วันเสาร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ครอบครัวศักดิ์สิทธิ์แบบอย่างครอบครัวคริสตชน



ครอบครัวศักดิ์สิทธิ์แบบอย่างครอบครัวคริสตชน
วันอาทิตย์ที่ 29 ธันวาคม
ฉลองครอบครัวศักดิ์สิทธิ์
ปี A
บสร 3:3-7, 14-17
คส 3:12-21
มธ 2:13-15, 19-23
บทนำ
สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิสทรงเล่าเรื่องหนึ่งที่พระองค์เคยได้ยินเวลาเป็นเด็ก มีครอบครัวหนึ่งประกอบด้วยพ่อแม่และลูกอีกหลายคน มีคุณปู่อาศัยอยู่ด้วย ปู่ซึ่งอายุมากและป่วยเป็นโรคพากินสัน เวลารับประทานอาหารชอบทำอาหารหล่นเต็มโต๊ะและเลอะเทอะเปรอะเปื้อนใบหน้า บุตรชายกับบุตรสะใภ้รู้สึกรังเกียจและรำคาญ บุตรชายจึงหาโต๊ะเล็กๆ ให้พ่อได้กินคนเดียวแยกต่างหาก เพื่อจะได้ไม่รบกวนคนอื่นในครอบครัว
วันหนึ่งบุตรชายกลับมาบ้านก็พบลูกชายของตน (หลานปู่) กำลังตอกไม้กระดาน จึงถามว่า “ลูกกำลังทำอะไร” ลูกชายตอบว่า “ผมกำลังทำโต๊ะ” “ทำไมละ” ผู้เป็นบิดาถาม เด็กน้อยตอบว่า “สำหรับคุณพ่อไง เมื่อพ่ออายุมากเหมือนปู่ ผมจะให้พ่อนั่งกินอาหารที่โต๊ะนี้” ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา บุตรชายจึงจัดให้ปู่รับประทานอาหารร่วมโต๊ะและคอยช่วยเหลือเวลารับประทานอาหารอย่างมีความสุข
สมเด็จพระสันตะปาปาตรัสว่า “ปู่ย่าตายายเป็นสมบัติอันล้ำค่า แม้ว่าผู้อาวุโสเหล่านี้จะไม่สวยสดงดงาม มีแต่โรคภัยไข้เจ็บ แต่ปรีชาญาณของปู่ย่าตายายของเราเป็นเหมือนมรดกที่เราต้องรักษาไว้ สังคมใดที่ไม่เห็นคุณค่า ไม่ให้ความเคารพและไม่ดูแลเอาใจใส่ผู้อาวุโสเหล่านี้ เป็นสังคมที่ไร้รากและไม่มีอนาคตเพราะขาดความทรงจำที่ดี”
ในสัปดาห์สุดท้ายของปีพระศาสนจักรให้เราฉลองครอบครัวศักดิ์สิทธิ์ ที่ประกอบด้วยพระเยซูเจ้า พระนางมารีย์และนักบุญยอแซฟ ในวันนี้ให้เราได้มอบถวายครอบครัวของเราและสมาชิกทุกคนในครอบครัวและหมู่คณะ บนพระแท่นบูชาเพื่อขอพระพรจากครอบครัวศักดิ์สิทธิ์ วันฉลองนี้เตือนใจเราถึงความเป็นหนึ่งเดียวของพระศาสนจักรสากล แต่ละครอบครัวได้รับการเรียกสู่ความศักดิ์สิทธิ์ เช่นเดียวกับครอบครัวศักดิ์สิทธิ์ของพระเยซูเจ้า

1.         ครอบครัวศักดิ์สิทธิ์ แบบอย่างครอบครัวคริสตชน
ครอบครัวเป็นหน่วยแรกและสำคัญที่สุด เพราะเป็นแผนการของพระเจ้าตั้งแต่แรกสร้างโลก ที่ไม่ทรงประสงค์ให้มนุษย์อยู่โดยลำพัง พระองค์ทรงสร้างมนุษย์ให้เป็นครอบครัว อีกทั้งตั้งใจให้บุตรของพระเจ้าเกิดมาเป็นมนุษย์ในครอบครัว ในสภาพที่เหมือนเราทุกอย่างเว้นแต่บาป พระเยซูเจ้าจึงได้เสด็จมาในโลกที่พระองค์ทรงสร้าง ทรงบังเกิดมาในครอบครัวที่มีแม่พระและนักบุญยอแซฟที่นาซาเร็ธ
การฉลองครอบครัวศักดิ์สิทธิ์ เป็นการระลึกถึงชีวิตครอบครัวของพระเยซูเจ้าซึ่งดำเนินชีวิตในความรัก เห็นอกเห็นใจและเคารพซึ่งกันและกัน เป็นแบบอย่างในการแบ่งปันความยินดี ความรับผิดชอบและการร่วมทุกข์ร่วมสุขในครอบครัว พระศาสนจักรจึงยกย่องให้เป็นครอบครัวศักดิ์สิทธิ์ และเป็นแบบอย่างของครอบครัวทั้งหลาย นอกนั้น การฉลองครอบครัวศักดิ์สิทธิ์ยังเรียกเราให้มุ่งความสนใจไปที่ครอบครัวคริสตชนทุกครอบครัว และวอนขอพระพรจากพระเจ้าสำหรับเราครอบครัวของเราแต่ละคน
พระวรสารไม่ได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับครอบครัวศักดิ์สิทธิ์มากนัก แต่เราเข้าใจว่านักบุญยอแซฟเป็นคนที่ยำเกรงพระเจ้า ปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระองค์โดยไม่มีเงื่อนไข เป็นบุคคลที่มีหัวใจเปิดสู่พระเจ้า เชื่อฟังและพร้อมจะเผชิญความยากลำบากทุกอย่าง เพื่อปกป้องพระกุมารและแม่พระให้ได้รับความปลอดภัย จึงได้ชื่อว่าเป็น “ผู้ชอบธรรม” ที่มีความรับผิดชอบในฐานะหัวหน้าครอบครัว ขณะที่แม่พระเป็นคู่ชีวิตที่รับผิดชอบดูแลครอบครัวและมีส่วนในความยากลำบากต่างๆ ในการทำตามพระประสงค์ของพระเจ้าอย่างเงียบๆ
ในพระวรสารของนักบุญมัทธิว ได้แสดงภาพของความเป็นหนึ่งเดียวของครอบครัวนี้ว่า สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นหนึ่งเดียวที่ลึกซึ้งของพระตรีเอกภาพ อันเป็นความสัมพันธ์แห่งความรักที่สมบูรณ์ ที่แสดงออกให้เห็นในชีวิตของพระเยซูเจ้า แม่พระ และนักบุญยอแซฟ นั่นคือ พระเยซูเจ้า องค์สันติราชาได้ทรงส่องสว่างและทำให้ชีวิตของท่านทั้งสองมีชีวิตชีวา เป็นครอบครัวที่มีสันติสุข กลมเกลียว และร่าเริงยินดี

