชัง

ให้เรามาหาพระเยซูเจ้า ผู้เป็นแสงสว่าง ชีวิต ความเข้มแข็งและความรักของเรา เพื่อเราจะมีชีวิตที่สมบูรณ์ในพระองค์ ให้เราได้ตอบคำถามของพระองค์ด้วยตัวของเราเองว่า “ข้าพระองค์จะไปหาใครเล่า ในเมื่อพระองค์มีพระวาจาแห่งชีวิตนิรันดร”  ขออย่าให้พระองค์ได้ตรัสดังนี้กับเราว่า:

§    ท่านเรียกเราว่าอาจารย์ แต่หาได้เชื่อฟังเราไม่
§    ท่านเรียกเราเป็นแสงสว่าง แต่หาได้เห็นเราไม่
§    ท่านเรียกเราเป็นหนทาง แต่หาได้เดินตามเราไม่
§    ท่านเรียกเราเป็นชีวิต แต่หาได้ต้องการเราไม่
§    ท่านเรียกเราเป็นผู้รอบรู้ แต่หาได้ติดตามเราไม่
§    ท่านเรียกเราเป็นความยุติธรรม แต่หาได้รักเราไม่
§    ท่านเรียกเราเป็นผู้ร่ำรวย แต่หาได้ขออะไรเราไม่
§    ท่านเรียกเราเป็นองค์แห่งนิรันดร์ แต่หาได้แสวงหาเราไม่
§    ท่านเรียกเราเป็นผู้เมตตา แต่หาได้ไว้ใจเราไม่
§    ท่านเรียกเราเป็นผู้สูงส่ง แต่หาได้รับใช้เราไม่
§    ท่านเรียกเราเป็นผู้ทรงอำนาจ แต่หาได้ให้เกียรติเราไม่
§    ท่านเรียกเราเป็นความเที่ยงธรรม แต่หาได้เกรงกลัวเราไม่
§    หากเราลงโทษท่าน ก็อย่าได้ตำหนิเราเลย

คุณพ่อขวัญ ถิ่นวัลย์
danielkhuan@hotmail.com
วัดพระคริสตประจักษ์ นาบัว
24 สิงหาคม 2012