วันพฤหัสบดีที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

นักบุญยอห์น ที่ 23



พระธาตุนักบุญนักบุญยอห์น ที่ 23 และยอห์น ปอล ที่ 2
พระสันตะปาปา
บทนำ
ถือเป็นเรื่องที่น่ายินดียิ่งที่พระศาสนจักรไทย ได้รับมอบพระธาตุชั้นหนึ่งของนักบุญผู้ศักดิ์สิทธิ์และยิ่งใหญ่ร่วมสมัยคือ นักบุญยอห์น ที่ 23 และยอห์น ปอล ที่ 2 พระสันตะปาปา เพื่อให้คริสตชนไทยได้แสดงความเคารพและขอพรอย่างใกล้ชิด ในโอกาสที่พระศาสนจักรไทยกำลังจัดการประชุมสมัชชาเรื่องการประกาศข่าวดีใหม่ (New Evangelization) โอกาสครบรอบ 350 ปี แห่ง การประชุมสมัชชาแห่งพระศาสนจักรสยาม ปี ค.ศ. 1664 และครบรอบ 50 ปีของการสถาปนาพระฐานานุกรมของ 8 สังฆมณฑล (Diocese) ในประเทศไทยในปี ค.ศ. 2015
พระธาตุของนักบุญยอห์น ที่ 23 เป็นพระมังสะ (เนื้อ) ของพระองค์ กล่าวคือ เป็นส่วนหนึ่งของพระวรกายที่ไม่เปื่อยเน่า จึงถือว่าเป็นพระธาตุชั้นหนึ่ง ส่วนพระธาตุของนักบุญยอห์น ปอล ที่ 2 นั้น เป็นหยดพระโลหิตของพระองค์ที่โรงพยาบาลเก็บรักษาไว้ขณะที่พระองค์เข้ารับการรักษา จึงเป็นพระธาตุชั้นหนึ่งเช่นเดียวกัน
เวลานี้พระธาตุของนักบุญผู้ศักดิ์สิทธิ์และยิ่งใหญ่ทั้งสอง ได้กำหนดเดินทางมาถึงอัครสังฆมณฑลท่าแร่-หนองแสงของเรา ในวันที่ 10 ธันวาคม 2014 ต่อจากสังฆมณฑลอุบลราชธานี โดยเริ่มต้นที่สองคอนดินแดนแห่งมรณสักขีเป็นแห่งแรก วันเสาร์ที่13 ธันวาคม 2014 โอกาสฉลองประจำปีบุญราศี ก่อนจะส่งมอบไปยังวัดต่างๆ ทั้ง 4 เขต เพื่อให้คริสตชนทุกหมู่เหล่าทั่วสังฆมณฑลได้แสดงความเคารพและวอนขอพระพรเป็นพิเศษ
1.    นักบุญยอห์น ที่ 23 พระสันตะปาปา
1.1  พระประวัติ
นักบุญยอห์น ที่ 23 พระสันตะปาปา มีพระนามเดิมว่า อันเจโล จูเซปเป รอนกัลลี (Angelo Giuseppe Roncalli) เกิดวันที่ 25 พฤศจิกายน ค.ศ. 1881 เป็นบุตรคนที่ 4 ในจำนวนพี่น้อง 13 คนของครอบครัวชาวนาที่เมืองซอตโต อิลมอนเต ประเทศอิตาลี ได้รับเลือกให้เป็นพระสันตะปาปาลำดับที่ 261 วันที่ 28 ตุลาคม ค.ศ. 1958 ขณะที่มีพระชนมายุ 77 พรรษา สิ้นพระชนม์วันที่ 3 มิถุนายน ค.ศ. 1963 ได้รับสถาปนาเป็นบุญราศีวันที่ 3 กันยายน ค.ศ. 2000 โดยพระสันตะปาปายอห์น ปอล ที่ 2 และได้รับสถาปนาเป็นนักบุญวันที่ 27 เมษายน ค.ศ. 2014 โดยพระสันตะปาปาฟรังซิส
แม้จะอยู่ในตำแหน่งเพียงสี่ปีครึ่ง แต่พระองค์ได้ทำในสิ่งที่เป็นคุณูปการยิ่งใหญ่สำหรับพระศาสนจักร นั่นคือ การเรียกประชุมสภาสังคายนาวาติกันที่ 2 เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม ค.ศ. 1962 ทรงมีพระดำรัสว่า พระศาสนจักรจะต้องก้าวไปข้างหน้า ด้วยการแสดงให้เห็นคุณค่าที่แท้จริงของความเชื่อ แทนที่จะแสดงถึงสิ่งที่เป็นการให้ร้ายแก่กัน ซึ่งเป็นการเปิดพระศาสนจักรสู่ความทันสมัย มีชีวิตชีวา และทำให้การประกาศพระวรสารสอดคล้องกับความเจริญของยุคปัจจุบัน
ในส่วนที่เกี่ยวของกับประเทศไทย พระองค์ได้ทรงต้อนรับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ ในวโรกาสที่เสด็จเยือนนครรัฐวาติกันเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม ค.ศ. 1960 ซึ่งถือเป็นเหตุการณ์สำคัญของความสัมพันธ์ระหว่างวาติกันกับประเทศไทย