2.         บทเรียนสำหรับเรา
การฉลองครอบครัวศักดิ์สิทธิ์และพระวาจาของพระเจ้าในสัปดาห์นี้ ได้ให้บทเรียนที่สำคัญสำหรับเราคริสตชนในปัจจุบันหลายประการ
ประการแรก เราต้องเลียนแบบครอบครัวศักดิ์สิทธิ์ ด้วยการมองดูแบบอย่าง การส่งเสริมและให้กำลังใจกันของครอบครัวนี้ ซึ่งแม่พระและนักบุญยอแซฟต่างทำงานหนัก ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เข้าใจและยอมรับซึ่งกันและกันในฐานะของประทานจากพระเจ้า อีกทั้ง ช่วยกันดูแลพระเยซูเจ้าให้เติบโตขึ้นในความเป็นมนุษย์และการเป็นบุตรของพระเจ้า บิดา-มารดาต้องเป็นครูคนแรกที่สอนลูกให้มีความรู้และรู้จักพระเจ้า ประการสำคัญ ต้องมีความรับผิดชอบในการเป็นตัวอย่างที่ดีแก่บุตรของตน
ประการที่สอง เราต้องทำให้ครอบครัวของเราเป็นครอบครัวศักดิ์สิทธิ์ ครอบครัวเป็นหน่วยเล็กที่เป็นพื้นฐานของพระศาสนจักรสากล และแต่ละครอบครัวได้รับการเรียกสู่ความศักดิ์สิทธิ์ พระเยซูเจ้าทรงตั้งศีลศีลสมรส เพื่ออวยพรคู่บ่าว-สาวและครอบครัวของเขาให้ศักดิ์สิทธิ์ สามี-ภรรยาจะบรรลุถึงความศักดิ์สิทธิ์เมื่อต่างทำหน้าที่ของตนอย่างซื่อสัตย์ วางใจในพระเจ้าและทำให้พลังของพระจิตปรากฏในชีวิต ผ่านทางการรำพึงภาวนา การอ่านพระคัมภีร์และการไปร่วมพิธีบูชาขอบพระคุณ ครอบครัวจะศักดิ์สิทธิ์เมื่อมีพระเยซูเจ้าประทับอยู่ท่ามกลาง
ประการที่สาม เราต้องเคารพเชื่อฟังและเลี้ยงดูบิดา-มารดา พระเยซูเจ้าเสด็จกลับไปยังนาซาเร็ธพร้อมกับแม่พระและนักบุญยอแซฟและเคารพเชื่อฟังท่านทั้งสอง ทรงทำงานช่างไม้ สานต่อกิจการของครอบครัวจากนักบุญยอแซฟเพื่อเลี้ยงครอบครัว คนซึ่งเป็นลูกจึงต้องเคารพเชื่อฟังและให้เกียรติบิดา-มารดา หนังสือบุตรสิราบอกเราว่า “บุตรที่ให้เกียรติบิดาจะมีอายุยืน... บุตรที่ละทิ้งบิดาก็เหมือนผู้กล่าวดูหมิ่นพระเจ้า” เราจึงมีหน้าที่ต่อบิดา-มารดา ดูแลและเลี้ยงดูท่านยามชราภาพ มิใช่ปล่อยให้อยู่ตามลำพังและตายอย่างโดดเดียว

บทสรุป
พี่น้องที่รัก การฉลองครอบครัวศักดิ์สิทธิ์ของพระเยซูเจ้า ควรเป็นโอกาสให้เราได้พิจารณาไตร่ตรองถึงความสัมพันธ์ในครอบครัวของเรา การอยู่ร่วมกันระหว่างพ่อ-แม่-ลูกเป็นไปตามรูปแบบของครอบครัวศักดิ์สิทธิ์มากน้อยเพียงใด เราจะต้องมีความรักต่อกันตามแบบอย่างของครอบครัวศักดิ์สิทธิ์  โดยเฉพาะคนที่เป็นสามี-ภรรยาจะต้องรักและซื่อสัตย์ต่อกันต่อกันจนวันตาย ตามคำสัญญาที่เราได้ให้ไว้ในวันแต่งงาน
บิดา-มารดาต้องเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน รับผิดชอบต่อครอบครัวและทำหน้าที่ของตนอย่างซื่อสัตย์เพื่อจะได้บรรลุถึงความศักดิ์สิทธิ์ “ของขวัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่พ่อแม่สามารถให้แก่ลูกได้คือความรักที่พวกเขามีต่อกัน” (Anon) คนที่เป็นบุตรเช่นเดียวกัน ต้องเคารพเชื่อฟังบิดา-มารดา ไม่ทำให้ท่านเสียใจ กตัญญูและดูแลท่านยามแก่เฒ่า ทั้งนี้เพื่อความผาสุกของสังคม ประเทศชาติและพระศาสนจักร ดังคำกล่าวที่ว่า “ครอบครัวดี คนดี สังคมดี”
ขอพระเจ้าประทานพระพรอันอุดมแก่ทุกครอบครัวโอกาสปีใหม่นี้ และตลอดไป
คุณพ่อขวัญ ถิ่นวัลย์
danielkhuan@hotmail.com
โรงเรียนเซนต์ยอแซฟกุฉินารายณ์
28 ธันวาคม 2013

วันศุกร์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2556

อิมมานูแอล พระเจ้าสถิตกับเรา



อิมมานูแอล พระเจ้าสถิตกับเรา
วันอาทิตย์
สัปดาห์ที่ 4 เทศกาลเตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้า
ปี A
อสย 7:10-14
รม 1:1-7
มธ 1:18-24
บทนำ
เมื่อกว่าร้อยปีก่อนที่ยังมีการปล่อยเกาะผู้ป่วยโรคเรื้อน คุณพ่อดาเมียน เด เวาส์เตอร์ พระสงฆ์ชาวเบลเยี่ยม ได้เดินทางไปดูแลคนโรคเรื้อนที่เกาะโมโลไก ซึ่งเป็นเกาะเล็กๆ ใกล้หมู่เกาะฮาวาย สิ่งแรกที่คุณพ่อดาเมียนทำคือหาแหล่งน้ำจืดบนเขา เมื่อพบแล้วได้วางรางน้ำจืดมายังนิคมโรคเรื้อน จากนั้นได้สร้างสถานพยาบาลเพื่อดูแลเรื่องสุขภาพอนามัยของผู้ป่วยโรคเรื้อน และร่วมแรงร่วมใจกันสร้างวัดน้อยขึ้นเพื่อสรรเสริญพระเจ้า
ทุกวันอาทิตย์คุณพ่อดาเมียลได้ถวายมิสซาและเริ่มบทเทศน์ของท่านด้วยคำว่า “ลูกคนโรคเรื้อนทั้งหลาย พระเจ้ารักลูกนะ” คุณพ่อพูดเช่นนี้ปีแล้วปีเล่า ที่สุดวันอาทิตย์วันหนึ่ง คุณพ่อเริ่มต้นบทเทศน์ว่า “เราผู้ป่วยโรคเรื้อนทั้งหลาย พระเจ้ารักเรานะ” คุณพ่อได้กลายเป็นคนโรคเรื้อนเช่นเดียวกับพวกเขา อีกทั้งยังคงอุทิศตนรักและรับใช้พวกเขาจนกระทั่งสิ้นชีวิต
วีรกรรมของคุณพ่อดาเมียนที่ปฏิบัติต่อคนโรคเรื้อน เป็นการเลียนแบบพระเยซูเจ้า ผู้เป็น “อิมมานูแอล” พระเจ้าสถิตกับเรา ที่มอบชีวิตเพื่อเราคนบาป ทุกสิ่งที่พระองค์กระทำเป็นการทำให้คำทำนายของประกาศกอิสยาห์เป็นจริง “หญิงพรมจารีจะตั้งครรภ์และจะคลอดบุตรชาย ซึ่งจะได้รับนามว่า อิมมานูแอล แปลว่า พระเจ้าสถิตกับเรา” (มธ 1:23)
เรามาถึงสัปดาห์สุดท้ายของเทศกาลเตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้า ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ช่วยให้เราได้ตระหนักว่า “อิมมานูแอล พระเจ้าสถิตกับเรา” ซึ่งเป็นหัวใจของความเชื่อคริสตชน เพื่อว่าเราจะได้ไม่ต้องรอคอยพระองค์อีกต่อไป การบังเกิดมาของพระเยซูเจ้าเป็นเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์ที่แสดงให้เห็นว่า พระองค์ประทับอยู่ท่ามกลางเราแล้ว เป็นต้นในเพื่อนพี่น้อง และในบุคคลต่างๆ ที่เราพบเห็น

1.         อิมมานูแอล พระเจ้าสถิตกับเรา
เรื่องราวชีวิตในวัยเยาว์ของพระเยซูเจ้าตามคำเล่าของนักบุญมัทธิว มีเนื้อหาที่แตกต่างจากฉบับอื่น มัทธิวไม่ได้เริ่มประวัติของพระเยซูเจ้าจากแม่พระ แต่เริ่มจากนักบุญยอแซฟ เพื่อแสดงให้ชาวยิวที่เป็นคริสตชนได้เข้าใจว่า พระเยซูเจ้าเป็นพระแมสิยาห์ที่ชาวยิวรอคอย ซึ่งสืบเชื้อสายมาจากกษัตริย์ดาวิดผ่านทางยอแซฟ พระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดที่ทำให้คำสัญญาของพระเจ้าสำเร็จไป และทรงเป็น “อิมมานูแอล” ที่ทำให้คำทำนายของบรรดาประกาศกปรากฏเป็นจริง
มัทธิวไม่เพียงได้ประกาศว่าคำทำนายของประกาศกอิสยาห์เป็นจริงแล้วเท่านั้น แต่ยังได้อธิบายความหมายของคำว่า “อิมมานูแอล” แปลว่า พระเจ้าสถิตกับเรา นี่คือข่าวดีแห่งการประทับอยู่ของพระเจ้าท่ามกลางเรา ซึ่งมัทธิวเน้นเป็นพิเศษในพระวรสารของท่าน ดังนั้น พระวรสารของมัทธิวจึงจบลงด้วยพระดำรัสของพระเยซูเจ้าผู้กลับคืนชีพ ที่ตรัสกับพระศาสนจักรที่เพิ่งเริ่มต้นว่า “เราจะอยู่กับพวกท่านเสมอไปจนสิ้นพิภพ” (มธ 28:20)
วันพระคริสตสมภพกำลังใกล้เข้ามา การเฉลิมฉลองนี้เตือนเราว่าพระเจ้าทรงรับเอากายบังเกิดเป็นมนุษย์และประทับท่ามกลางเรา  เทศกาลพระคริสตสมภพจึงเป็นเทศกาลที่เราจะต้องตระหนักถึงการประทับอยู่ของพระเจ้าท่ามกลางเรา พระเจ้าไม่เพียงประทับอยู่กับเราในสิ่งสร้าง ในพระวาจา แต่ในบุคคลที่มีตัวตนจริงในประวัติศาสตร์คือองค์พระคริสตเจ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบุคคลที่ถูกทอดทิ้งและต้องการความช่วยเหลือ “ท่านทำสิ่งใดต่อพี่น้องผู้ต่ำต้อยที่สุดคนหนึ่งของเรา ท่านก็ทำสิ่งนั้นต่อเรา” (มธ 25:40)