1.2    มุมมองของ CNN เกี่ยวกับนักบุญยอห์น ที่ 23 พร ะสันตะปาปา
1)       ทรงเกิดเป็นคนจนและภูมิใจในความยากจน  พระองค์เกิดในครอบครัวเกษตรกร และไม่เคยลืมสถานะนี้แม้จะเป็นพระสันตะปาปาแล้ว ทรงบันทึกไว้ว่า ข้าพเจ้าเกิดเป็นคนจน ...และยินดีที่จะตายอย่างคนจน และ ข้าพเจ้าโมทนาคุณพระเจ้าสำหรับพระคุณแห่งความยากจน ซึ่งข้าพเจ้าปฏิญาณที่จะถืออย่างสัตย์ซื่อตั้งแต่วัยหนุ่ม... ซึ่งเป็นสิ่งที่เสริมพลังแก่ความตั้งใจของข้าพเจ้าที่จะไม่เรียกร้องสิ่งใด ไม่ว่าตำแหน่ง เงินทอง หรือชื่อเสียง ทั้งสำหรับตัวเอง หรือญาติพี่น้อง
2)          ทรงช่วยชีวิตชาวยิวจำนวนมากให้รอดจากการตามฆ่าของพวกนาซี ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ขณะดำรงตำแหน่งพระอัครสังฆราชและสมณทูตวาติกันประจำประเทศกรีซ  พระองค์ได้ใช้ตำแหน่งเหล่านี้ช่วยออกเอกสารศีลล้างบาป (Baptismal Certificates) เพื่อช่วยชาวยิวจำนวนมากให้สามารถหลบหนีออกจากยุโรป รอดพ้นจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของพวกนาซี
3)           พระองค์มิใช่พระสันตะปาปายอห์น ที่ 23 องค์แรก เพราะช่วงปี ค.ศ. 1410-1415 พระศาสนจักรมีการแตกแยกและมีพระสันตะปาปาซ้อน  (Anti-Pope) องค์หนึ่งชื่อยอห์น ที่ 23 (มีข้อมูลผิดพลาดในการนับลำดับพระสันตะปาปาที่ใช้พระนามยอห์นว่า ยอห์นที่ 20 ไม่มีตัวตน ดังนั้น Anti-pope ยอห์น ที่ 23 จึงเป็นยอห์นที่   22 นักบุญยอห์นที่ 23 จึงเป็นลำดับที่ถูกต้อง) ประการสำคัญทรงเลือกชื่อนี้เพราะทรงนึกถึงบิดาที่ชื่อยอห์น วัดในวัยเด็ก และพระสันตะปาปาหลายพระองค์ที่ชื่อยอห์น
4)           พระองค์มีบทบาทสำคัญในวิกฤติกาลด้านขีปนาวุธที่คิวบา  ในช่วงสงครามเย็นระหว่างสหรัฐฯและรัสเซียกำลังถึงจุดตึงเครียด พระองค์ทรงวิงวอนผ่านวิทยุวาติกัน ข้าพเจ้าขอวิงวอนบรรดาผู้นำประเทศ โปรดอย่าปิดหูต่อเสียงร้องของมนุษยชาติที่ร้องขอสันติภาพ  คำวิงวอนของพระสันตะปาปาได้ไปถึงหู นิกิต้า ครุสซอฟ (Khrushchev) ผู้นำรัสเซีย ไม่กี่วันหลังจากนั้นรัสเซียได้ถอนขีปนาวุธออกจากคิวบาทำให้ภาวะตึงเครียดลดลง 