2.         บทเรียนสำหรับเรา
พระวาจาของพระเจ้าวันนี้ได้ให้บทเรียนที่สำคัญสำหรับเราคริสตชนหลายประการ ในการนำไปปฏิบัติในชีวิตประจำวัน
ประการแรก เราต้องเชื่อวางใจและฟังเสียงของพระเจ้าเหมือนนักบุญยอแซฟ แม้ว่าเราจะประสบปัญหาด้านเศรษฐกิจ ปัญหาครอบครัวและสุขภาพ โดยเฉพาะปัญหาด้านการเมืองที่ไร้ทางออก ให้เราได้เชื่อและวางใจพระเจ้าเช่นเดียวกับนักบุญยอแซฟ ด้วยการภาวนาและฟังเสียงของพระองค์ที่ตรัสกับเราทางพระคัมภีร์ เพื่อเราจะสามารถต้อนรับองค์พระคริสต์เจ้าเข้ามาในจิตใจของเรา และเจริญชีวิตในพระองค์ตลอดเทศกาลพระคริสตสมภพนี้
ประการที่สอง เราต้องเป็นพยานถึงข่าวดีแห่งการประทับอยู่ของพระเจ้า เมื่อพระเจ้าสถิตกับเรา ดังนั้น ชีวิตของเราจะต้องเป็นชีวิตที่มีเป้าหมายและสะท้อนให้เห็นถึงการประทับอยู่ของพระเจ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในท่าที ในความเอาใจใส่ และในความสัมพันธ์ของเรากับพระเจ้าและผู้อื่น เพราะพระคริสต์เจ้าได้เสด็จมาเพื่อนำข่าวดีแห่งความรักของพระเจ้ามาให้เรา ทรงพระชนม์อยู่เพื่อเราและประทับอยู่กับเรา ให้เราได้ต้อนรับซึ่งกันและกัน ทำให้คนอื่นมีความสุข และรักซึ่งกันเหมือนพระเจ้าทรงรักเรา
ประการที่สาม ให้เราเป็นของขวัญคริสต์มาสสำหรับผู้อื่น ของขวัญที่ดีที่สุดที่เราสามารถมอบให้กับบุคคลที่เรารักคือ ความวางใจซึ่งกันและกัน เชื่อในความฝันของพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นความฝันของสามี ภรรยา บุตร บิดามารดา หรือเพื่อนของเรา และพยายามสุดความสามารถที่จะทำให้ฝันของพวกเขาเป็นจริง บนพื้นฐานแห่งความรักแบบคริสตชนที่พระคริสตเจ้า ของขวัญอันประเสริฐที่พระเจ้าทรงมอบให้เรา

บทสรุป
พี่น้องที่รัก เทศกาลพระคริสตสมภพมาถึงแล้วก็ผ่านไป พระศาสนจักรได้ยืนยันเสมอมาว่า พระเจ้าสถิตกับเราในพระเยซูเจ้า และพระเยซูเจ้าจะประทับอยู่กับเราจนสิ้นพิภพ แต่บ่อยครั้งเราไม่ได้ตระหนักถึงการประทับอยู่ของพระเจ้าท่ามกลางเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเพื่อนพี่น้องที่อยู่รอบข้าง ที่เดือดร้อนและต้องการความช่วยเหลือ เราแต่ละคนเป็นเหมือนยากอบที่เบธเอล ซึ่งตื่นขึ้นมาและพูดว่า “พระเจ้าทรงสถิต ณ ที่นี้แน่ทีเดียว แต่ข้าหารู้ไม่” (ปฐก 28:16)
พระเจ้าทรงแจ้งให้ยอแซฟทราบถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นตามแผนการที่วางไว้ นักบุญยอแซฟแม้ไม่เข้าใจเหตุการณ์ทั้งหมด แต่นอบน้อมเชื่อฟังและทุ่มเทอย่างเต็มที่ ให้เราได้น้อมรับแผนการและพระประสงค์ของพระเจ้าที่มีต่อเราเช่นเดียวกันแม้ไม่เข้าใจ และทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายอย่างเต็มกำลัง วันนี้เราถูกท้าทายให้ฟังและได้ยินเสียงของพระเจ้าที่เสด็จเข้ามาในชีวิตของเราในหลายหลายวิธี ผ่านทางบุคคลหลายรูปแบบ และในทุกย่างก้าวของชีวิต เพื่อเราจะได้สำนึกเสมอว่า “อิมมานูแอล พระเจ้าสถิตกับเรา”
คุณพ่อขวัญ ถิ่นวัลย์
danielkhuan@hotmail.com
โรงเรียนเซนต์ยอแซฟกุฉินารายณ์
19 ธันวาคม 2013

วันจันทร์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2556

คริสต์มาส ประวัติและประเพณี



คริสต์มาส ประวัติและประเพณี
โดย คุณพ่อมิเกล  กาไรซาบาล
ประวัติวันคริสต์มาส
คริสต์มาส คือการฉลองการบังเกิดของพระเยซูเจ้าที่เราเฉลิมฉลองกันในวันที่ 25 ธันวาคม คำว่า "คริสต์มาส" เป็นคำทับศัพท์ภาษาอังกฤษ Christes Maesse ที่แปลว่า บูชามิสซาของพระคริสตเจ้า เพราะการเข้าร่วมพิธีมิสซา เป็นประเพณีสำคัญที่สุดที่ชาวคริสต์ถือปฏิบัติกันในวันคริสต์มาส
คำว่า Christes Maesse พบครั้งแรกในเอกสารโบราณเป็นภาษาอังกฤษ ในปี 1038 และคำนี้ก็แปรเปลี่ยนมาเป็นคำว่า Christmas ในภาษาไทย “คริสต์มาส” ก็มีความหมายเช่นกัน คำว่ามาส แปลว่า เดือน เทศกาลคริสต์มาสจึงเป็นเดือนที่เราระลึกถึงพระเยซูเจ้าคริสตเจ้าเป็นพิเศษ อีกความหมายหนึ่งของคำว่ามาส คือดวงจันทร์ ฉะนั้น จึงตีความหมายเป็นภาษาไทยได้อีกอย่างหนึ่ง คือพระเยซูเจ้าเป็นความสว่างของโลก เหมือนด วงจันทร์เป็นความสว่างในตอนกลางคืน
คำทักทายที่เราได้ฟังบ่อยๆ ในเทศกาลนี้คือ Merry Christmas คำว่า Merry ในภาษาอังกฤษโบราณแปลว่าสันติสุข และความสงบทางใจ เพราะฉะนั้น คำนี้จึงเป็นคำที่ใช้อวยพรคนอื่น ขอให้เขาได้รับสันติสุข และความสงบทางใจ เนื่องในโอกาสเทศคริสต์มาส

ความเป็นมาของเทศกาลคริสต์มาส
ชาวไทยฉลอง “วันเฉลิมพระชนมพรรษา” วันที่ 5 ธันวาคม เพื่อระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระมหากษัตริย์ทุกปี ในสมัยโบราณก็มีประเพณีเช่นเดียวกัน
ชาวโรมันมีการระลึกถึงการสมภพของพระจักรพรรดิ คนท้องถิ่นอื่นก็ระลึกถึงและเฉลิมฉลองวันเกิดของกษัตริย์ หรือผู้ปกครองบ้านเมืองของตนด้วยความยินดี แม้แต่ชาวยิวในสมัยของพระเยซูเจ้าเองก็ฉลองการเกิดของกษัตริย์เฮโรด เช่นเดียวกัน (มธ14:16)  เพราะฉะนั้น จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่ชาวคริสต์สมัยโบราณถือเอาประเพณีของชนในท้องถิ่นนั้นมาประยุกต์เข้ากับศาสนา โดยจัดให้มีการฉลอง เพื่อระลึกถึงการบังเกิดของพระเยซูเจ้า ที่เขายกย่องเหมือนกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งสากลโลก ผู้ทรงเกียรติเลอเลิศ ประเพณีนี้ได้เริ่มมาจากกรุงโรม ในศตวรรษที่ 4 และค่อยๆ เผยแพร่ไปทุกทวีป         

ทำไมจึงฉลองวันที่ 25 ธันวาคม
ตามหลักฐานในพระวรสาร (ลก 2:1-3) มีว่า พระเยซูเจ้าบังเกิดในสมัยที่จักรพรรดิซีซาร์ ออกัสตัส ให้จดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งแผ่นดิน โดยมีคีรินิอัส เป็นเจ้าเมืองซีเรียซึ่งในพระวรสารไม่ได้บอกว่าเป็น วันหรือเดือนอะไร สมัยก่อน คริสตชนคิดเอาว่าที่มีการฉลองคริสต์มาสในวันที่ 25 ธันวาคมนี้ ก็เพราะเป็นวันเกิดของพระเยซูเจ้าตามทะเบียนเกิด ซึ่งเป็นเอกสารที่คีรินิอัสเก็บไว้ แต่ที่จริงแล้ว เอกสารนี้ได้สูญหายไปหมดแล้ว นักประวัติศาสตร์ไม่สามารถค้นพบได้
นักประวัติศาสตร์หาสาเหตุต่างๆว่า ทำไมคริสตชนเลือกเอาวันที่ 25 ธันวาคม เป็นวันฉลองคริสต์มาส ตั้งแต่ศตวรรษที่ 4 เป็นต้นมา และก็อธิบายต่างๆ กัน แต่คำอธิบายหนึ่งสมเหตุสมผล หรือมีน้ำหนักมากที่สุดคือ ในปี ค.ศ. 274 จักรพรรดิ AURELIAN ได้กำหนดในวันที่ 25 ธันวาคม เป็นวันฉลองวันเกิดของสุริยเทพผู้ทรงพลัง กล่าวตามความรู้ทางวิชาดาราศาสตร์สมัยนั้นเห็นว่า วันนั้นเป็นวันที่ดวงอาทิตย์อยู่ไกลที่สุดจากเส้นศูนย์สูตรของโลก และเริ่มหมุนไปทางด้านเหนือของท้องฟ้า วันใหม่เริ่มยาวขึ้น ชาวโรมันฉลองวันนี้อย่างสง่า และถือเสมือนว่าเป็นวันฉลองของพระจักรพรรดิไปในตัวด้วย เพราะพระจักรพรรดิก็เปรียบเสมือนดวงอาทิตย์ ที่ให้ความสว่างแก่มนุษย์ ชาวคริสต์ที่อยู่ในจักรวรรดิโรมันรู้สึกอึดอัดใจที่ฉลองวันเกิดของสุริยเทพตามประเพณีชาวโรมัน จึงหันมาฉลองการบังเกิดของพระเยซูเจ้าแทนในวันที่ 25 ธันวาคม ค.ศ. 330 เริ่มมีการฉลองคริสต์มาสอย่างเป็นทางการและอย่างเปิดเผย เนื่องจากก่อนนั้นมีการเบียดเบียนคริสตชนอย่างรุนแรง (ตั้งแต่ปี ค.ศ. 64-313) ทำให้คริสตชนไม่มีโอกาสฉลองอะไรอย่างเปิดเผย
อีกนัยหนึ่ง ชาวคริสต์ได้เห็นว่าในพระคัมภีร์ (มลค 4:2) เรียกพระเจ้าว่าเป็นดวงอาทิตย์แห่งความชอบธรรม จึงเห็นว่ามีหลักฐานในพระคัมภีร์สนับสนุนให้ถือวันที่ 25 ธันวาคม เป็นวันเกิดของพระเยซู