5)           พระองค์แตกต่างจากนักบุญองค์อื่นตรงที่มีอัศจรรย์เพียงครั้งเดียว  ตามระเบียบต้องมีอัศจรรย์ยืนยัน 2 ครั้ง แต่นักบุญยอห์น ที่ 23 ทำอัศจรรย์เพียงครั้งเดียว  ยังไม่มีอัศจรรย์ที่ 2 พระสันตะปาปาฟรังซิสทรงใช้สิทธิ์ยกเว้นกฎเรื่องอัศจรรย์ที่ 2 เพื่อแสดงให้เห็นว่า พระสันตะปาปาผู้ยิ่งใหญ่แห่งสังคายนาวาติกันที่ 2 ควรได้รับการยกย่องให้เป็นนักบุญ
1.2    แบบอย่างและคำสอน
1)       ผู้นำพระศาสนจักรต้องเป็นคนศักดิ์สิทธิ์ พระองค์ทรงมุ่งมั่นในการเป็นผู้นำด้านจิตวิญญาณ ทรงบันทึกไว้ว่า “ไม่มีอะไรที่จะมีคุณค่าแก่ประวัติศาสตร์และแก่ชีวิตมนุษย์ ไม่มีสิ่งใดที่จะมีคุณค่าแก่พระศาสนจักรและแก่วิญญาณมนุษย์มากกว่าที่ผู้นำพระศาสนจักรเองเป็นคนศักดิ์สิทธิ์ ทั้งในการกระทำและความรับผิดชอบของตำแหน่ง”
2)       ผู้นำพระศาสนจักรต้องเป็นแบบอย่างในเรื่องความยุติธรรม พระองค์ทรงสนพระทัยในความเป็นอยู่ของคนในงานอภิบาล โดยเฉพาะคนยากจน เช่น คนงานของวาติกันในการเพิ่มค่าจ้างแรงงาน ทรงย้ำว่า “เราจะคาดหวังให้คนอื่นทำตามที่พระศาสนจักรสอนเรื่องความยุติธรรมในสังคมได้อย่างไร ถ้าหากเราเองไม่ได้ปฏิบัติเช่นนั้นในบ้านของเรา พระศาสนจักรต้องเป็นผู้นำในเรื่องความยุติธรรมในสังคมด้วยตัวอย่างที่ดีของตน”
3)       ทุกคนต้องร่วมมือกันในการสร้างสันติสุข  พระองค์ได้ออกสมณสาส์น สันติสุขบนแผ่นดิน (Pacem in Terris) ซึ่งพูดถึง ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และ สิทธิมนุษยชน ซึ่งเป็นสิทธิตามธรรมชาติและสิทธิพื้นฐานต่อการดำรงอยู่ของมนุษย์ ที่เป็นสากลและล่วงละเมิดมิได้ ซึ่งทุกคนต้องร่วมมือกันสร้างสันติสุขให้บังเกิดขึ้นบนแผ่นดิน
นักบุญยอห์น ที่ 23 พระสันตะปาปา ทรงเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงมาสู่พระศาสนจักร ทรงเป็นคนง่ายๆ ตรงไปตรงมา เพียบพร้อมด้วยคุณงามความดีและถือความยากจน นี่คือความศักดิ์สิทธิ์ที่ทุกคนสามารถสัมผัสได้ในชีวิตของพระองค์ ดังนั้น พระองค์จึงไม่ต้องการการอัศจรรย์ใดๆ อีก ดังที่สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิสทรงยืนยันว่า “...ข้าพเจ้าเชื่อในความศักดิ์สิทธิ์ของท่านยอห์น ที่ 23 พระองค์เหมาะสมแล้วที่จะได้รับการแต่งตั้งเป็นนักบุญ”
คุณพ่อขวัญ ถิ่นวัลย์
โรงเรียนเซนต์ยอแซฟกุฉินารายณ์
27 พฤศจิกายน 2014