วิวัฒนาการของการฉลองคริสต์มาส
การฉลองคริสต์มาสแพร่มาจากกรุงโรม ไปยังทุกประเทศ พร้อมกับศาสนาคริสต์ที่ค่อยๆแผ่ขยายไปในที่ต่างๆจนในปี ค.ศ. 1100 ประชาชนก็เป็นคริสตชนทั้งหมดทั่วยุโรปและก็มีการฉลองวันคริสต์มาสพร้อมกันในยุโรป เพราะถือว่าเป็นวันสำคัญวันหนึ่งในศาสนา
เราสามารถแบ่งวิวัฒนาการของการฉลองวันคริสต์มาสเป็น 4 ช่วง คือ
1) ค.ศ. 330-1100 ช่วงนี้เป็นช่วงแห่งการเผยแพร่ศาสนาคริสต์ ที่ละเล็กที่ละน้อยก็มีการฉลองวันคริสต์มาสและก็มีการเริ่มเทศกาลเตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้า เป็นเวลา 4 สัปดาห์ ก่อนคริสต์มาส เป็นเวลาเตรียมตัวโดยการใช้โทษบาป อดอาหาร และภาวนาเป็นพิเศษ
2) ค.ศ. 1100 - ศตวรรษที่ 16 ช่วงนี้มีการพัฒนาประเพณีต่างๆ ที่เกี่ยวกับการฉลองคริสต์มาส เช่น การแต่งเพลงคริสต์มาส การทำถ้ำพระกุมาร การทำต้นคริสต์มาส
3) ศตวรรษที่ 16-19 ระยะนี้มีการแตกแยกในคริสตศาสนา เกิดนิกายบางนิกายขึ้นมา ซึ่งบางนิกายไม่สนับสนุนให้มีการฉลองคริสต์มาส ด้วยเหตุผลที่ว่าคริสต์มาสเป็นวันที่มนุษย์เลือกเอาเองโดยได้รับอิทธิพลจากชาวโรมัน ที่ฉลองดวงอาทิตย์คล้ายเป็นพระเจ้าของเขา และชาวบ้านก็ให้ความสำคัญแก่วันนี้มากกว่าวันอาทิตย์ ซึ่งเป็นวันที่พระเจ้ากำหนดให้เป็นวันศักดิ์สิทธิ์ แต่อย่างไรก็ตาม ชาวคาทอลิกพร้อมกับคริสต์ศาสนาหลายๆ นิกาย เช่น Lutheran เป็นต้น ยังรักษาการฉลองนี้ไว้ด้วยความอบอุ่น และศรัทธาจนถึงปัจจุบัน
4) ศตวรรษที่ 19 - ปัจจุบัน เริ่มมีการประเพณีอื่นทางโลกแทรกเข้ามา ซึ่งมีอิทธิพลต่อการฉลองนี้มาก เช่นเรื่องซานตาคลอส การให้ของขวัญ การส่งบัตรอวยพรคริสต์มาส ซึ่งร้านต่างๆยินดีสนับสนุน เพราะเป็นโอกาสดีที่จะขายสินค้าช่วยพัฒนาเศรษฐกิจให้ดีขึ้นไปในตัว ด้วยเหตุนี้ ชาวบ้านทั่วไปก็อาจจะลืมความสำคัญ หรือความหมายที่แท้จริงของคริสต์มาส โดยหันมาเพิ่มความสนใจในสิ่งภายนอกมากกว่า                                          
การทำถ้ำพระกุมาร
ตามความในพระคัมภีร์ พระเยซูเจ้าเกิดในรางหญ้า (ลก 2:7) ซึ่งเราไม่แน่ใจว่าอยู่ตรงไหน แต่เนื่องจากในแถบเบธเลเฮมมีถ้ำอยู่มากมายที่พวกดูแลฝูงแกะใช้เป็นที่พักของสัตว์ (รางหญ้า) และตัวเอง เป็นความคิดของชาวคริสต์ธรรมดาว่า รางหญ้าที่พระวรสารอ้างนั้น คงอยู่ในถ้ำแห่งหนึ่งในเบธเลเฮม  ประเพณีการทำถ้ำนั้นมาจากอิตาลี โดยนักบุญฟรังซิส อัสซีซี เป็นผู้ริเริ่ม โดยในวันคริสต์มาสปี ค.ศ 1223 นักบุญฟรังซิส ชวนให้ชาวบ้านทุกคนในหมู่บ้านที่ Greccio ที่ท่านอยู่ ร่วมแสดงละคร มีการเตรียมถ้ำพระกุมารและใช้สัตว์จริงๆ เช่น วัวและลา อยู่ในถ้ำด้วย (การที่ใช้วัวและลา เพราะเป็นสัตว์ที่ชาวบ้านใช้เป็นประจำ) จากนั้นก็จุดเทียนมายืนรอบๆถ้ำที่ทำขึ้น ร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าจนสว่าง และฟังมิสซาด้วยกัน ตั้งแต่นั้นมา ประเพณีทำถ้ำพระกุมารทั้งในวัดและในบ้านก็แพร่หลายไปทั่วทุกหนแห่ง
ต้นคริสต์มาส