วันศุกร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

การแข่งขันกีฬาสี 57



คำกล่าวเปิด
การแข่งขันกีฬาภายในโรงเรียนเซนต์ยอแซฟกุฉินารายณ์ ประจำปี 2557
ณ สนามโรงเรียนเซนต์ยอแซฟกุฉินารายณ์ อ.กุฉินารายณ์ จ.กาฬสินธุ์
21 พฤศจิกายน 2557
คณะกรรมการจัดการแข่งขัน แขกผู้มีเกียรติ ท่านผู้ปกครอง คณะครูและลูกๆ นักเรียน ที่รักทุกคน
พ่อรู้สึกดีใจที่ได้มาเป็นประธาน ในพิธีเปิดการแข่งขันกีฬาภายในโรงเรียนเซนต์ยอแซฟกุฉินารายณ์ในปีนี้ การแข่งขันกีฬามีประโยชน์มาก ช่วยให้เรามีร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์ ดังคำขวัญที่ว่า “จิตใจที่แจ่มใส อยู่ในร่างกายที่สมบูรณ์” (SOUND MIND IN SOUND BODY)
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในภาคเรียนที่ 2 ที่มีการเรียนการสอนเข้มข้นขึ้น นักเรียนชั้น ป.6 มีการติว O-net ช่วงเช้า 07.40-8.40 น. และในเวลาเรียนพิเศษตอนเย็น รวมถึงชั้นอื่นๆ เป็นต้นนักเรียนที่ยังอ่านไม่คล่อง มีการมอบหมายให้คุณครูติวเข้มเป็นพิเศษเป็นรายบุคคลในช่วงเวลาดังกล่าว


          การแข่งขันกีฬาภายใน จึงเป็นโอกาสให้นักเรียนได้ผ่อนคลาย แสดงออกถึงความสามารถด้านกีฬาที่ตนเองมีอย่างเต็มที่ มีความสามัคคีเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน และรู้จักใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ ในอันที่จะช่วยให้ลูกๆ นักเรียนได้รับการพัฒนาทุกด้าน และเรียนดียิ่งขึ้น ดังตัวอย่างของ
1) เด็กหญิงศุภรัตน์ สุวรรณไตร ชั้น ป. 4 สอบได้คะแนนสูงสุดของจังหวัด ในการสอบแข่งขันอัจฉริยภาพทางวิชาการ วิชาวิทยาศาสตร์,
2) เด็กหญิงบุญฑริตา หิมะคุณ ชั้น ป.5 สอบได้ลำดับที่ 2 ของจังหวัด วิชา คณิตศาสตร์
3) เด็กชายกฤต สิงหศิริ ชั้น ป. 4 สอบได้ลำดับที่ 3 ของจังหวัด วิชาภาษาอังกฤษ


               เหนือสิ่งอื่นใด การแข่งขันกีฬาเป็นการพัฒนาคุณภาพของลูกๆ นักเรียนทุกคน ให้รู้จักหน้าที่ของตน เคารพกฎ กติกา และมีน้ำใจนักกีฬา “รู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย” ซึ่งเป็น Spirit สำคัญในการดำเนินชีวิต เป็นต้นในสังคมปัจจุบันที่มีการแตกแยกรุนแรง
ขอขอบคุณ คณะกรรมการจัดการแข่งขัน และคณะครูทุกคนที่ช่วยกันจัดการแข่งขันในครั้งนี้อย่างดียิ่ง ขอขอบคุณเป็นพิเศษ สำหรับท่านผู้ปกครองที่ให้การสนับสนุน และมีส่วนทำให้การจัดการแข่งขันในครั้งนี้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี โดยเฉพาะการร่วมเดินพาเหรดกับบุตรหลานมาจนถึงโรงเรียน
พ่อขออำนวยพรให้การแข่งขันกีฬาภายในครั้งนี้ดำเนินไปด้วยความเรียบร้อย บัดนี้ได้เวลาสมควรแล้ว ขอเปิดการแข่งขันกีฬาภายในโรงเรียนเซนต์ยอแซฟกุฉินารายณ์ ประจำปี พุทธศักราช 2557 ณ บัดนี้