ในสมัยโบราณ ต้นคริสต์มาส หมายถึงต้นไม้ในสวนสวรรค์ ซึ่งอาดัมและเอวาไปหยิบผลไม้มากิน และทำบาปไม่เชื่อฟังพระเจ้า (ปฐก 3:1-6) ตั้งศตวรรษที่ 11 ชาวคริสต์แสดงละครที่หน้าวัด ถึงความหมายของคริสต์มาส และเอาต้นไม้ต้นหนึ่งไว้ตรงกลาง เพื่อประดับฉาก แสดงถึงบาปกำเนิดของอาดัมเอวา ต้นไม้ที่ใช้เป็นต้นสน เนื่องจากเป็นต้นไม้ที่หาง่ายที่สุดในประเทศเหล่านั้น การแสดงละครคริสต์มาสแบบนี้มีมาเป็นเวลาช้านานหลายร้อยปี จนถึงศตวรรษที่ 15 พระสังฆราชหลายแห่งได้ห้ามแสดง เนื่องจากการแสดงนั้นกลายเป็นการเล่นเหมือนลิเกล้อชาวบ้าน ผู้ปกครองบ้านเมือง และศาสนาซึ่งไม่ตรงกับบรรยากาศของการฉลอง ชาวบ้านรู้สึกเสียดายที่ไม่มีโอกาสดูละครสนุกๆ แบบสนุกๆ แบบนั้นอีก จึงไปสนุกกันที่บ้านของตน โดยเอาต้นไม้มาไว้ที่บ้าน เพราะต้นไม้เป็นจุดเด่นในลานวัด ที่เขาเคยร่วมสนุกสนานกัน หลังจากนั้น ก็เริ่มมีการแขวนลูกแอปเปิ้ล และแขวนแผ่นขนมปัง เพื่อระลึกถึงศีลมหาสนิทซึ่งมีวิวัฒนาการเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ จนในที่สุด ก็กลายเป็นขนมและของขวัญอย่างที่เห็นอยู่ทุกวันนี้
นอกจากนั้น ชาวเยอรมันยังมีประเพณีอีกอย่างหนึ่ง คือ มีการจุดเทียนหลายเล่มเป็นรูปปิรามิดไว้ตลอดคืนคริสต์มาส โดยมีดาวของดาวิดอยู่ที่ยอดปิรามิด ซึ่งประเพณีที่จะแขวนของขวัญและขนมก็ได้รวมกับประเพณีของชาวเยอรมันนี้มาตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 โดยเอาเทียนมาไว้ที่ต้นไม้เป็นรูปทรงปิรามิด นี่เป็นที่มาของประเพณีปัจจุบัน ที่มีการแขวนของขวัญและไฟกระพริบไว้ที่ต้นคริสต์มาส และมีดาวของดาวิดไว้ที่สุดยอด ประเพณีนี้เป็นที่นิยมชอบของชาวตะวันตกอยู่มาก
แม้ว่าประเพณีการตั้งต้นคริสต์มาสมีความเป็นมาดังกล่าว ชาวคริสต์ในสมัยนี้ก็ยังนิยมทำกันอยู่ เพราะเห็นว่ามีความหมายถึงพระเยซูเจ้าผู้เปรียบเสมือนต้นไม้แห่งชีวิต (ปฐก 2:9) ที่เขียวสดเสมอในทุกฤดูกาล ซึ่งหมายถึงนิรันดรภาพของพระเยซูเจ้าและนอกจากนั้นยังหมายถึงความสว่างของพระองค์เสมือนแสงเทียนทีส่องในความมืด ทั้งยังหมายถึงความชื่นชมยินดีและความสามัคคีที่พระเยซูเจ้าประทานให้ เพราะต้นไม้เป็นจุดรวมของครอบครัวในเทศกาลนั้น
ซานตาคลอส
ซานตาคลอส เป็นจุดเด่น หรือสัญลักษณ์ที่เด็กและผู้คนนิยมมากที่สุดในเทศกาลคริสต์มาส แต่แท้ที่จริงแล้วซานตาคลอสแทบจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเทศกาลนี้เลย
ชื่อซานตาคลอส มาจากนักบุญนิโคลาส ซึ่งเป็นนักบุญที่ชาวฮอลแลนด์นับถือ เป็นนักบุญองค์อุปถัมภ์ของเด็กๆ นักบุญองค์นี้เป็นสังฆราชของไมรา (อยู่ในประเทศตุรกีปัจจุบัน) มีชีวิตอยู่ราวศตวรรษที่ 4 เมื่อชาวฮอลแลนด์ กลุ่มหนึ่งอพยพไปอยู่ในสหรัฐก็ยังรักษาประเพณีนี้ไว้ คือ ฉลองนักบุญนิโคลาส ในวันที่ 6 ธันวาคม ซึ่งหมายถึงนักบุญนี้จะมาเยี่ยมเด็กๆ และเอาของขวัญมาให้ เด็กอื่นๆที่ไม่ใช่ลูกหลานของชาวฮอลแ ลนด์ที่อพยพมาก็รู้สึกอยากมีส่วนร่วมในประเพณีแบบนี้บ้างเพื่อรับของขวัญ ประเพณีนี้จึงเริ่มเป็นที่รู้จักและแพร่หลายไปในอเมริกา โดยมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างคือ ชื่อนักบุญนิโคลาส ก็เปลี่ยนเป็นซานตาคลอส และแทนที่จะเป็นสังฆราช ซึ่งเป็นนักบุญองค์นั้น ก็กลายเป็นชายแก่ที่อ้วน ใส่ชุดสีแดง อาศัยอยู่ที่ขั้วโลกเหนือ มีเลื่อนเป็นพาหนะ มีกวางเรนเดียร์ลาก และจะมาเยี่ยมเด็กทุกคนในโลกนี้โอกาสคริสต์มาส โดยลงมาทางปล่องไฟของบ้าน เพื่อเอาของขวัญมาให้เด็กเหล่านั้น ตามความประพฤติของเขา ลักษณะภายนอกของซานตาคลอสที่ถูกสมมุติขึ้นมา เหมือนกับจะลอกเลียนแบบมาจาก Thor ซึ่งเป็นเทพเจ้าในนิยายโบราณของเยอรมัน และลอกเลียนแบบนักบุญนิโคลาส ที่นำของขวัญมาแจกเด็กๆ อันที่จริงซานตาคลอสเป็นรูปแบบที่น่ารัก เหมาะสำหรับเป็นนิยายให้เด็กๆเชื่อ แต่อาจจะทำให้คนทั่วไปหันมาสนใจ ให้ความสำคัญในตัวนิยายนี้แทนการบังเกิดของพระเยซูเจ้า ซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางของเทศกาลคริสต์มาสนี้
การร้องเพลงคริสต์มาส
เพลงคริสต์มาสเริ่มมีขึ้นในศตวรรษที่ 5 ซึ่งในสมัยนี้มีทั้งพระสงฆ์และฆราวาสเป็นผู้แต่ง ร้องเป็นภาษาลาติน ลักษณะของเพลงเป็นแบบสง่า เน้นถึงความหมายของการเสด็จมาของพระเยซูเจ้า แต่ในศตวรรษที่ 12 ได้มีวิวัฒนาการใหม่ในด้านเพลงนี้ เริ่มในประเทศอิตาลี โดยนักบุญฟรังซิส อัสซีซี และนักบวชคณะฟรังซิสกัน เป็นผู้มีส่วนในการสนับสนุนให้มีเพลงคริสต์มาสแบบใหม่ ซึ่งชาวบ้านชอบ คือมีท่วงทำนองที่ร่าเริงกว่า และเน้นถึงความชื่นชมยินดีในโอกาสคริสต์มาสนี้เพลงเหล่านนี้เป็นภาษาลาติน และภาษาพื้นเมือง เพลงหนึ่งที่แต่งในสมัยนั้น (แต่งคำร้องในปี ค.ศ. 1274) และยังใช้อยู่จนถึงปัจจุบันคือ เพลง “ขอเชิญท่านผู้วางใจ” O Come, all ye faithful หรือในภาษาลาตินว่า Adeste Fideles”