คุณพ่อขวัญ ถิ่นวัลย์
danielkhuan@hotmail.com
โรงเรียนเซนต์ยอแซฟกุฉินารายณ์
21 พฤศจิกายน 2557

วันเสาร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

สมัชชาสังฆมณฑลนครแห่งท่าแร่-หนองแสง



สมัชชาสังฆมณฑลนครแห่งท่าแร่-หนองแสง
ร้อยเอ็ด: พระอัครสังฆราชหลุยส์ จำเนียร สันติสุขนิรันดร์ ประธานสภาสมัชชาสังฆมณฑลนครแห่งท่าแร่-หนองแสง, พระสังฆราชฟิลิป บรรจง ไชยรา ประมุขสังฆมณฑลอุบลราชธานี, พระสังฆราชยอแซฟ ชูศักดิ์ สิริสุทธิ์ ประมุขสังฆมณฑลนครราชสีมา และพระสังฆราชยอแซฟ ลือชัย ธาตุวิสัย พร้อมกับพระสงฆ์ นักบวชชายหญิงและตัวแทนฆราวาส จำนวน 78 คน ได้จัดการประชุมสมัชชาฯเรื่อง ศิษย์ของพระคริสต์เจริญชีวิตประกาศข่าวดีใหม่ระหว่างวันที่ 10-14 พฤศจิกายน 2014 ณ โรงแรมเพชรรัชต์การ์เด้น จังหวัดร้อยเอ็ด

การประชุมสมัชชาฯครั้งนี้ ถือเป็นการประชุมสมัชชาย่อยก่อนจะมีการประชุมสมัชชาระดับชาติ ซึ่งถือเป็นห้วงเวลาสำคัญสำหรับบรรดาพระสังฆราช พระสงฆ์ นักบวชชายหญิงและตัวแทนฆราวาสจากสี่สังฆมณฑลภาคอีสาน ได้แสดงความคิดเห็นเพื่อความดีงามของพระศาสนจักรโดยส่วนรวม ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงอย่างรวมเร็วของโลก เป็นการกำหนดนโยบายและทิศทางของพระศาสนจักรในระยะยาว เพื่อใช้เป็นกรอบการอภิบาลทั้งในระดับประเทศและระดับสังฆมณฑลต่อไปในอนาคต
พระคุณเจ้าจำเนียร สันติสุขนิรันดร์ ได้เน้นย้ำในการกล่าวปิดการสมัชชาว่า “การประกาศข่าวดีครั้งแรกเกิดขึ้นในวันพระจิตเจ้าเสด็จลงมาและเป็นวันเกิดของพระศาสนจักร เมื่อบรรดาอัครสาวกร่วมกันภาวนาพร้อมกับพระแม่มารีย์พระมารดาของพระคริสตเจ้าและของเรา แม่พระอยู่ร่วมในการประกาศข่าวดีของอัครสาวกและผู้สืบทอดในทุกที่ของการประกาศ เป็นประสบการณ์ของชุมนุมศิษย์ของพระคริสตเจ้ากลุ่มแรกจากห้องชั้นบน (เทียบ กจ 2) การประกาศข่าวดีหมายถึงการจุดไฟแห่งพระจิตเจ้า ไฟแห่งการประกาศข่าวดีในบรรดาสมาชิกของพระศาสนจักรให้ลุกร้อนขึ้น จนกระทั่งความรักของพระคริสตเจ้าผลักดันให้เราออกไปประกาศข่าวดีใหม่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้”