เพลงคริสต์มาสที่เรานิยมร้องมากที่สุดในปัจจุบันได้แต่งขึ้นในศตวรรษที่ 19 จากประเทศเยอรมันและประเทศอังกฤษเป็นส่วนใหญ่ เพลงที่มีชื่อเสียงมาก ได้แก่ Silent Night, holy Night เป็นภาษาไทยว่า “ราตรีสวัสดิ์ ราตรีสงัด” ความเป็นมาของเพลงนี้คือ วันก่อนฉลองคริสต์มาสของปี ค.ศ. 1818 คุณพ่อ Jeseph Mohr เจ้าอาวาสวัดที่ Oberndorf ประเทศออสเตรีย ได้ข่าวว่าออร์แกนในวัดเสีย ทำให้วงขับไม่สามารถร้องเพลงตามที่ซ้อมไว้ได้ คุณพ่อเองตั้งใจจะแต่งเพลงคริสต์มาสใหม่ หลังจากแต่งเสร็จก็เอาไปให้เพื่อนคนหนึ่งชื่อ Franz Gruberที่อยู่หมู่บ้านใกล้เคียงใส่ทำนองในคืนวันที่ 24 นั้นเอง สัตบุรุษวัดนี้ก็ได้ฟังเพลง Silent Night เป็นครั้งแรก โดยการเล่นกีต้าร์ประกอบการขับร้อง ซึ่งกลายเป็นเพลงที่นิยมมากที่สุดทั่วโลก
เทียนและพวงมาลัย
                ในสมัยก่อน มีกลุ่มคริสตชนกลุ่มหนึ่งในเยอรมัน ได้เอากิ่งไม้มาประกอบเป็นวงกลมคล้ายพวงมาลัย  แล้วเอาเทียน  4 เล่ม วางไว้บนพวงมาลัยนั้น  ในตอนกลางคืนของวันอาทิตย์แรกของเทศกาลเตรียมรับเสด็จทุกคนในครอบครัวจะมารวมกัน ดับไฟ แล้วจุดเทียนเล่มหนึ่ง สวดภาวนาและร้องเพลงคริสต์มาสร่วมกัน  เขาจะทำดังนี้ทุกอาทิตย์จนครบ 4 อาทิตย์ก่อนคริสต์มาส 
ประเพณีนี้ เป็นที่นิยมและแพร่หลายในที่หลายแห่งโดยเฉพาะที่สหรัฐอเมริกา ซึ่งต่อมามีการเพิ่ม  โดยเอาพวงมาลัยพร้อมกับเทียนที่จุดไว้ตรงกลาง 1 เล่ม ไปแขวนไว้ที่หน้าต่าง เพื่อช่วยให้คนที่ผ่านไปมาได้ระลึกถึงการเตรียมตัวรับวันคริสต์มาสที่ใกล้เข้ามา และพวงมาลัยนั้นยังคงเป็นสัญลักษณ์ที่คนสมัยโบราณใช้หมายถึงชัยชนะ  แต่ในที่นี้หมายถึงการที่พระองค์มาบังเกิดในโลก และทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างครบบริบูรณ์ตามแผนการของพระเป็นเจ้า
การทำมิสซาเที่ยงคืน
เมื่อพระสันตะปะปา จูลีอัส ที่ 1 ได้ประกาศให้วันที่ 25 ธันวาคม เป็นวันฉลองพระคริสตสมภพ (วันคริสต์มาส) แล้วในปีนั้นเอง พระองค์และสัตบุรุษได้พากันเดินสวดภาวนาและขับร้องไปยังตำบลเบธเลเฮม ยังถ้ำที่พระเยซูเจ้าประสูติ พอไปถึงก็เป็นเวลาเที่ยงคืน
พระสันตะปาปและก็ทรงถวายมิสซา ณ ที่นั้น เมื่อเสร็จแล้วก็กลับมาที่พัก เป็นเวลาเช้ามืด ราวๆ ตีสาม พระองค์ก็ถวายมิสซาอีกครั้งหนึ่งและสัตบุรุษเหล่านั้นพากันหลับ แต่ยังมีสัตบุรุษหลายคนที่ไม่ได้ไป พระสันตะปาปาก็ทรงถวายมิสซาอีกครั้งหนึ่งเป็นครั้งที่ 3 เพื่อให้สัตุบุรุษเหล่นั้น ด้วยเหตุนี้เองพระสันตะปาปาจึงทรงอนุญาตให้พระสงฆ์ถวายมิสซาได้ 3 ครั้ง ในวันคริสต์มาส  เหมือนกับการปฏิบัติของพระองค์ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา จึงมีธรรมเนียมถวายมิสซาเที่ยงคืนในคริสต์มาสและพระสงฆ์ก็สามารถถวายมิสซาได้ 3 มิสซา ในโอกาสวันคริสต์มาสเช่นเดียวกัน        
ความสำคัญของวันคริสต์มาส
เราจะเห็นได้ว่า วันคริสต์มาสเป็นวันสำคัญวันหนึ่ง  เนื่องจากเป็นการระลึกถึงวันที่พระบุตรของพระเจ้ามาบังเกิดเป็นมนุษย์  พระองค์เป็นพระเจ้าที่จะอยู่กับเราตลอดไป  เป็นส่วนหนึ่งของมนุษย์ เป็นพี่หัวปีที่จะนำมนุษย์ทั้งมวลไปสู่พระบิดาเจ้า  พระองค์เป็นความสำเร็จบริบูรณ์ตามคำสัญญาของพระเจ้าที่จะดูแลป้องกันรักษาเราผู้เป็นประชากรของพระองค์
เราเป็นเหมือนลูกแกะที่หายไป แต่พระเยซูเป็นชุมพาบาลใจดีที่ตามหาเราจนพบ และจะไม่มีอะไรที่แยกเรากับพระองค์ได้อีกเลย
มนุษย์ทุกคนไม่ว่าจะเป็นชนชาติไหน จะรวยหรือจน คนศรัทธาหรือคนบาป  ล้วนมีความสำคัญต่อหน้าพระเจ้าเสมอ  เพราะตั้งแต่การเสด็จมาบังเกิดของพระเยซูเจ้านั้น  พระเป็นเจ้าพระบิดาทรงเห็นพระฉายาลักษณ์ของพระบุตรในทุกคน  เราก็เช่นเดียวกัน เราต้องรักซึ่งกันและกันเหมือนอย่างที่เรารักพระเจ้า  นั่นหมายถึงเราต้องเคารพศักดิ์ศรีของมนุษย์ทุกคน ไม่ว่าคนเหล่านั้นจะเป็นคนยากจน คนต่างชาติ หรือคนที่วางตัวเป็นศัตรูกับเรา ผู้ที่ไม่รักพี่น้องที่เขาแลเห็นได้ ย่อมไม่รักพระเจ้าที่เขาแลเห็นไม่ได้  เราได้รับบทบัญญัตินี้จากพระองค์ คือให้ผู้ที่รักพระเจ้ารักพี่น้องของตนด้วย (1ยน 4: 20-21)
ประเพณีของการฉลองคริสต์มาสที่มีความเป็นมาดังกล่าวนี้ ควรเป็นสิ่งที่ชักจูงเราให้เปี่ยมไปด้วยความรัก ที่พร้อมจะรับใช้ผู้อื่นอย่างเต็มที่