กระบวนการประชุมสมัชชาฯครั้งนี้ เริ่มจากการประกาศกฤษฎีกาเปิดสมัชชาและพิธีบูชาขอบพระคุณ โดยพระสังฆราชฟิลิป บรรจง ไชยรา การอธิบายเนื้อหาเอกสารประกอบการประชุมสมัชชาฯ (Instrumentum Laboris) โดยวิทยากรซึ่งประกอบด้วย คุณพ่อสมเกียรติ ตรีนิกร, คุณประกาย ชลหาร และอาจารย์พลชาติ ไกรบุตร ก่อนจะมีการประชุมกลุ่มย่อยซึ่งมีจำนวน 7 กลุ่มอีก 7 ครั้ง เพื่อทำความเข้าใจเนื้อหาที่วิทยากรนำเสนอและหาแนวทางในการนำไปปฏิบัติ แล้วให้ตัวแทนนำเสนอประเด็นสำคัญให้ที่ประชุมสมัชชาฯ
กระบวนการประชุมสมัชชาฯครั้งนี้ เป็นกระบวนเดียวกันกับสมัชชาพระสังฆราชของพระศาสนจักรสากล (Synod) ที่สมาชิกผู้เข้าร่วมการประชุมสัมัชชาฯทุกคนต้องศึกษาเอกสารประกอบการประชุมสมัชชาฯล่วงหน้าอย่างละเอียด เพื่อไตร่ตรองและทำความเข้าใจในประเด็นต่างๆ และเขียนความเห็นส่วนตัวโดยคำนึงถึงความดีส่วนรวมของพระศาสนจักร นำเสนอความเห็นในการประชุมกลุ่มย่อยและส่งให้กองเลขาสมัชชาฯ ซึ่งจะทำหน้าที่รวบรวมและสรุปประเด็นสำคัญ สังเคราะห์และนำเสนอต่อที่ประชุมสมัชชาฯ ต่อไป

ที่สุด การประชุมสมัชชาฯครั้งนี้ จบลงด้วยพิธีบูชาขอบพระคุณ ซึ่งพระคุณเจ้าจำเนียร สันติสุขนิรันดร์ ได้กล่าวปิดการสมัชชาฯตอนหนึ่งว่า “พระศาสนจักรคาทอลิกในประเทศไทย ในฐานะเป็นเครื่องหมายและเครื่องมือในการประกาศข่าวดี เพื่อสถาปนาพระอาณาจักรของพระเจ้า ซึ่งเป็นพระอาณาจักรแห่งความยุติธรรม สันติ และความรัก พระศาสนจักรจะต้องเป็นผู้ประกาศข่าวดี และสามารถนำทุกคนให้ก้าวไปสู่พุน้ำแห่งชีวิตคือ องค์พระคริสตเจ้า ด้วยพันธกิจรักและรับใช้ด้วยความรักเมตตา อยู่ข้างทุกคนเป็นต้นคนยากไร้ ช่วยเหลือและคุ้มครองสิทธิและศักดิ์ศรีมนุษย์ และผู้ที่ไม่ได้รับความยุติธรรมในรูปแบบต่างๆ พร้อมทั้งมุ่งพัฒนาคุณภาพชีวิตทั้งฝ่ายกายและฝ่ายจิตแก่พี่น้องทุกคน”
อนึ่ง ผู้เข้าร่วมการประชุมสมัชชาฯครั้งนี้ ได้รับแต่งตั้งจากพระอัครสังฆราชหลุยส์ จำเนียร สันติสุขนิรันดร์ ประธานสภาสมัชชาฯและประมุขอัครสังฆมณฑลท่าแร่-หนองแสง ประกอบด้วย อัครสังฆมณฑลท่าแร่-หนองแสง 25 คน, สังฆมณฑลอุบลราชธานี 20 คน, สังฆมณฑลนครราชสีมา 12 คน และสังฆมณฑลอุดรธานี 21 รวมผู้เข้าร่วมสมัชชาฯทั้งหมด 78 คน โดยมี คุณพ่อวีระเดช ใจเสรี เป็นเลขาธิการสมัชชาฯ และคุณพ่อวัชรินทร์ ต้นปรึกษา เป็นผู้ดำเนินการประชุมสมัชชาฯ


Don Daniele รายงาน
danielkhuan@hotmail.com
โรงเรียนเซนต์ยอแซฟกุฉินารายณ์
15 พฤศจิกายน 2014